tororichclub

tororichclub

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

อันตรายจากน้ำตาลทราย


          1. อันตรายที่เกิดขึ้นกับเด็ก ในเด็กที่กินน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้เป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้รวมถึงอาจกลายเป็นเด็กที่ไม่สมาธิในสิ่งที่ทำอยู่แล้วก็โกรธง่ายได้

          2. เสี่ยงทำให้โรคติดเชื้อรุนแรง ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร

          3. ร่างกายไม่สมดุล เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลเชิงเดี่ยว ซึ่งได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในน้ำผลไม้ น้ำตาลในนม จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดเกิดภาวะเป็นกรดมากเกินไป จนร่างกายไม่สมดุล

          4. ส่งผลต่อหัวใจ ไต และ ตับ เมื่อน้ำตาลมีมากเกินไป ก็จะกลายเป็นไขมัน ซึ่งจะถูกสะสมไว้ในอวัยวะภายใน และนานวันเข้า อวัยวะเหล่านี้ก็จะถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน แล้วน้ำเมือกในร่างกายก็จะเริ่มผิดปกติ ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น

          5. ส่วนเกินตามร่างกาย ไขมัน ที่เกิดจากน้ำตาลส่วนเกิน จะถูกสะสมในตับในรูปของไกลโคเจน เมื่อมีมากเกินไปตับจะส่งออกไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน ไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา สะโพก เป็นต้น

          6. ต้นเหตุเสี่ยงสารพัดโรค การ ทานน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้มีอาการเป็นตะคริวเวลามีรอบเดือนเป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับ

7. ผลต่อสมอง การ ทานน้ำตาลมากเกินไปจะมีผลต่อสมองทำให้รู้สึกง่วง หงาว หาว นอน อยู่ตลอด รู้แบบนี้แล้วก็ควรคิดให้ดีก่อนทานในมื้อต่อไปนะคะว่า ควรจะบริโภคความหวานแต่พอดีมากกว่าตามใจปากค่ะ

Thank : modernmom
...........................................................................................

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

สรรพสามิต ชี้ รถคันแรกไม่ใช่มรดก


สรรพสามิต ชี้ รถคันแรกไม่ใช่มรดก ตายก่อน 1 ปี หมดสิทธิ์-ต้องคืนเงิน
          กรม สรรพสามิต ย้ำชัด ผู้ใช้สิทธิ์รถคันแรกต้องครอบครองรถ 1 ปี หากเสียชีวิตก่อน 1 ปี แล้วได้เงินคืนไปแล้ว จะต้องคืนเงิน โอนสิทธิ์ให้ญาติไม่ได้ เพราะไม่ใช่มรดก 

          จากกรณีที่ นางพัชรี สุนทรนันท์ ชาวจังหวัดอ่างทอง เข้ามาร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า ถูกกรมสรรพสามิตเรียกเงินจากโครงการรถคันแรกคืนพร้อมดอกเบี้ย หลังจากสามีของนางพัชรีซึ่งเป็นผู้ขอใช้สิทธิ์รถคันแรกเสียชีวิตไปอย่าง กะทันหัน โดยกรมสรรพสามิต ระบุว่า เมื่อผู้ขอใช้สิทธิ์เสียชีวิตไปแล้ว ถือว่าสิทธิ์ของผู้ตายสิ้นสุดลง ดังนั้นจึงต้องนำเงินที่ได้รับคืนไปแล้วมาคืนให้กรมสรรพสามิต พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

          ข่าวดังกล่าวได้สร้างความสับสนให้กับประชาชนที่ได้ใช้สิทธิ์ในโครงการรถคัน แรกเป็นอย่างมาก เพราะไม่แน่ใจว่ากฎเกณฑ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร หากผู้ใช้สิทธิ์เกิดเสียชีวิตกะทันหันเช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่ง เรื่องนี้ ทำให้ นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ต้องออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 20 มีนาคมว่า มติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ผู้ขอใช้สิทธิ์รถคันแรกต้องเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ และต้องครอบครองรถยนต์ 1 ปี หากเสียชีวิตหลังครอบครองรถไปแล้ว 1 ปี ก็ไม่ต้องนำเงินภาษีมาคืน 

          อย่าง ไรก็ตาม สำหรับกรณีของนางพัชรีนั้น อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า นางพัชรีต้องนำเงินมาคืนให้กรมสรรพสามิต เพราะจากการตรวจสอบพบว่า สามีของนางพัชรีนั้นไม่ได้ครอบครองรถยนต์ครบ 1 ปี เพราะได้รับรถยนต์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554 แต่มาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ดังนั้น ญาติต้องนำเงินภาษีมาคืนภายใน 15 วัน หลังจากที่ได้รับเงินไป หากไม่นำมาคืนจะต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันครบกำหนดคืนเงินจนกว่าชำระคืนให้ครบถ้วนตามที่ใบคำขอใช้สิทธิ์ และเงื่อนไขสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก

          อธิบดี กรมสรรพสามิต ยังอธิบายด้วยว่า สิทธิ์รถคันแรกถือเป็นสิทธิ์เฉพาะตัวที่พึงได้ ไม่ใช่มรดก หากผู้ได้รับสิทธิ์เสียชีวิตก่อน 1 ปี หลังซื้อรถไป ก็จะถูกตัดสิทธิ์ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรถคันแรกได้

Thank : ครอบครับข่าว 3
..............................................................................................

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

แต่งตัวอย่างไรให้ดูดี ตามสไตล์ผู้ชายไซส์ S


             หนุ่ม ๆ ทั้งหลายเคยมีปัญหาเรื่องการเลือกเสื้อผ้ามาใส่กันบ้างหรือเปล่า? พอเวลาจะออกไปข้างนอกทีไรหาชุดใส่ลำบากทุกทีเพราะไม่รู้จะใส่ตัวไหนดี ตัวนี้ก็หลวมไป ตัวนั้นก็ใหญ่เกิน ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวสำหรับผู้ชายหุ่นสกินนี่อย่างเรา ๆ เสียจริง แถมบางครั้งใส่แล้วพาให้เราหมดความมั่นใจอีกต่างหาก แต่ไม่ต้องห่วงแล้ว วันนี้กระปุกดอทคอมมีทิปแฟชั่นมาแนะนำให้หนุ่มร่างเล็กสไตล์ผอมบางโดยเฉพาะ

     1. ที่เสริมไหล่ช่วยคุณได้
               เมื่อเวลาที่หาซื้อแจ็คเก็ตหรือเสื้อเบลเซอร์ซักตัว ควรเลือกแบบมีที่เสริมไหล่ไว้ก่อน เพราะมันจะช่วยหลอกตาว่าช่วงไหล่ของคุณดูหนาขึ้น แต่ต้องเลือกแบบที่พอดีกับตัวด้วยนะ เพราะหากเลือกแผ่นเสริมไหล่ที่มีขนาดใหญ่เกินรูปร่างคุณมาใส่แล้วล่ะก็ คุณจะดูเหมือนพวกนักอเมริกันฟุตบอลในทันที

     2. หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้ารัดรูปเข้าไว้
               ไม่ว่าจะเป็นเสื้อรัดรูปหรือกางเกงขาเดฟนั้น หนุ่มร่างบางต้องหลีกเลี่ยงเลยทีเดียว เพราะเสื้อผ้าสไตล์นี้นอกจากจะทำให้เคลื่อนไหวลำบากแล้วยังเน้นรูปร่างที่บอบบางของคุณให้ชัดเจนขึ้นอีก ดังนั้นหนุ่มร่างเล็กหุ่นเพรียวลมทั้งหลายจึงควรใส่เสื้อผ้าที่มีขนาดพอดีตัว หรือใหญกว่ารูปร่างนิดนึง นอกจากจะเหมาะกับหุ่นผอมบางแล้วยังช่วยให้คุณดูดีขึ้นอีกมากเลย

     3. เลือกเบลเซอร์ให้พอดีกับรูปร่าง
              เสื้อเบลเซอร์นั้นควรจะมีความยาวประมาณสะโพกและมีขนาดพอดีตัว โดยทิปการใส่เบลเซอร์นั้นต้องดูถึงความสอดคล้องกลมกลืนทั้งเสื้อด้านในและกางเกงที่สวมใส่ เพราะหากเลือกใส่เบลเซอร์ที่ยาวเกินไปนั้นจะทำให้ลุคคุณดูเหมือนเด็กน้อยที่เอาเสื้อคุณพ่อมาใส่เสียมากกว่า 

     4. เสื้อคอกลมหรือคอเต่า
              เสื้อคอกลมหรือคอเต่านั้นจะช่วยทำให้ช่วงลำคอของเรานั้นดูหนาขึ้น ส่วนเสื้อคอวีทั้งหลายนั้นโยนทิ้งไปได้เลย เพราะเสื้อสไตล์นี้จะเน้นช่วงลำคอของเราให้ดูยาวขึ้น และยังเผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าให้ชัดขึ้นอีกด้วย ซึ่งมันทำให้คุณดูผอมลงไปอีกเยอะเลยล่ะ

     5. เลือกเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าหนา
              เนื้อผ้านั้นมีความสำคัญสำหรับผู้ชายหุ่นบางมากอยู่พอสมควร เพราะการใส่เสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าหนานั้นจะทำให้ตัวเราดูใหญ่มีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้น ดังนั้นอย่าลืมใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยแบบนี้ด้วยเช่นกัน

             หวังว่าเคล็ดลับเหล่านี้คงเรียกความมั่นใจของหนุ่ม ๆ ร่างเล็กกลับมาได้บ้างไม่มากก็น้อยนะ ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตามกันล่ะ เพียงเท่านี้คุณก็เท่ไม่แพ้ผู้ชายไซส์อื่นแล้วล่ะครับ

Thank : k@pook
...............................................................................................

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

9 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับสมอง...


          ปัจจุบันนี้มีงานวิจัยเกี่ยวกับ ‘สมอง’ มามากมาย จนบางครั้งเราก็ไม่แน่ใจว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับสมองหมดหรือไม่  วันนี้เราจึงนำสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับสมองมาฝากกัน เอาละมีอะไรบ้าง ตามมาเลย!

1. สมองชอบสีสัน 
           ไม่ว่าจะเป็นปากกา กระดาษ หากมีสีสันที่สดใส ก็จะทำให้ช่วยให้เราจดจำได้มากและดียิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้สมองเกิดการกระตือรือร้นได้อีกด้วย โดยเฉพาะ สีส้ม ที่สามารถช่วยกระตุ้นความตื่นตัวของสมอง   ได้มากกว่าสีอื่น ดังนั้นหากต้องอ่านหนังสือหรือทำงาน การใช้ปากกาหรือไฮไลท์สีสดใสก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดี

2. สมองต้องการพักผ่อน
          ไม่ว่าเราจะคอยกล่อมตัวเองบอกว่า ‘ยังไหว’ อย่างไรก็ตาม แต่ต้องอย่าลืมว่าสมองไม่ได้ไหวกับเราด้วย ดังนั้นหากเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ให้งีบพักสัก 20 นาที แล้วจึงค่อยกลับมาลุยสิ่งที่กำลังทำอยู่ใหม่อีกครั้งจะดีกว่า

ควรหาพื้นที่ที่สามารถทอดสายตาไปไกลๆ ได้ เพื่อความผ่อนคลายของสมอง และนอกจากนั้นสมองยังรักในความเรียบร้อยและสะอาด เคยมีการทดลองให้เด็กดูแลบ้านช่องให้สะอาด ปรากฎว่าทำให้เด็กเรียนเก่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เริ่มทำความสะอาดและเก็บของกันได้แล้วพวกเรา!

3. สมองต้องการพลังงาน 
          สมองของคนเราหากเปรียบเทียบคงจะคล้ายกับเครื่องจักรที่ต้องการเชื้อเพลิงในการหล่อเลี้ยง ซึ่งสำหรับสมองแล้ว แหล่งพลังงานชั้นดีก็คือ อาหารที่มีคุณภาพและบำรุงสมอง เช่น ผักป๋วยเล้ง นอกจากอาหารดีๆ ที่เราควรเสริมเข้าไปแล้ว ยังต้องระวังการทานอาหารที่มีสารกันบูดเข้าไปอีกด้วย มีงานวิจัยในวารสารการแพทย์ประเทศอังกฤษว่า การทานสารกันบูดที่ผสมในอาหาร อาจเป็นสาเหตุให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไฮเปอร์ได้

4. สมองกลัวการขาดน้ำ 
          เครื่องจักรที่เรียกว่าสมองนี้ นอกจากจะใช้เชื้อเพลิงแล้ว ยังต้องการน้ำมันในการหล่อเลี้ยง และน้ำมันที่นี้ก็คือ ‘น้ำ’ นี่เอง เมื่อไรที่
ร่างกายขาดน้ำสมองก็จะมีปัญหา ถ้าอยากให้ร่างกายเกิดการกระตือรือร้น แนะนำว่าในหนึ่งวันให้ดื่มน้ำที่แตกต่างกัน อาทิ ช่วงเช้าเป็นกาแฟ ต่อด้วยน้ำแร่ น้ำผลไม้ และอาจจะมีชาจีนในช่วงบ่าย ความหลากหลายเหล่านี้จะช่วยให้เราไม่เบื่อและจำเจต่อการดื่มน้ำ

5. สมองสามารถเพ่งสมาธิได้แค่ 25 นาที 
          แม้ค่าเฉลี่ยนี้เป็นของผู้ใหญ่ แต่เชื่อหรือไม่ว่าสมองของเราจะสามารถทำงานเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ได้เพียง 25 นาที หลังจากนั้น
ก็ควรจะพักสายตาจากการเพ่งสมาธินั้นบ้างประมาณ 10 นาที แล้วจึงค่อยเริ่มกลับไปทำงานต่อ แต่อย่าถือเป็นข้ออ้างแล้วอู้งานล่ะเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

6. สมองชอบให้ใช้
           ถ้าเราอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ไม่ใช้ความคิด คงไม่ต่างอะไรจากตายซาก สมองชอบที่จะคิด ชอบที่จะสงสัย เพราะฉะนั้นเราจึงควรหาคำถามป้อนเพื่อให้สมองได้ใช้งาน เช่น การเล่นเกมแนว Puzzleเกมsodoku บ้าง เพราะสมองก็เหมือนกล้ามเนื้อที่ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไร ก็สามารถเสริมสมรรถภาพด้วยการฝึกหัด ด้วยการใช้ให้คิด ให้วิเคราะห์เยอะๆได้

7. สมองชอบมีปฎิกิริยากับร่างกาย
          คิดง่ายๆ ว่าเมื่อไรที่ร่างกายของเราเหนื่อยล้า ขี้เกียจ ไม่อยากทำงานอะไร สมองก็จะไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรากำลังทำไปด้วย ดังนั้นเวลาเรียนหรือทำงาน การนั่งตัวตรง มีท่าทางที่ตั้งใจ หรือลองลุกขึ้นมายืนทำงานดูบ้างก็จะช่วยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของงานได้อย่างน่าประหลาดใจ และอาจจะใช้กลิ่นหอมจำพวกเครื่องเทศ เช่น มินท์ เลมอน เปลือกส้ม เพื่อให้สมองตื่นร่วมด้วยก็ได้ ซึ่งอโรม่ามีผลดีต่อการกระตุ้นสมอง

8. สมองจัดกลุ่ม จัดข้อมูล และเชื่อมโยงได้เก่ง
           เรามักจะมองข้าม ความสามารถด้านการจัดกลุ่มของสมองไป ทำให้ไม่ค่อยที่จะพยายามเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าหากัน หากเรากำลังอ่านหนังสือหรือกำลังเรียน ถ้านำข้อมูลเก่าๆ ที่เคยผ่านมามาต่อยอดเชื่อมโยงถึงกัน เราก็จะสามารถจำเนื้อหาเหล่านั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น และการที่เราจะจำอะไรได้ดีนั้น ต้องอาศัยการตอกย้ำ เช่น เวลาเราเห็นอะไรแบบผ่านๆ ก็จะลืม ต้องเห็นบ่อยๆ ถึงจะจำได้ ดังนั้นหากเราต้องการจะจำอะไรแม่นจึงต้องอาศัยการท่องจำนั่นเอง ยิ่งไปว่านั้นสมองยังไม่ชอบความเครียด เพราะเมื่อไรที่เราเครียด ร่างกายหลังสารที่จะส่งผลต่อเซลล์สมองในส่วนที่ดูแลด้านความทรงจำ ซึ่งจะทำให้เรามีปัญหาเรื่องการจำนั้นเอง

9. สมองไม่รู้ว่าเราทำอะไรได้ อะไรไม่ได้
          เพราะสมองไม่รู้ เราจึงต้องเป็นคนคิดว่าอะไรทำได้ อะไรไม่ได้ ด้วยการพูดบอกตนเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรพูดแต่สิ่งดีๆ พูดในทางที่ดี เพราะสมองชอบเรื่องด้านบวกไม่ว่าจะเป็นเรื่องขำขัน เรื่องล้อเล่น หรือเรื่องที่ทำให้อารมณ์ดี  ไม่ว่าเรื่องไหนก็ช่วยให้สมองมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมทั้งนั้น อย่างคำที่ว่าสุขภาพจิตดีก็ย่อมทำให้ชีวิตดีไปด้วย

           รู้เรื่องสมองกันไปแล้ว ก็นำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาสมองของเรากันต่อไปนะคะ ชีวิตเรามีเพียงแค่ชีวิตเดียวมาทำมันให้ดีที่สุดจะดีกว่า เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง 
............................................................................................

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ฟุ่มเฟือย-บ้าเห่อ!


         หาก “ความฟุ่มเฟือย” หมายถึง “ความทันสมัย” ในนิยามของบางคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมืองไทยจะมีเบอร์โทรศัพท์มากกว่าจำนวนพลเมือง คลั่งไคล้ไอโฟนกันเป็นบ้าเป็นหลัง แถมคนหนึ่งก็มีมือถือไม่รู้ตั้งกี่เครื่อง เล่นเฟซบุ๊กจนเป็นแชมป์โลก ชอปปิ้งของนอกครั้งละหลายล้าน มีหลายสิ่งที่คนไทยมักจะทำอะไรอย่างบ้าคลั่งจนเกินความพอดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ!
        
        “คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” โดยเฉพาะพฤติกรรมลบๆ กับค่านิยมใช้ของหรู ราคาแพง ฟุ่มเฟือยกับสิ่งของที่ไม่จำเป็น ยึดติดกับสังคมบริโภคนิยมมากเกินพอดี หลงกระแสสังคมฟุ้งเฟื้อ แม้ต้องกู้และเสียดอกเบี้ยสาหัสสากรรจ์ก็พร้อมยอมจ่าย จนติดนิสัยใช้เงินเกินตัวไปแล้ว
       
       ยุคสมาร์ทโฟน บ้า 'อัป โหลด แชร์'
        ด้วยรสนิยมของคนรุ่นใหม่ที่ชอบเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นว่าเล่น รุ่นไหนใหม่ล่ามาแรงก็หาซื้อกันตามกระแส ไม่ต่างจากเทรนด์แฟชั่น ต้องหน้าจอทัชสกรีน เล่นอินเทอร์เน็ตได้ ไว้อัป โหลด แชร์ วอทแอปกันให้กระจาย จนบางครั้งมากเกินความจำเป็น
         บางคนไม่ได้มีมือถือแค่เครื่องเดียว พก 2 เครื่อง 3 เครื่อง ราวกับนักธุรกิจพันล้าน แต่จริงๆ เป็นแค่นักเรียนนักศึกษา ป.ตรี ที่ส่วนใหญ่มีไว้แชต ไลน์ ถ่ายรูป อินสตราแกรม ไม่รู้ว่าจะคุ้มค่ากับเงินที่ซื้อมารึเปล่า? 
       
        นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเมืองไทยมีประชากร 65 ล้านคน แต่มีจำนวนหมายเลขโทรศัพท์ถึง 80 ล้านเบอร์
       เบอร์มือถือที่มากเกินจำนวนพลเมืองกว่า 10 ล้านเบอร์ ทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับมือถือสมาร์ทโฟน ซึ่งปีนี้มีจำนวนการซื้อเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว และบางรุ่นยังรองรับระบบ 2 ซิมได้อีกต่างหาก เท่านั้น ไม่พอ โปรโมชันแถมซิมแจกซิมของแต่ละค่ายยังเข้ามาเสริม ยิ่งทำให้จำนวนคนใช้สูงขึ้น สิ่งที่ตามมาจึงกลายเป็นการใช้จ่ายเกินตัว
       
        ไม่ใช่เฉพาะเด็กวัยรุ่นบางกลุ่มที่อินเทรนด์เปลี่ยนมือถือรุ่นใหม่อยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นภาระของครอบครัว พนักงานออฟฟิศกินเงินเดือนไม่ถึงหมื่นบางคนยังมีไอโฟนใช้เสริมความหรู ให้ดูดีมีระดับ จะบอกว่าเป็นเหมือนเครื่องประดับก็คงไม่ผิด เพราะบางคนมีใช้เพื่อโอ้อวดอย่างนั้นจริงๆ หากไม่มีเงินสดซื้อ ก็ขอใช้สิทธิ์ผ่อนสบายๆ แบบดอกเบี้ย 0% นาน 4 เดือน ถือว่าคุ้มค่า ถ้าพวกเขาต้องการมันเพื่อยกระดับฐานะทางสังคม
       
        มีคนบางจำพวกที่อาจใช้คำว่า “คลั่งไคล้” จนเกินเหตุ อย่างสาวกแอปเปิล ไม่ว่าสินค้าตระกูล “ไอ” จะออกมาแบบไหนให้เลือกซื้อ สาวกแอปเปิลไม่เคยพลาด กวาดเรียบทุกรายการ ไล่ระดับความต้องการถือครอง ตั้งแต่ ไอโฟน 3 4 5 มาเป็นไอแพด และล่าสุดกับไอแพด มินิ ที่ตัวแทนจำหน่าย 3 เครือข่ายค่ายยักษ์ของไทยบอกอย่างเต็มปากเต็มคำว่า มีคนให้ความสนใจไม่แพ้ ไอโฟน 5 ที่เคยเปิดตัวไปก่อนหน้าแล้ว
       
        เมื่อกระแสไอโฟน ถูกผูกติดกับรสนิยมหรู มีระดับ ที่ใครๆ ก็อยากครอบครอง สื่อบ้านเราก็ยิ่งประโคมข่าวกระตุ้นสาวกแอปเปิลด้วยการนับเคานต์ดาวน์เพื่อแชะภาพคนซื้อไอโฟนคนแรกในไทย จึงปฏิเสธไม่ได้สื่อมวลชนเองนั่นแหละที่ทำให้คนมีความคิดแบบนั้น 
       
        ก่อนหน้านี้คุณตัน ภาสกรนที ก็เล่นเกมรุกเกาะกระแสแอปเปิล ด้วยการแจกไอโฟน 5 เหมือนกัน แม้ว่าต่อมาจะออกมาประกาศยกเลิกการแจกกลางครัน และก่อนหน้านี้เคยประกาศแจกโทรศัพท์มือถือ OPPO 30 เครื่อง ด้วยกติกาง่ายๆ แค่กด Like แล้ว Share ถือเป็นการทำมาร์เกตติ้งในโลกยุคคนคลั่งเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะเจาะ
       
        ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันพัฒนาไปมาก ไปถึงจุดที่มือถือสมัยก่อนไม่สามารถทำได้ และทำให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้นมาก แม้แต่การวางแผนเดินทาง ดูแผนที่ เช็กข้อมูลจราจรสามารถทำได้ผ่านมือถือทั้งหมด แต่หากเรายึดใช้ตามเทรนด์อย่างไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า หลงเล่ห์กลการตลาดที่โฆษณาปั่นกระแสแก่ผู้คนในสังคม ก็จะติดนิสัยฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายเกินตัว

กรุงเทพฯ แชมป์เมืองเล่นเฟซบุ๊ก 
       ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อสถิติชี้ชัดว่าคนกรุงเทพฯ เป็นเมืองเล่นเฟซบุ๊กอันดับ 1 ของโลก สะท้อนถึงชีวิตคนเมืองทุกวันนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเดินคู่ขนานกับโลกออนไลน์ คุ้นเคยเสมือนหนึ่งเป็นเพื่อนแก้เหงาทั้งยามว่าง และไม่ว่าง จนเทคโนโลยีเข้ามากินพื้นที่ชีวิตมากเกินไป
       
        หากย้อนดูสถิติการเล่นเฟซบุ๊กในแต่ละเมือง อันดับที่ 1 ได้แก่กรุงเทพฯ ประเทศไทย มีคนเล่นกว่า 8,682,940 คน ซึ่งมากกว่าอันดับที่ 2 ราวล้านคน นั่นคือ เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย มีคนเล่นกว่า 7,434,580 คน อันดับที่ 3 ได้แก่เมือง อิสตันบูล ประเทศ ตุรกี มีคนเล่นกว่า 7,066,700 คน 
       
        ลองพิจารณาดูอย่างมีเหตุผลซิว่าทำไมเมืองหลวงเล็กๆ อย่างกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ใหญ่โตไปกว่าหลายๆ เมืองในโลก ถึงได้มีคนเล่นเฟซบุ๊กอย่างไม่ลืมหูลืมดู บางคนไม่หลับไม่นอน นั่งเล่นดึกดื่นยันเช้าจนหัวใจวายตายก็มีเป็นตัวอย่างให้เห็น 
       
        บางคนใช้เฟซบุ๊กไม่รู้จักเวลา เล่นเกมปลูกผักในคาบเรียน แชตเฟซกับเพื่อน อัป โหลด แชร์ ขึ้นสเตตัสในเวลางาน เผลอๆ ใช้คอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยซ้ำ ถ้าบางคนใช้เพื่อทำงานก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าใช้ในเชิงไร้สาระ เป็นสื่อรักจีบสาวก็ไม่ควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเวลางาน กระทั่งกระทรวงมหาดไทย (มท.) ต้องออกคำสั่ง ห้ามข้าราชการมท. เล่นเว็บดัง "เฟซบุ๊ก" ในเวลาราชการ
       
        นับวันอาการติดเฟซบุ๊กของคนไทย มันมากจนเกินขีดความยับยั้งชั่งใจ เชื่อเลยว่าตอนนี้คนใช้อินเทอร์เน็ตเกินครึ่ง ถ้าเปิดคอมพิวเตอร์ปุ๊บ ต้องรีบเปิดเฟซบุ๊กปั๊บ บางคนติดหนักถึงขนาดไม่สนใจคนรอบข้าง นั่งจิ้ม นั่งกด คุยกับคนในโลกออนไลน์ได้ทั้งวันทั้งคืน จนมีกรณีฆ่ากันตาย เพราะหึงแฟนคุยเฟซบุ๊กก็เคยตกเป็นข่าวมาแล้ว
       
        โศกนาฏกรรม และ อาชญากรรมจากเฟซบุ๊กยังมีให้เห็นไม่เว้นวัน จึงควรใช้อย่างมีสติ ถ้าไม่อย่างนั้นจากที่เราเคยใช้มัน อนาคตมันอาจจะใช้เรา
       
       นโยบายรถยนต์คันแรก ทำป้ายทะเบียนหมดประเทศ
        “10 ปีที่ผ่านมาพบว่า กทม.มีรถเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 2.4 แสนคัน แต่ในเดือนสิงหาคมปี 2555 มีปริมาณรถเพิ่มแล้ว 6.7 แสนคัน”
       
        จากนโยบายลดภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ทำให้คนแห่ซื้อรถยนต์เป็นทิวเป็นแถว รถใหม่ป้ายแดงที่ว่าโก้ว่าหรูออกมาขับท่องถนนกันให้เกลื่อน จนจราจรคับคั่งผิดหูผิดตา แม้รัฐบาลจะออกมาปฏิเสธว่าจราจรที่ติดขัดนั้นไม่ได้มาจากนโยบายดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้ทำให้รถยนต์ที่เคยติดอยู่แล้วน้อยลงกว่าเดิม ซ้ำร้ายป้ายทะเบียนที่เราใช้กันมาหลายสิบปีดันหมด จากที่คาดการณ์ว่าจะใช้ได้ถึงต้นปีหน้า
       
        จากข้อมูลการจดทะเบียนรถใหม่ของทางกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขณะนี้เฉลี่ยเดือนละ 50,000 คัน จากปกติมีรถใหม่จดทะเบียนเฉลี่ยเดือนละ 20,000 คัน เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากนโยบายรถยนต์คันแรก ส่งผลให้เลขทะเบียนรถยนต์ที่มีตัวอักษร นำ 2 ตัว ตามด้วยหมายเลข หมดลงในเดือน พ.ย. ทำให้กรมการขนส่งทางบก เตรียมใช้ทะเบียนรถยนต์แบบใหม่อีก แบบมีตัวเลข 1 ตัวนำตัวอักษร 2 ตัว ตามด้วยเลขทะเบียนไม่เกิน 4 ตัวและชื่อจังหวัด เช่น 8กก 8888 กรุงเทพมหานคร
       
        หลังจากมีการใช้ป้ายทะเบียนแบบใหม่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จะสามารถใช้จดทะเบียนรถใหม่ได้อีกนานถึง 157 ปี คิดเป็นจำนวนรถทั้งสิ้น 56,334,366 คัน นี่เป็นตัวเลขในอนาคต เมื่อเทียบกับพื้นที่ถนนในปัจจุบัน แทบทุกมุมตึกในกรุงเทพฯ จะเห็นเส้นถนนพาดสลับกันราวกับใยแมงมุม ทุกพื้นที่สาธารณะใช้เป็นถนนให้รถวิ่ง ซึ่งดูเหมือนถนนแต่ละเส้นไม่พอกับจำนวนรถที่เพิ่มขึ้นทุกปีด้วยซ้ำ
       
        มาถึงตอนนี้ความจริงปรากฏให้เห็นแล้วว่านโยบายรถยนต์คันแรก นอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหารถติดได้ แล้ว หนำซ้ำยังทำให้รถติดหนักเพิ่มไปอีก สังคมบอบช้ำไม่พอยังปลูกฝังค่านิยมเรียนจบต้องมีรถขับ เด็กยังไม่ทันได้ทำงานจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อรถ ถ้าไม่ใช่ครอบครัวสนับสนุน นโยบายลดภาษีรถจึงเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ใหญ่ตาโต แล้วคิดบ้างไหมว่ามันจำเป็นแค่ไหน แถมสิ้นเปลืองพลังงานชาติ และยิ่งเป็นการตอกย้ำนโยบายสอบตกของรัฐบาลชุดนี้ว่าไม่มีความรับผิดชอบ
       
       คนไทยนักชอประดับท็อปของโลก
        ยอดนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นผิดหูผิดตา เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง กระเป๋าถือ แว่นตา รถหรู กำลังพุ่งทะยาน สวนทางส่งออก จนทำให้ประเทศไทยขาดดุลการค้ากว่า 2.7 แสนล้านบาท ขณะที่ต่างชาติมองไทยว่าเป็นประเทศที่มีการเติบโตด้านกำลังซื้อมากที่สุดติดอันดับ 1 ของโลก จากการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลาง ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นภาคการค้าปลีกให้เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       
        จากการสำรวจข้อมูลนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เดินทางไปจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มประเทศยุโรป ในปี 2555 พบว่า นักท่องเที่ยวไทย ซื้อสินค้าและยื่นขอคืนภาษีจำนวนมาก ติดอันดับ 6 ของโลกขณะที่อันดับ 1 ที่ชอปปิ้งในกลุ่มประเทศยุโรปมากที่สุดคือ ประเทศจีน รองลงมาคือ รัสเซีย ญี่ปุ่น อเมริกา และอินโดนีเซีย ตามลำดับ 
       
        แนวโน้มว่าภายใน 3-10 ปี ข้างหน้า ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของชาวยุโรป ยังคงเป็นนักชอปที่ทรงอิทธิพล อย่างกรณีดารา ไฮโซ เซเลบเมืองไทย ก็ถือเป็นนักช้อปแหลกตัวยง ไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่นอน เพราะชอปของเมืองนอกแต่ละที ต้องแบรนด์เนมเท่านั้น ครั้งหนึ่งหมดเงินไปเป็นล้าน เบาๆ ก็หลักแสน มีทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ คอลเลกชันไหนใหม่เอี่ยม เหาะไปซื้อถึงต่างประเทศทันที ในราคาที่สมกับความเป็นซุป'ตาร์เมืองไทย
       
        ล่าสุดมีข่าวว่าสาวอั้ม-พัชราภา ซื้อกระเป๋าแอร์เมส ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ “วิกตอเรีย เบ็คแฮม” ที่ว่ากันว่า ราคาสูงทะลุเพดาน 4 ล้านบาท กระเป๋าใบนี้รึเปล่า? ที่มีส่วนทำให้ไทยขาดดุลการค้า!
       
        คนรวย มีเงินจะซื้อของแพงเพื่อความสุขของตัวเองก็คงไม่มีใครว่า ไม่มีใครห้ามไม่ให้ซื้อได้ แต่ถ้ารวมกันหลายคน ซื้อแล้วซื้ออีก ซื้อไม่รู้จักพอ จนเงินไหลออกนอกประเทศหมด มันคงเป็นเรื่องเสียเปรียบดุลการค้า ส่วนคนมีเงินน้อยแล้วคิดจะเอาตามอย่าง อยากลองเปลี่ยนสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมดูบ้าง ทางเลือกของมนุษย์เงินเดือนเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะใช้บัตรจ่าย เพราะสะดวกและเต็มใจจ่ายแบบไม่รู้สึกว่าเงินก้อนหนาๆ หายไป แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เงินจ่ายออกไปง่าย ถ้าไม่มีวินัยในการใช้เงิน อาจติดหนี้บัตรเครดิตหัวโตแบบไม่รู้ตัว
        บางสิ่งบางอย่างเป็นเพียงแค่เทรนด์ตามยุคตามสมัย พอหมดกระแสนิยมก็สร่างซา หมดความน่าสนใจ ถ้าหากยึดติดมากไปก็ไม่ดี ไม่สนใจเลยก็ไม่ได้ เพราะสังคมโลกมีอะไรมากกว่าที่จะหยุดอยู่แค่ตัวเรา การยับยั้งชั่งใจเป็นสิ่งที่เราตีกรอบให้ตัวเองได้ ตรงเส้นความพอดีที่เรากำหนดเอง จะได้ไม่ติดอยู่ในสังคมบริโภคนิยมมากเกินไป
.............................................................................................

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

LDL, HDL ( ไขมันดีและไขมันไม่ดี )


     สำหรับท่านที่ชอบศึกษาในเรื่องของสุขภาพและเรื่องโภชนาการต่างๆ คงต้องเคยเห็นคำว่า LDL , HDL หรือไขมันดีและไขมันไม่ดีกันอยู่เป็นประจำ เรามาทำความรู้จักกับ LDL และ HDL ในบทความนี้กันดีกว่า... 

     ไขมันดี (HDL) และไขมันไม่ดี (LDL) มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

     LDL (ไขมันไม่ดี) คืออะไร?
     LDL มาจากคำว่า Low Density Lipoprotein (ไขมันไม่ดี) มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นไขมันที่สามารถทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวได้ ไขมัน LDL ทำหน้าที่ลำเลียงคอเลสเตอรอลทั้งหลายออกจากตับเข้าสู่กระแสเลือดในร่างกาย หากคอเลสเตอรอลเหลืออยู่ในกระแสเลือด ก็จะสะสมเป็นตุ่มเกาะอยู่ตามผนังของหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแข็ง เกิดภาวะหลอดเลือดตีบ นานเข้าก็จะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน และส่งผลต่อการเป็นโรคความดันสูง โรคหัวใจขาดเลือด ไตวาย อัมพาตอัมพฤกษ์ เป็นต้น

     LDL (ไขมันไม่ดี) มาจากไหน?
     1. อาหารจำพวกไขมันอิ่มตัว (Saturated Fat) ได้แก่ ไขมันจากสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เป็นต้น (ยกเว้นเนื้อปลา) รวมไปถึง ไข่ เนย ชีส น้ำสลัดสำเร็จรูป ไอศกรีม นมโฮลมิลค์ เค้ก คุ้กกี้ เป็นต้น และไขมันอิ่มตัวยังได้มาจากพืชตระกูลปาล์มอีกด้วย เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น
     ที่ต้องเรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวเนื่องจากโมเลกุลของ LDL จะประกอบด้วยออกซิเจน ไฮโดรเจน และคาร์บอน เรียงตัวกันแน่นจนไม่มีช่องว่างของโมเลกุลที่สามารถทำปฏิกิริยากับโมเลกุลอื่นได้อีก จึงเรียกกันว่า "ไขมันอิ่มตัว"
     2. อาหารจำพวกไขมันทรานส์ (Trans Fat) ไขมันทรานส์นี้เป็นไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fat) อีกชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ไขมันไม่อิ่มตัวทั่วไป (ไม่เหมือนไขมันไม่อิ่มตัวจาก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ น้ำมันมะกอก) ไขมันทรานส์จะมีเรียงตัวของโมเลกุลแบบหันไปคนละทาง โดยไขมันชนิดนี้พบได้มากในสัตว์เคี้ยวเอื้องเช่นวัว ควาย แต่การนำมาใช้เป็นอาหารจะมีการแปรรูปโดยการเติมอะตอมของไฮโดรเจนลงไป ทำให้ไขมันไม่อิ่มตัวเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ (ไขมันที่เป็นไข) เพื่อที่จะเอาไปทำเนยเทียม หรือประกอบอาหารสำเร็จรูปต่างๆ เช่นครีมเทียม ขนมกรุบกรอบต่างๆ ขนมที่มีมาการีนต่างๆ เป็นต้น
  
     HDL คืออะไร?
     HDL มาจากคำว่า High Density Lipoprotein (ไขมันที่ดี) เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง HDL ดีกับหลอดเลือดแดงเนื่องจาก ช่วยป้องกันไม่ให้ คอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, และ LDL สะสมในหลอดเลือดแดง หากขาด HDL ในเลือด ก็จะทำให้เป็นการเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดได้

     เราสามารถเพิ่ม HDL ได้อย่างไร?
     การเพิ่ม HDL ให้กับร่างกายนั้นทำได้หลายวิธี เช่น
     1. การออกกำลังกายที่มีการใช้แรงงานปานกลางหรือแอโรบิก (Aerobic) เป้นการออกกำลังกายที่ทำให้เหนื่อยจนเหงื่อออก และออกกำลังต่อเนื่อง 10 นาทีขึ้นไป เช่น เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งจ๊อกกิ้ง เป็นต้น ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที หรือทุกวันถ้าเป็นไปได้
     2. ควบคุมอาหาร การควบคุมอาหารที่มีแคลอรี่สูงเกินความจำเป็น ควบคู่กับการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงาน เป็นการช่วยเพิ่ม HDLได้ และควรเลิกสูบบุหรี่เนื่องจากบุหรี่จะทำให้ HDL ต่ำลง
     3. หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ เนื่องจากไขมันทรานส์จะไปเพิ่ม LDL (ไขมันไม่ดี) และลด HDL ลง อาหารที่มีไขมันทรานส์มากได้แก่ เนยเทียม มาการีน ครีมเทียมต่างๆ ขนมกรุบกรอบต่างๆ เป็นต้น
     4. เพิ่มอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่นพืชผักต่างๆ (Insoluble) และ อาหารจำพวกธัญพืชต่างๆ (Soluble) หรืออาหารจำพวกเมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี (Whole Grain) เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต โฮลวีท นักวิจัยพบว่าใยอาหารจำพวกนี้สามารถลด LDL ไตรกลีเซอไรด์ และสามารถเพิ่มไขมัน HDL ได้
     5. อย่าลืม ไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) ไขมันโอเมก้า 3 นั้นมีสามตัว ตัวที่หนึ่งคือกรดแอลฟาไลโปอิค (Alpha lipoic acid–ALA) พบมากในน้ำมันพืชบางชนิดและน้ำมันถั่วเหลือง ตัวที่สองคือ กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก (Eicosapentaenoic: EPA) และตัวที่สามเรียกว่ากรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก หรือ DHA (Docosahexaenoic acid) กรดไขมันตัวที่ 2 และ 3 พบมากในน้ำมันปลาทุกชนิด โดยเฉพาะปลาทะเล
  
Thank : 108health.com
............................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

กลับไปดูน้ำที่คุณดื่ม อาหารที่คุณกิน กิจกรรมที่คุณทำ

          “ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ จะช่วยทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกอาหารและเครื่องดื่มทุกอย่าง ได้อย่างสมดุลตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน หรือเรียกว่าการมีแบบแผนการบริโภคที่สมดุล (Balanced Diet) เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าในออฟฟิศทำให้คนมีกิจกรรมทางกายน้อยลง ดังนั้นการรักษาสมดุลพลังงาน (Energy Balance) ระหว่างพลังงานที่ได้รับจากการบริโภคเครื่องดื่มและอาหารต่างๆ กับพลังงานที่ใช้ในการทำกิจกรรมภายในแต่ละวันจึงมีความสำคัญ” นี่คือสาระสำคัญที่เราได้จากนายแพทย์แม็กซีม บิวอิก ผู้อำนวยการโครงการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต ฝ่ายวิทยาศาสตร์และกฎระเบียบผลิตภัณฑ์ เดอะ โคคา-โคลา คอมปานี

          เขาคือนายแพทย์นักโภชนาการที่ดูแลพันธกิจด้านโภชนาการและสุขภาพในภาพรวมของโคคา-โคลาทั่วโลก มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ทั้งยังมีประสบการณ์ทำงานอยู่ในแวดวงกฎระเบียบและความปลอดภัยของอาหารในระดับสากล โดยเคยผ่านการทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศเกี่ยวกับสุขภาพ โภชนาการ และความปลอดภัยด้านอาหารมาแล้วมากมาย อาทิ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) องค์การอนามัยโลก (WHO) เขาเพิ่งเดินทางมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านโภชนาการในกรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ และ GM ก็ไม่พลาดโอกาสดีๆ ด้วยเช่นกัน


          นพ.แม็กซีมบอกว่า จากการที่เคยทำงานและอยู่ในเมืองไทยมาก่อน เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน นับว่าประเด็นด้านโภชนาการของไทยมีพัฒนาการที่ดีมาก โดยเฉพาะปัญหาทุพโภชนาการ ที่เวลานี้มีน้อยและจำกัดวงอยู่ในบางพื้นที่ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะหากมองในภาพรวมแล้ว อาหารในประเทศไทยค่อนข้างจะพอเพียงและหลากหลาย มีทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ที่เพียงพอต่อการบริโภค

          ปัญหาสำคัญปัญหาเดียวคือการเข้ามาของอาหารประเภทใหม่ๆ และการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงของคนเมือง ที่นิยมใช้เครื่องอำนวยความสะดวกมากเกินไปในชีวิตประจำวัน เช่น ลิฟต์ และบันไดเลื่อน เป็นต้น นอกจากมองสถานการณ์ โภชนาการของไทยในภาพรวม นายแพทย์นักโภชนาการยังตอบข้อสงสัยหลายเรื่องที่เราสงสัยใคร่รู้กันมานาน

GM : จำเป็นไหมที่จะต้องคำนวณแคลอรีก่อนกินหรือดื่มเครื่องดื่มในแต่ละครั้ง

นพ.แม็กซีม : การคำนวณแคลอรีอย่างละเอียดตลอดเวลาจะยุ่งยากในการปฏิบัติ เพราะสุดท้ายโดยเฉพาะอาหารที่ปรุงเป็นจานๆ และในแต่ละวันแต่ละคนก็อาจมีการใช้พลังงานที่ต่างกันไปอยู่ดี แต่การรู้และตระหนักถึงข้อมูลแคลอรีของอาหารหรือเครื่องดื่มแต่ละประเภท จะเป็นการย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงการรักษาสมดุลพลังงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเราควรทำควบคู่ไปกับการชั่งน้ำหนักเป็นประจำ ให้รู้ตัวว่าตัวเองกินมากเกินไปกว่าที่เราใช้พลังงานหรือไม่ ถ้าเกินก็ต้องลดปริมาณการกิน และเร่งออกกำลังกายให้กลับมาสมดุล


GM : มีความเชื่อที่ว่า หากต้องการมีร่างกายที่แข็งแรง เราไม่ควรบริโภคข้าวขาหมู หรือ ข้าวมันไก่ เชื่อได้หรือไม่

นพ.แม็กซีม : การที่คุณบริโภคอะไรในมื้อนี้ หรือมื้อหน้า ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัดสินว่า สุขภาพคุณจะดีหรือไม่ เราจำเป็นจะต้องดูภาพรวมว่าโดยทั่วไปแล้ว คุณมีพฤติกรรมในการบริโภคโดยรวมอย่างไร คุณบริโภคอะไรมากน้อยเท่าไหร่ และมีกิจกรรมทางกายหรือการใช้พลังงานมากน้อยเท่าไหร่ ต้องพิจารณากันในระยะยาว ไม่ใช่แค่มื้อใดมื้อหนึ่ง

GM: การดื่มน้ำอัดลมทำให้อ้วนหรือไม่ นอกจากนี้ มีคนบอกว่าดื่มแล้วจะติดด้วย

นพ.แม็กซีม : น้ำอัดลมก็เหมือนกับเครื่องดื่มและอาหารอื่นๆ ที่ให้พลังงาน เมื่อมีการบริโภคที่ไม่สมดุลและเกิดพลังงานส่วนเกิน พลังงานส่วนเกินนี้ ไม่ว่าจะมาจากอาหารหรือเครื่องดื่มประเภทใด ก็สามารถทำให้อ้วนได้ เราจึงไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วน ส่วนเรื่องติดหรือไม่ติด หากพิจารณาจากมุมมองทางการแพทย์แล้ว การบริโภคน้ำอัดลมไม่ได้ส่งผลให้เกิด ‘การติด’ เหมือนกับการเสพติดสารอื่นๆ แต่เป็น ‘ติด’ ในการพูดถึงสิ่งที่ชื่นชอบมากๆ ทำให้คำว่าติดบางครั้งก็ถูกนำมาใช้กับการบริโภคน้ำอัดลม ทั้งที่ความจริงน้ำอัดลมไม่ได้ก่อให้เกิดอาการ ‘ติด’ ตามความหมายทางการแพทย์แต่อย่างใด

GM : ความแตกต่างระหว่างโค้ก Regularโค้ก Light กับโค้ก Zero แบบไหนเหมาะกับผู้บริโภคประเภทไหน

นพ.แม็กซีม : สิ่งที่แตกต่างกัน คือ ปริมาณแคลอรี โค้ก Regular จะเป็นประเภทให้พลังงาน ส่วนโค้ก Light และโค้ก Zero จะไม่ให้พลังงาน ผู้บริโภคเลือกได้ว่าผลิตภัณฑ์ไหนเหมาะกับตัวเอง ขึ้นอยู่กับรสชาติที่ชอบ รวมถึงวิถีชีวิตของแต่ละบุคคล

Thank : Mthai
...................................................................................................

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

VRZO เทพนิยายความรักของเจเนอเรชั่นวาย

          5 วันเท่านั้นที่คลิปขอแต่งงานกลางห้างฯ ของปลื้ม-สุรบถ หลีกภัย และ ทับทิม-มัลลิกา จงวัฒนา มีผู้ชมคลิปทะลุ 1 ล้านวิว!!!

          เป็นปรากฏการณ์ถึงขนาดว่าข่าวมงคลสมรสนี้ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์หัวสีแทบทุกฉบับ สำหรับ GM แล้ว ปลื้ม-ทับทิม เป็นตัวแทนของหนุ่มสาวเจเนอเรชั่นวายอย่างแท้จริง

          ผลงานที่ผ่านมาของพวกเขา นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความสวยงามชวนฝัน สนุกสนานสุดเหวี่ยงจนถึงขั้นหลุดโลก

          เรื่องราวความรักของพวกเขาที่กำลังสุกงอม ก็ได้สะท้อนถึงความ ‘เปลี่ยนผ่าน’ ทั้งรูปแบบสื่อสารมวลชน และความหมายของคำว่า ‘ความรัก’ แห่งยุคสมัย

          ความรักแห่งยุคสมัยใหม่ คือความรักที่แสดงให้เห็นกันอย่างดาษดื่นในโซเซียลมีเดีย


          เชื่อว่าคุณก็คงเคยเห็นสิ่งเหล่านี้จนชินตา ประมาณว่า คำรัก คำคิดถึง ตลอดจนคำมั่นสัญญา อารมณ์ดรามาติกต่างๆ ถูกขับเน้นกันออกมาสม่ำเสมอบนหน้าไทม์ไลน์ ราวกับเป็นงานแสดงนิทรรศการเอ็กซิบิชั่น

          คนเป็นแฟนกันวันนี้ ต่อให้วัยไหนก็เถอะ เด็กมัธยมไปจนถึงคนวัยทำงาน ถ้าลองเขาและเธอเป็นสมาชิกของเฟซบุ๊ค คุณต้องได้เห็นภาพคู่ที่ดูชู้ชื่นออกสู่สายตาสาธารณชน

          ภาพคู่รัก ภาพสวีตของหนุ่มสาวหลายคู่ การออกเดท มื้ออาหารสุดหรูหรา ขนมนมเนยฟูฟ่องอยู่ระหว่างกลางคนหนุ่มสาวเจนวาย หลายคู่ถ่ายภาพหวานหยดในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวสุดสัปดาห์ โพสต์ภาพการกอดรัดขึ้นโชว์หราในอินสตาแกรม

          ความรักเข้าสู่สภาวะเปิดเผย Shoot & Share ภาพคนรักกับสถานที่ต่างๆ อยู่ตลอดเวลาจนกลายเป็นเรื่องปกติ บางคู่ใช้ Social Cam คล่องมือ ก็จะอัพโหลดเป็นคลิปวิดีโอ บางคู่ฝ่ายชายถึงขั้นโชว์เหนือตัดต่อมิวสิกวิดีโอกับเพลงเมโลดี้เพราะๆ ราวกับเป็นพรีเซนเทชั่นงานเวดดิ้ง (ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะแต่งกันจริงไหม)

          เพื่อนฝูงของเจนวาย ต่างก็มีพันธกิจตามกดไลค์ภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และถ้อยคำหวานๆ เหล่านั้นไปอย่างขื่นๆ เพื่อแสดงความยินดี ให้ความคิดเห็นเป็นไปในทางบวก

“เหมาะสมกันจุงเบย”

“น่อร้ากกกกอะ”

“แสรดดดดมีแฟนแล้วหรา ดีจายด้วยนะ เพื่อนกรูก็มีคนอาววว์” ฯลฯ

          พอสรุปความรักความชอบพอของยุคสมัยนี้ได้ว่า คือ การแสดงออก ความเปิดเผยกันและกันอยู่ในแฟนตาซีของมิวสิกวิดีโอ


          เหล่านี้ก็คือพล็อตเรื่อง เป็นแกนการดำเนินความรักของคู่รักในยุคนี้ แม้กระทั่งการประกาศถึงเรื่องใหญ่ในชีวิต ถึงขั้นการเปลี่ยนแปลงสถานะ เช่น การแต่งงาน การสวมแหวน

          ดูเหมือนว่าคู่รักในปี 2012 นี้ ต้องการผู้ชม หรือ Audience ราวกับเป็นดารากำลังเข้าฉากละครทีวี มันไม่ใช่การร่วมเป็นสักขีพยานความรัก แบบที่เราคุ้นเคยกันในยุคสมัยก่อนๆ

          พล็อตเรื่องเหล่านี้ดำเนินไปเพื่อให้เห็นว่าความรักของเขาและเธอดูยิ่งใหญ่ โอ่อ่า น่ารัก อบอุ่น น่าเอาเยี่ยงอย่าง เป็นประวัติศาสตร์ส่วนบุคคล ที่ต้องการผู้อื่นมามีส่วนร่วม ผมเชื่อว่ามุกเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานของปลื้ม VRZO กับหญิงสาวคนรักน้องทับทิม จะกลายเป็นเทรนด์ เป็นแนวทางให้หลายคู่ไปทำตาม แล้วนำมาเผยแพร่สู่โซเซียลมีเดียบ้าง

            ความรักในยุคก่อน ต้องประกาศผ่านศาสนาและพิธีกรรมหลั่งน้ำสังข์ ขบวนขันหมาก จะมาแค่เปลี่ยนสถานะ In Relationship แล้วถ่ายรูปชิมิ ชิมิ ไปอัมพวา เอเชียทีค ซานโตรินี่ บิ๊กเมาเท่น เรียกดาร์ลิงกันไปมาแบบยุคนี้ ดูจะไม่ใช่กรอบความรักที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป

           มายุคนี้ถ้าฝ่ายชายแสดงความรักได้เข้าตามหาชน นับจำนวนไลค์ที่มากพอ พูดโพล่งผ่านโซเซียลบ่อยๆ ว่าคิดถึง “เค้ารักตะเอง” ฝ่ายหญิงอาจจะเริ่มใจอ่อนและยอมจำนนต่อจำนวนไลค์ ด้วยถ้อยคำหวานเสี่ยว… ก็เป็นได้

ผมขอให้ไว้ 3 คำสำหรับความรักยุคนี้

“หมั่น-ตรวจ-ทาน”

Thank : Mthai
................................................................................................

วิกรม กรมดิษฐ์ มองโลกในปีมะเส็ง


          ผมคิดว่าอเมริกายังไม่พ้นจากภาระของหนี้สิน และภาระที่ต้องเติบโต จะต้องไปสร้างอะไรต่างๆ ซึ่งจะทำให้อเมริกายังไม่สามารถกลับเข้าสู่ระบบที่มีสุขภาพที่แข็งแรงเหมือนอดีต

          ส่วนยุโรปนั้นผมว่าหนักกว่าอเมริกาเข้าไปอีก เพราะว่าหลายๆ ประเทศในยุโรปไม่มีวินัยทางด้านการเงิน และมีหนี้มีสินมากกว่า GDP เป็นเท่าตัว

          อเมริกามีหนี้สาธารณะมากกว่า GDP ของเขาประมาณเท่านึง แต่ในยุโรปบางประเทศนั้นมีหนี้สาธารณะมากกว่า GDP เกือบๆ 2 เท่าแล้ว

          ตรงนั้นคงเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดเป็นภาระ ซึ่งถือว่าเป็นภาระที่ลำบาก ที่จะทำอย่างไรให้สามารถที่จะกลับมาเข้มแข็งและสุขภาพดีเช่นดังเดิม อันนี้ก็เป็นประเด็นข้อแรก

          ส่วนอีกประเทศนึงซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กันก็คือ ‘ญี่ปุ่น’ ซึ่งตอนนี้มีหนี้สาธารณะเป็น 2 เท่าของ GDP เลยทีเดียว

          สิ่งที่ญี่ปุ่นอาจจะแตกต่างจากที่อื่นก็คือว่า ตอนนี้ญี่ปุ่นได้กระจายไข่ไปไว้ในตะกร้าที่อื่นทั่วโลกเลย ฉะนั้นที่อื่นผลประกอบการดี แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นเองผลประกอบการกลับแย่ แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นตอนนี้ก็ยังขาดทุนเลย เพราะคนย้ายออกไปนอกประเทศ ไม่ไปลงทุนก็ย้ายครอบครัวไปเลย

          อันนี้ก็เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า ภายในของญี่ปุ่นนั้นไม่เข้มแข็งแล้ว แต่การที่ภายนอกเติบโตมาได้อย่างนั้นก็เท่ากับไปเอื้อไปเกื้อกูลให้ประเทศญี่ปุ่นยังมั่นคง ถึงแม้ว่าจะเป็นหนี้เยอะก็ตาม

          ฉะนั้นต่อไปญี่ปุ่นจะไม่เหมาะกับการผลิตแล้ว แต่จะเหมาะกับเรื่องของการทำการตลาด การค้นคว้าและวิจัย สายการผลิตของญี่ปุ่นจะไม่อยู่ในประเทศ

           นั่นก็เป็นภาพรวมว่า 3 กลุ่มนี้เขากินสัดส่วนของ GDP โลกไปประมาณสัก 65% แปลว่า 65% ของโลกป่วย

          เอเชียของเราก็ต้องอาศัย 3 กลุ่มนี้เป็นผู้ซื้อ เพราะว่าเอเชียต้องอาศัยการส่งออก ฉะนั้นเอเชียของเราจะมีการเติบโตทางด้าน GDP ลดลงอย่างทั่วหน้า

          ตรงนั้นก็จะเป็นภาพให้เห็นว่าตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไป การเติบโตของเราทางด้านการส่งออกไปประเทศเหล่านั้นจะน้อยลง และจะมีประเทศที่ยังมีเงินมาก และยังมีการเติบโตภายในสูงก็คือ ‘จีน’ กับ ‘รัสเซีย’

          จีนนั้นด้วยความที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจากการค้าขายกันมาในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ถึง 3.3 ล้านล้านเหรียญฯ บวกกับรัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีหนี้เลย แต่มีทรัพยากรมากที่สุดในโลก พอรัสเซียบวกกับจีนก็กลายเป็นตัวที่มาโป๊วให้ประเทศไทยสามารถที่จะส่งของออกไปได้

          นั่นก็คือเรื่องที่กำลังจะต้องเกิดขึ้น และจะต้องเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าบริษัทส่งออกของไทย และของอาเซียนนั้น ตอนนี้ต้องระวังตัวถ้าจะไปอาศัยกลุ่มประเทศเดิมๆ นั้นก็คงไม่ได้ จะต้องไปหาตลาดในจีนกับรัสเซียมากขึ้น

          ส่วนอาเซียนเองนั้น เนื่องจากมีจุดเด่นอยู่ 2-3 ประเด็นที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

          หนึ่ง...อาเซียนกำลังจะรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ฉะนั้นจึงกลายเป็น ‘จุดขาย’ เมื่อเป็นจุดขายก็ทำให้คนที่มีเงินในประเทศ3 กลุ่มข้างต้นกำลังมองมาที่ประเทศในอาเซียนว่าต่อไปในอาเซียนนั้นทั้งต้นทุนถูก เพราะไม่มีเรื่องของชายแดนแล้ว ประเทศเหล่านั้นก็จะมาดู พอดูไปดูมาในช่วงปีกว่าๆ สองปีนี้ก็มองเห็นว่า ‘ไม่เลว’ ดูผลประกอบการจากดัชนีที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยหรือในอาเซียนมีผลประกอบการดี เมื่อผลประกอบการดีก็เอาเงินมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

          เมื่อเป็นไปในรูปแบบนี้ หลายๆ คนก็มุ่งมาที่อาเซียนเพื่อที่จะเอาเงินเร็วๆ แทนที่จะเก็บเงินของตัวเองอยู่แต่ในประเทศที่เศรษฐกิจแย่ๆ ก็เอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นของอาเซียน และนั่นทำให้ตลาดหุ้นบ้านเราขึ้นไปถึง 1,400 จุด ซึ่งไม่เคยมีเพราะว่ามีเงินสดของคนรวยไหลออกจากประเทศเหล่านี้ อันนี้คือข้อที่หนึ่งที่เป็นสาเหตุให้ตลาดหุ้นบ้านเราขึ้นเอาๆ

          ข้อที่สอง เมื่อมันเติบโตขึ้นมามากขึ้นๆ ก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดดีมานด์ในเอเชียมากขึ้น พวกประเทศที่มีสายการผลิตดีๆ เขาก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเอเชีย เพราะว่าตลาดเอเชียเติบโต ฉะนั้นสายการผลิตก็มาลงทุนในเอเชียกันมากขึ้นโดยเฉพาะในประเทศไทย ดูได้จาก BOI ตอนนี้ทะลุ 1 ล้านล้านบาทแล้ว ซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อน

          ก็เป็นเพราะสองเรื่องนี้ ฉะนั้นสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคนี้ก็คือ ‘เงินทุนที่จะมาลงทุน’ เงินทุนในตลาดหลักทรัพย์, การเงิน-การธนาคาร พวกนี้จะเข้ามา พอเข้ามาปั๊บก็จะกลายเป็นตัวสร้างสมดุล ทำให้มาชดเชยการส่งออกของเราได้

         เมื่อเราไปดูแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ธุรกิจการค้าชายแดนตอนนี้กลายเป็น 1 ล้านล้านบาท ตรงนี้ก็เป็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นเฉพาะตรงนี้ในช่วงนี้ ที่ผมก็มองว่าในปีหน้าของทางด้านเศรษฐกิจก็ไม่ได้เลวร้ายเช่นกับที่เรากังวลกันว่าการส่งออกของเรามีปัญหาแล้วจะไปลดการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งก็ถูก แต่เผอิญเราได้ตัวนี้มาชดเชย

Thank : Mthai
.............................................................................................

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

ซะงั้น! เฟซบุ๊กรัฐสภาไทย ลบผลโพลนิรโทษกรรม หลังคนโหวตค้าน


          ซะ งั้น! เฟซบุ๊กรัฐสภาไทย ลบผลโพล พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หลังคนโหวตค้าน ด้านชาวเน็ตจวกแหลก รัฐบาลยอมรับความจริงไม่ได้ จี้โชว์ผลโพลอีกครั้ง เพื่อความโปร่งใส

          หลัง จากที่ เฟซบุ๊กรัฐสภาไทย ได้ตั้งกิจกรรมให้ชาวเน็ตได้แสดงความคิดเห็นแบบเรียลไทม์ กับหัวข้อ "คุณเห็นด้วยกับการออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรมหรือไม่" โดยระบุว่า จะทำการเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 7-10 มีนาคม ที่ผ่านมา 

          ทั้งนี้ ทางเฟซบุ๊กสายตรงภาคสนามได้ทำการรายงานผลโพลออกมาเป็นระยะ ๆ โดยล่าสุดเมื่อเวลา 22.50 ของเมื่อวานนี้ (10 มีนาคม) ผลโพลปรากฏว่า ไม่เห็นด้วย 7,455 คน และเห็นด้วย 2,341 คน 

          แต่แล้วผ่านไปเพียงไม่กี่นาที เมื่อเข้าดูไปผลโหวตอีกครั้งก็พบว่า ทางเฟซบุ๊กรัฐสภาไทยได้ลบลิงก์ผลโพลทิ้งซะอย่างนั้น พบแต่ข้อความที่ระบุว่า... 

          "นัก วิจัยจะเก็บรวบรวมข้อความที่ท่านโพสต์และทุกความคิดเห็นเรียกว่า Mention ครับ แล้วนำมาวิเคราะห์แยกตามกลุ่มอายุ อาชีพ การศึกษา และภูมิศาสตร์ โดยที่ทุกความคิดเห็นเป็นประโยชน์ครับ ...จากทีมงานวิจัยเชิงลึก"

          "การ สำรวจโพลบนเฟซบุ๊กเป็นการทำวิจัยแบบ Social media monitoring research ซึ่งฝังคำถามไว้มากกว่า 30 แห่ง ในโลกออนไลน์เพื่อทำ seeding เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึก ดังนั้น ผลที่ท่านเห็นต้องรวบรวมจากทุกจุดแล้วมาวิเคราะห์ครับ ซึ่งจะเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 7 - 10 มีนาคม ...ทีมงานวิจัยเชิงลึก"

          ส่วนทางด้าน เฟซบุ๊กสายตรงภาคสนาม ก็ได้โพสต์ข้อความพร้อมประกาศให้แฟนเพจรู้ว่า "เหลือเชื่อ! มีการบล็อคโพสต์โหวตให้แสดงความเห็นกรณีนิรโทษกรรมของเฟซบุ๊กรัฐสภาไทยแล้ว หลังยอดไม่เห็นด้วยพุ่งกระฉูด เกือบ 8 พัน" 

          งานนี้ชาวเน็ตถึงกับเข้าไปพิมพ์วิพากษ์วิจารณ์ กรณีที่เฟซบุ๊กรัฐสภาไทยลบโพลดังกล่าวอย่างมากมาย

Thank : itplaza.co.th
..............................................................................................

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

อันตรายจากน้ำมะนาวเทียม


          ใครที่ชอบทานส้มตำคง คุ้นตาดีกับภาพแม่ค้าขายส้มตำปรุงรสด้วยน้ำมะนาวสีเขียว ใสๆ ที่บรรจุอยู่ในขวดแก้ว (อันที่จริงก็ไม่ถึงกับทุกร้านหรอกนะครับ) น้ำมะนาวที่เห็นนั้นเรียกว่าน้ำมะนาวเทียมหรือเกร็ดมะนาว ให้มีรสเปรี้ยวแหลม ราคาถูก อีกทั้งยังมีสีสันคล้ายคลึงกันกับน้ำมะนาวจริงเกือบทุกประการ

          สิ่งที่ต้องระวังสำหรับผู้ที่ทานน้ำมะนาวเทียมเป็นประจำก็คือ เครื่องปรุงรสดังกล่าวผลิตมาจากกรด “ซิตริก” ซึ่งถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม มีความบริสุทธิ์น้อยและมีสารปนเปื้อนที่สำคัญสามารถย่อยสลายสิ่งต่างๆได้ ไม่เว้นแม้แต่อวัยวะภายในระบบทางเดินอาหารของผู้บริโภค ผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสแซบทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นต้มยำ ส้มตำ หรือแม้แต่น้ำหวานหรือไอศกรีมรสมะนาวต้องคอยสังเกตวัตถุดิบที่พ่อค้า – แม่ค้าใช้ดูให้ดี

          นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของอาหารที่มีสารปนเปื้อนในความเป็นจริงแล้ว อาหารต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม และมุ่งหวังผลประโยชน์การค้าเป็น สำคัญล้วนมีสารพิษชนิดใดชนิดหนึ่งที่เจือปนอยู่ทั้งนั้น นับเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งของมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ไม่อาจสืบทราบ ที่มา ตลอดจนเส้นทางการเดินทางของอาหารที่ตนทานได้

          หนทางป้องก้น จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารปนเปื้อน หรือใช้วิธีการบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน หรือใช้วิธีการรับประทานอาหารเหล่านี้หมุนเนียนสับเปลี่ยนทานอาหารให้ได้ หลากหลายประเภทโดยไม่ซ้ำหน้ากันก็จะช่วยลดความเสี่ยงสะสมในการรับและสะสมสารพิษภายในร่างกายลงได้
          ส่วนการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการ ลด ละ เลิก การใช้สารเคมีนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนาน

Thank : eduzones.com
............................................................................................

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

ร่วมพิธีสมโภช องค์พระพุทธเจ้าน้อย 8-10 มี.ค.นี้


            ในวันที่ 8-10 มีนาคม นี้ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ขอ เชิญประชาชนชาวไทยร่วมพิธีสมโภชและพิธีมหาพุทธาภิเษกพระพุทธเจ้าน้อยที่พวก เราชาวไทยได้ร่วมใจกันจัดสร้างเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะได้มีโอกาสกราบองค์พระพุทธเจ้าน้อย ก่อนจะอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล ที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้

            ทั้ง นี้ สืบเนื่องจาก ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ได้มีพิธีเททองหล่อองค์พระโพธิสัตว์ สิทธัตถะราชกุมาร หรือ พระพุทธเจ้าน้อย โดยมีพระพรหมเวที เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวราราม ผู้แทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ หรือ สมเด็จเกี่ยว อุปเสโณ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า คุณพ่อสมพล เกยุราพันธุ์ และคุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และเหล่าพุทธศาสนิกชน ร่วมประกอบพิธี โดยมีท่านเจ้าคุณราชรัตนรังษี หัวหน้าคณะพระธรรมทูตสายอินเดีย เนปาล, หลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐี, หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน จ.พระนครศรีอยุธยา, เจ้าอาวาสวัดมหาบุตร, หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม นั่งสวดบริกรรมคาถา

            โดย องค์พระพุทธเจ้าน้อย สร้างขึ้นด้วยแผ่นทองสัมฤทธิ์ที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศร่วมบริจาคจำนวนทั้ง สิ้น 840,000 แผ่น น้ำหนักรวม 3 ตัน หล่อองค์พระพุทธเจ้าน้อยที่มีความสูง 3 เมตร 55 เซนติเมตร เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ ทางเข้าสู่มหาวิหารมายาเทวี จุดที่พระพุทธเจ้าประสูติ ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ของการบูรณะครั้งประวัติศาสตร์ ที่เกิดจากพลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทย

            สำหรับ โครงการนี้ นอกจากจะร่วมกันเป็นเป็นการถวายเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังร่วมกันถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และเป็นการเผยแพร่พระเกียรติคุณ ในฐานะที่ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกให้ขจรไปทั่วโลก โดยพระพุทธเจ้าน้อยองค์นี้จะอยู่คู่กับลุมพินีสถานเป็นพัน ๆ ปีเช่นเดียวกับเสาหินอโศกเคียงคู่กัน

คลิป เชิญร่วมสมโภชองค์พระพุทธเจ้าน้อย โพสต์โดย คุณ Lumbini Dev

Thank :kapook.com 
....................................................................................................

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

อย. ทลายแหล่งขายกาแฟลดความอ้วน-ผลิตลูกอม KISLIP


          เลขาธิการ อย. นำทีมบุกยึดทลายร้านขายกาแฟลดความอ้วนผสมสารอันตราย ย่านตลาดใหม่ดอนเมือง และแหล่งผลิตลูกอมแก้เมา KISLIP ย่านทุ่งครุ ย้ำผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อคำโฆษณา

          เมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ร่วมแถลงข่าวการจับกุมกาแฟลักลอบใส่ยาลดความอ้วนและการทลายแหล่งผลิตลูกอม KISLIP ย่านทุ่งครุ ที่อวดอ้างสรรพคุณแก้เมา ช่วยลดกลิ่นแอลกอฮอล์ได้

          โดยนายพสิษฐ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ อย. และตำรวจ บก.ปคบ. ได้บุกเข้าตรวจสอบร้านค้าที่ตลาดแอร์พอร์ต (ตลาดใหม่ดอนเมือง) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และได้ตรวจยึดของกลางเป็นกาแฟลดความอ้วนที่ลักลอบผสมสารไซบูทรามีน ไม่แสดงฉลากภาษาไทย และไม่มีเลข อย. รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท จากร้าน Lady Cosmetic, ร้านนา และร้านแอ๊ด พร้อมเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

          สำหรับผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณลดความอ้วน ซึ่งผสมสารไซบูทรามีนที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ที่ตำรวจยึดมานั้น ประกอบด้วย กาแฟลดน้ำหนัก "กาแฟมหัศจรรย์ 26 วันผอม" บรรจุในกระป๋องโลหะสีแดงและสีขาว กาแฟลดน้ำหนัก คาปานา L-360 กาแฟลดน้ำหนัก BASCHI SLIMMING COFFEE กาแฟลดน้ำหนัก สำหรับคนดื้อ (ลดยาก) BRAZIL POTENT SLIMMING COFFEE

          โดย นายพสิษฐ์ เผยว่า ทาง อย. ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์กาแฟที่ตรวจพบดังกล่าวไม่ได้ผลิตในประเทศไทย จึงขอเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวัง และอย่าหลงเชื่อโดยเด็ดขาดว่ากาแฟเหล่านี้จะสามารถช่วยให้ลดความอ้วนได้ เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองเงินทองและไม่ได้ผลตามที่โฆษณาอวดอ้างแล้ว ยังอาจได้รับอันตรายจากการสารอันตรายในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ อีกด้วย ขอให้ผู้บริโภคพึงระลึกไว้เสมอว่า อาหารไม่ใช่ยา ไม่สามารถช่วยบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรคได้ หากต้องการลดหรือควบคุมน้ำหนักควรควบคุมด้วยการบริโภคอาหารร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วันแทน

         นอกจากนี้ นายพสิษฐ์ ยังกล่าวถึงกรณีเข้าตรวจสอบลูกอมแก้เมา KISLIP ว่า หลังจากที่ได้เข้าตรวจสอบบริษัท พิโก เทคโนโลยี จำกัด เลขที่ 519/400-405 ถ.ประชาอุทิศ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กทม. ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตลูกอม KISLIP เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พบว่า มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการแสดงฉลากไม่ถูกต้องอยู่ 3 รายการ คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร KISLIP, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ORALA และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร FALICIA ซึ่งแสดงฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ แถมบางผลิตภัณฑ์ยังนำเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์อื่นมาแสดงบนฉลากด้วย เจ้าหน้าที่จึงยึดของกลางรวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท และเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 

          ด้าน นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการ อย. เผยว่า ในการตรวจสอบว่าลูกอมมีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายหรือไม่นั้น จำเป็นต้องทราบก่อนว่าลูกอมดังกล่าวมีส่วนผสมของอะไรบ้าง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพยายามเค้นถามส่วนผสมจากผู้ผลิต และขอเอกสารทางวิชาการในการอ้างฤทธิ์ดังกล่าว เพื่อส่งเป็นสารอ้างอิงในการตรวจทางห้องปฏิบัติต่อไป

          สำหรับลูกอมแก้เมาที่มีการจำหน่ายในตามผับบาร์ต่าง ๆ นั้น นพ.บุญชัย กล่าวว่า จะประสานต่อ นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรคให้ดำเนินการตรวจสอบและแก้ปัญหาต่อไป เพราะลูกอมดังกล่าวไม่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยันว่า มีฤทธิ์ลดปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจตามที่อวดอ้าง และไม่มีผลิตภัณฑ์ในลักษณะดังกล่าวขอขึ้นทะเบียนอาหารหรือยากับ อย. 

         นอกจากนี้ เลขาธิการ อย. ยังกล่าวด้วยว่า หากผู้บริโภคพบเห็นการอวดอ้างสรรพคุณผลิตภัณฑ์อาหารเกินจริง ขอให้แจ้งร้องเรียนมายังสายด่วน อย. โทร. 1556 หรืออีเมล 1556@fda.moph.go.th หรือส่งจดหมายไปที่ ตู้ ปณ.1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือเดินทางมาร้องเรียนด้วยตัวเองพร้อมตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ที่ ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย. ได้ทุกวันในเวลาราชการ หรือที่ สายด่วน บก.ปคบ. 1135 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ที่พบกระทำความผิดนั้น ๆ เพื่อ อย.จะได้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

Thank : k@pook
............................................................................................

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

รู้ว่าเสี่ยงแต่ขอลอง!! เหนือเมฆ3 เล็งขึ้นจอเงิน

รู้ว่าเสี่ยงแต่ขอลอง!! เหนือเมฆ3 เล็งขึ้นจอเงิน
          หลังจากละคร “เหนือเมฆ2” โดนปลดกลางอากาศทำให้หลายคนเชื่อว่าการสั่งปลดละครเรื่องนี้เพราะมีเรื่อง การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางด้านของ “นก สินจัย เปล่งพานิช” ในฐานะเบื้องหน้าและเบื้องหลังละครเรื่องดังกล่าวได้แย้มว่ากำลังจะเอาไปทำ เป็นหนัง และเตรียมไปเสนอค่าย “สหมงคลฟิล์ม” แล้วแต่ยังไม่ได้บทสรุป
          ล่าสุด “อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร” เผยว่า เรามีโครงการที่จะทำเหนือเมฆ3 แต่ไม่ใช่ว่าเพราะเหตุที่ภาค2 โดนแบนนะครับ แต่เรามีการคุยกันไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า เหนือเมฆจะมีทั้งหมด3 ภาค และพอเมื่อภาค2 มันเกิดปัญหาขึ้น เราก็เลยคุยกันว่าเราคงไม่สามารถทำเหนือเมฆ3 ในรูปแบบละครทีวีได้ ก็เลยปรึกษากันว่าหรือเราทำเป็นหนังดี เพราะเราเสียดายพล็อตที่เขียนไว้แล้ว และเป็นพล็อตที่ทุกคนเห็นตรงกันว่าเราควรไปในทางนี้แบบนี้ ก็เลยคุยกันว่าทำเป็นหนังดีไหม ผมก็กำลังจะพัฒนาพล็อตนั้นเมื่อมันสำเร็จก็จะเอาไปคุยกับค่ายหนัง ซึ่งอาจจะเป็นสหมงคลฟิล์มครับ
          “ภาค3จะว่าด้วยเรื่องราวของโลกในอนาคตสัก 10 กว่าปีข้างหน้า เป็นเรื่องที่ถ้าในอนาคตมันเกิดวิกฤตการณ์บางอย่างขึ้นในไทยจะแก้ไขอย่างไร และวิกฤตการณ์นั้นเกิดจากอะไร เกิดจากใคร เป็นวิกฤตที่คนคิดไม่ถึง อย่างไฟดับทั้งประเทศ,อินเตอร์เน็ตใช้ไม่ได้ทั้งประเทศจะแก้ไขอย่างไร และมันเกิดขึ้นจากองค์กรไหนเป็นคนบงการ”


          ผู้กำกับชื่อดัง กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องของการเมืองมันก็คงต้องมีบ้างนิดๆ เรื่องใหญ่ๆ แบบนี้มันคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยคนธรรมดาสามัญหรอก มันต้องเกิดขึ้นด้วยองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่รัฐบาลแต่อาจจะเป็นองค์การขนาดใหญ่ ที่มาควบคุมคนที่มีอำนาจในประเทศของเราอีกทีหนึ่ง นักแสดงเท่าที่มองไว้ยังเป็นชุดเดิมครับ มีคุณนก สินจัย, คุณอ๊อฟ พงษ์พัฒน์, หมาก ปริญ, มิ้นต์ ชาลิดา ตัวละครตัวไหนที่ยังไม่ตายก็ยังมีอยู่ครบครับ แต่ในภาค3 เราแทบจะไม่พูดถึงตัวละครที่เกี่ยวกับนักการเมืองเท่าไหร่ เราคิดพล็อตแบบนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เนื้อเรื่องมันจะเกี่ยวกับองค์กรลับที่จะทำการสร้างความเดือดร้อนบางอย่าง
          เมื่อถามว่า ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ช่อง3ไหม “เรียนว่าจริงๆ แล้วพล็อตเรื่องนี้เป็นของเราเองครับ เหนือเมฆทุกภาค ทางเราเขียนพล็อตขึ้นมาเองทั้งหมดครับ เราอยากทำครับ คิดไว้ว่าอยากทำหนังแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะไม่ใช้ชื่อนี้ แต่ใครก็รู้ว่าเรื่องราวมันมีความต่อเนื่องกับเหนือเมฆ 1-2 อยู่ และถ้าทำเป็นหนังผมก็ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับและทางคุณนก ฉัตรชัย ก็เป็นโปรดิวเซอร์ครับ สำหรับการเปิดกล้องยังไม่ทราบเหมือนกัน ต้องรอให้บทที่ไปพัฒนาให้เป็นบทภาพยนตร์เสร็จเรียบร้อยก่อน ซึ่งงบประมาณคงไม่น้อยแน่นอนครับ”
          “จากกรณีเหนือเมฆ2 นั้น ผมไม่เสียเซลฟ์นะครับ ผมเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหนือเมฆ2 โอเคในเมื่อผู้ใหญ่เห็นสมควรว่ามันเป็นแบบนั้น เราก็เข้าใจและขบวนการในการทำงานของเราเสร็จสิ้นลงแล้ว อย่างที่ผมเคยบอกว่าเราเหมือนช่างตัดรองเท้า มีคนมาว่าจ้างให้ทำรองเท้าเราก็ทำ พอทำเสร็จเขาจะเอาไปใส่ ไปขายหรือไปทิ้งก็สุดแล้วแต่เขาเพราะฉะนั้นหน้าที่ของผมเสร็จแล้วครับ” อุ๋ย นนทรีย์ กล่าวทิ้งท้าย

Thank : iMthai News
.....................................................................................

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

Facebook อาจจะตายเร็วกว่าที่คิด


Facebook สูญเสียฐานผู้ใช้วัยรุ่น และอาจจะตายเร็วกว่าที่คิด
          สำหรับนักบริโภคโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คระดับเจนวาย คุณได้ผ่านความรุ่งโรจน์ และร่วงโรย ของทั้ง Hi5 และMySpace มาแล้ว ก่อนจะหมกตัวเป็นผีเฟสบุ๊คในปัจจุบัน แต่ดูเหมือนว่า นี่ก็ใกล้จะปลายยุคของเฟสบุ๊คเข้าไปทุกที แม้จะเพิ่งเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ไม่นาน เพราะตัวแปรอย่างวัยุร่น ไม่ได้สนใจแชร์ “โอ้อวดชีวิตตัวเอง”ลงเฟสบุ๊คอีกต่อไป !! 
          รายงานจาก Forbes ได้นำเสนอเรื่องราวว่า เด็กยุคใหม่ไม่ชอบเฟสบุ๊คเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นเหตุผลให้Blake Ross เฮดฝ่ายสินค้าแห่ง Facebook ถึงกลับลาออกจากบริษัท หลังประเมิณอนาคตว่าเฟสบุ๊คอาจจะไม่ได้ไปไกลต่อจากนี้แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดเผยข้อมูลสอดคล้องของบริษัทที่สูญเสียฐานลูกค้าวัยรุ่นไปแล้วจาก กลต. ของสหรัฐฯ นั่นคือ บริษัท Facebook 

          ซึ่งเหตุผลหลักที่เฟสบุ๊คดูไม่เจ๋ง แล้วในสายตาของวัยรุ่นคือ “การแชร์“ ที่เคยเป็นเรื่องสนุก น่าสนใจ ของแต่ละคน กลายเป็น “การโอ้อวด“ เรื่องส่วนตัว ซึ่งกลับไปยัดเยียดผู้ใช้อื่น กลายเป็นพื้นที่ในการสร้างภาพและสังคมที่น่าเบื่อ ” มันเป็นเรื่องงี่เง่า ที่คนต้องคอยโพสต์รูปชีวิตตัวเองตลอดเวลา โดยไม่มีเหตุผล ผมใช้เฟสบุ๊กติดต่อกับเพื่อนมากกว่า ประมาณสัปดาห์ละครั้ง 2 ครั้งเท่านั้น “ เด็กอายุ 15 รายหนึ่งกล่าว 
          ขณะที่หากมองไปถึงโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอื่นๆ ที่วัยรุ่นสหรัฐฯ อายุ 13-25 ปี ให้ความสนใจ กลับเป็นบริการ Tumblr, Snapchat และ Instagram ข้อมูลจากสำนักข่าวนำเสนอว่า Tumblr เป็นพื้นที่ระบายความเป็นส่วนตัว สามารถหาคนที่มีลักษณะนิสัยเหมือนกับเราได้ ทำให้ไม่เหงา และเป็นการแชร์จริงๆ ในขณะที่ในเฟสบุ๊กตอนนี้ เต็มไปด้วย เพื่อนร่วมงานจนถึงคุณครู และ หัวหน้าห้อง ที่หากโพสต์อะไรไป อาจกระทบต่อชีวิตจริงได้ 

          และอีกเทรนด์คือ Snapchat ที่นิยมส่งข้อความ รูปภาพหากันแทนเฟสบุ๊ค มีความน่าสนใจตรงที่ เมื่ออ่านแล้วมันก็ถูกลบไปในทันที ซึ่งวัยรุ่นนิยมใช้ร่วมกับการแชร์ภาพอินสตราแกรม  ซึ่งหากมองไปถึงอนาคตข้างหน้า การแชร์เพื่อโอ้อวด แชร์รูปแบบ selflies ที่ถ่ายหน้าตัวเอง อัพลงเครือข่ายใดๆ จะไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป 

          ซึ่งจะเห็นได้จากกระแสนิยมการโพสต์ กดไลค์ ในเฟสบุ๊คตอนนี้ ที่เปลี่ยนมาเป็นการบอกความคิด และความรู้สึกให้คนอื่นทราบแล้ว  แต่อาจจะยังไม่ใช่เทรนด์ที่ผู้ใช้เฟสบุ๊คในบ้านเรารู้สึกถึง เพราะเทรนด์อินเตอร์เนตในบ้านเรา จะดีเลย์กับต่างประเทศสักพักใหญ่ๆ เลยนั่นเอง !!

Thank : http://tech.mthai.com/application/24179.html
..............................................................................................

อันตรายจากน้ำดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิท


          อันตรายจากน้ำดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิทประเภทพลาสติก (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) 
          คุณ รู้หรือไม่ว่าการเก็บวางผลิตภัณฑ์อาหารในสถานที่ที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่เว้นแม้แต่น้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับความนิยมสูง เพราะหากเก็บไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม ก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เช่น  
          - ถูกแสดงแดดหรือความร้านเป็นเวลานาน จะทำให้สารเคมีบนขวดพลาสติกสลายตัว และละลายปนในน้ำดื่ม 
          - วาง น้ำดื่มไว้ใกล้สารเคมีหรือวัตถุอันตราย หรือผงซักฟอก น้ำในขวดพลาสติกจะดูดกลิ่นสารเคมีเข้าไปได้ ทำให้มีกลิ่นไม่ชวนดื่ม และมีโอกาสที่สารนั้นอาจปนเปื้อนสู่น้ำดื่ม เราก็จะได้รับสารเคมีเข้าไปด้วย 

          ในกรณีที่เป็นน้ำดื่มบรรจุถัง 20 ลิตร ซึ่งเป็นภาชนะพลาสติกเช่นกัน ถ้าภาชนะหรือถังพลาสติกมีลักษณะต้องห้าม ก็อาจมีอันตรายต่อการบริโภคน้ำดิ่มได้ เช่น  
          -มีรอยแตกร้าว / ขีดข่วนภายใน ทำให้สิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคสะสมตัวปนเปื้อนในน้ำดื่ม 
          - ตัวถังมีสีฟ้าทึบหรือเหลือง ซึ่งอาจเป็นถังน้ำที่ใช้พลาสติกรีไซเคิลแล้วใส่สีกลบเกลื่อน อาจทำให้น้ำที่บรรจุไม่สะอาด 
          - ถังมีลักษณะเป็นซอกมุม มีคอขวดหรือหูหิ้ว ซึ่งเป็นลักษณะที่ยากแก่การล้างทำความสะอาด 

การเลือกซื้อน้ำดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท 
          - ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย อย. และมีเลขสารบบในกรอบเครื่องหมายนั้น  
          - ฉลากจะต้องมีภาษาไทยระบุชื่อน้ำดื่ม หรือน้ำบริโภค ชื่อ และที่ตั้งของผู้ผลิตที่ชัดเจน 
          - ภาชนะบรรจุต้องสะอาด ไม่มีสารปนเปื้อนหรือรอยรั่วซึม ฝาปิดผนึกเรียบร้อย 
          - ลักษณะของน้ำดื่มต้องสะอาดใส ไม่มีตะกอน ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่มีสี กลิ่น รส ที่ผิดปกติ 
          - น้ำดื่มชนิดบรรจุถัง 20 ลิตร ควรเลือกถังชนิดกลม มีสีขาวขุ่น หรือใส สภาพถังต้องสะอาด 

          เพื่อสุขภาพและความปลอดภัย อย่ามองข้ามเรื่องเล็ก ๆ ที่เป็นสาเหตุของอันตรายจากน้ำดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิทประเภทพลาสติก
.............................................................................................