tororichclub

tororichclub

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

กินอย่างถูกวิธีกับอันตรายของ‘หมูกระทะ’...



         “You are what you eat” เคยได้ยินกันบ้างไหม ??? รับประทานอะไรก็ได้อย่างนั้น อาหารดีๆ แสนแพง บางครั้งก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย ซ้ำร้ายหากกินมากเกินพอดีก็ทำให้โรคภัยถามหาได้เหมือนกัน
       
       ...แล้วจะกิน-อยู่อย่างไรให้มีสุขภาพดี ? นี่คือคำถามที่หลายคนอยากรู้คำตอบ
       
       อาจารย์ไกรวุฒิ มักพิมล ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ทางเลือกด้านโภชนาศาสตร์สาธารณสุขศาสตร์ มหิดล ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การกิน-อยู่ที่จะช่วยให้ร่างกายจิตใจแข็งแรง คือ การบริโภคอาหารทั้ง 6 ประเภท ได้แก่ อาหารกาย หู ตา ใจ อารมณ์ สมอง โดยการกินอยู่อย่างถูกต้องมีวิจารณญาณ ด้วยหลัก 5 อ. คือ อาหาร อากาศ อารมณ์ ออกกำลังกาย อุจจาระ และ 1 ป.คือ ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จึงจะทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
      
       อ.ไกรวุฒิ ยังเตือนไปยังผู้ที่ชื่นชอบหมูกระทะด้วยว่า หมูกระทะที่นิยมไปกินกันแล้วบอกว่าคุ้มแสนคุ้ม มีสารตัวหนึ่ง เรียกว่า ฮอร์โมนอินดิจิเตอร์ ที่เข้าไปกดภูมิคุ้มกัน ทำให้เจ็บป่วยง่าย
       
       “การรับประทานมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรรับประทานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนมือเย็นเป็นมื้อที่ไม่ควรทานอะไรหนักๆ แนะให้รับประทานผลไม้ สลัดผัก หรือน้ำผลไม้ เพราะจริงๆ แล้ว มนุษย์กินข้าวแค่วันละ 2 มื้อ ก็เพียงพอ โดยช่วงเวลา 10.00-13.00 น.เป็นช่วงที่ร่างกายสามารถทำการย่อยสลายได้เร็ว หลังจากนั้นจะช้าลง ดังนั้น หากกินมื้อเย็นในปริมาณมากก็จะไม่มีการเผาผลาญแต่จะกลายเป็นไขมันสะสม แล้วยิ่งถ้ากินแต่เนื้อสัตว์ก็จะต้องใช้เวลาในการย่อยสลาย 5-7 วัน ส่วนผัก ผลไม้ใช้เวลาย่อยเพียง 7-14 ชั่วโมง ร่างกายจึงขับของเสียออกโดยไม่สะสมบูดเน่าอยู่ในร่างกาย ซึ่งจากรายงานการวิจัยปรากฏว่า การที่คนกินเนื้อสัตว์มากๆ ทำให้มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวแรง แม้จะใช้น้ำยาบ้วนปากหรือใช้โรลออนระงับกลิ่นกาย เนื่องจากร่างกายได้ดูดซับสารพิษที่มีจุลินทรีย์และขับออกมาทางปากและรูต่อมต่างๆ”
       
       นอกจากนี้ อ.ไกรวุฒิ แนะอีกว่า หากไม่อยากให้สารพิษสะสมในร่างกายควรทำดี ท็อกซ์อย่างง่ายๆ คือ การดื่มน้ำมากๆ วันละ 14 แก้ว แบ่งเป็น ดื่มน้ำอุ่นๆ 2 แก้วในตอนเช้าหลังจากตื่นนอน ก่อนอาการเช้า 1 แก้ว หลังอาหาร 2 แก้ว ช่วง 10.00 น. อีก 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารกลางวัน 1 แก้ว หลังรับประทานอาหารกลางวัน 2 แก้ว ช่วงบ่าย 1 แก้ว ก่อนอาหารเย็น 1 แก้ว และหลังอาหารเย็น 2 แก้ว สุดท้ายก่อนนอนอีก 1 แก้ว โดยการดื่มน้ำมากๆ ได้ประโยชน์หลายทางทั้งทำให้สวยขึ้นใบหน้าเปล่งปลั่ง ไม่เป็นมะเร็งลำไส้ หากดื่มน้ำน้อยยังทำให้เป็นเป็นโรคท้องผูกอีกด้วย

       “จะกินน้ำข้าวก็ต้องระวังไม่ให้มีสารเคมีปนเปื้อนด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าข้าวขาวที่เหลือแต่กากข้าวเพราะเกลือแร่ สารอาหารที่มีประโยชน์ ถูกทิ้งไปหมดแล้ว ส่วนธัญพืชอื่นๆ ถั่วเขียวต้ม 10 นาที ลูกเดือย 60 นาที ถั่วแดง 50 นาที ถั่วลิสงต้มเรื่อยๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะสุกพอดี นอกจากนี้สามารถนำน้ำซาวข้าวไปหมัก 2 วัน จนเกิดฟองเอามาสระผมหมักผม 30 นาที แล้วล้างออก ทำให้ผมมีประกายเงางามด้วย” อ.ไกรวุฒิแนะนำและว่าสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานแนะนำว่า ควรจะรับประทานข้าวซ้อมมือ 60-70% ไม่ใช่งดคาร์โบไฮเดรต เพราะ หากไม่กินข้าวเลยสมองจะฝ่อ เหมือนกับคนที่ลดความอ้วนมีอาการทางสมองเกิดขึ้น

       แต่ที่ต้องไม่ลืมคือ ต้องให้ออกกำลังกาย 2 นาที ทุกวัน ซึ่งบางทีดีกว่าวิ่งวันละ 10 กิโลเมตร เช่นวิ่งกับที่ 30 วินาทีอย่างเร็วแล้วพัก 30 นาที เพราะเราแค่ต้องการเอนโดรฟีนจากการออกกำลังกายทุกๆ วัน ส่วนการออกกำลังกายแบบง่ายๆ หลายท่า เช่น ออกกำลังต่อมลูกหมาก –ปีกมดลูก โดยนั่งเก้าอี้ครึ่งก้น ฝึกขมิบทุกวัน วันละ 10 ครั้ง ครั้งละช้าๆ ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเป็นอายุวัฒนะ อีกท่าคือการสลายแคลเซียมบริเวณกระดูกต้นคอ ซึ่งเป็นเหตุให้มักปวดต้นคอ สามารถทำได้โดยหมุนคางให้เป็นเลขศูนย์ หรือจะออกกำลังกายป้องกันต่อมน้ำเหลืออักเสบโดยการหมุนคางเป็นเลขแปด
       
       อ.ไกรวุฒิ ทิ้งท้ายไว้ว่า ที่สำคัญต้องรู้จักเติมอาหารใจด้วย 5 ส. คือ สงบ สติ สมาธิ สะอาด สะดวก ด้วย

ขอบคุณ : manager
........................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น