tororichclub

tororichclub

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

เคล็ดลับการซักผ้าขาว

 #เคล็ดลับการคืนชีวิตให้ผ้าขาว

.
.
กลับมาขาวจั๊วะเหมือนใหม่
1️⃣น้ำมะนาว
.
.
วิธีซักผ้าขาว ให้กลับมาสะอาดเหมือนใหม่อีกครั้งนั้น
.
.
เราควรจะเริ่มต้นใส่ใจตั้งแต่
.
.
กระบวนการก่อนซักผ้าเลยครับ
.
.
เพียงแค่ต้มเสื้อสีขาวกับน้ำมะนาวผสมกับน้ำเปล่า
.
.
รอจนเดือด แล้วทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง
.
.
ก่อนจะนำเสื้อผ้านั้น ไปซักตามปกติ
.
.
หรือถ้ายังขาวไม่สะใจสามารถบีบมะนาว
.
.
ลงไปพร้อมกับ การซักปกติได้เลยครับ
แนะนำตัวช่วยสำหรับคุณ
ผงซักฟอก 👉"PURE"👈
.
.
ถ้าคุณสนใจ เกี่ยวกับ
.
.
สาระ ความรู้ การทำความสะอาดต่างๆ
.
.
และไม่อยากพลาด คุณสามารถกดติดตาม
.
.
ได้ที่ เพจ 👉👉ผงซักฟอกPUREนวัตกรรมAI👈👈
.
.
เรามีเคล็ดลับดีดี มาแนะนำให้คุณทุกวันครับ
🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏



 
.
.
ขอขอบคุณผลิตภัณฑ์ TESORO PURE
.
.
สนใจผลิตภัณฑ์ติดต่อ

facebook : pongpattaongan

Line : ptum029900



 




วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

15 ที่พักอัมพวา นอนสบายติดใจแบบใกล้ริมน้ำ




อัมพวาถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายคนมักเลือกจะเดินทางไปเยือนเสมอ เพราะด้วยความหลากหลายของวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ อาหาร และการจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ที่ยังคงเป็นแรงดึงดูดชั้นดี อ๊ะ ๆ แต่จะให้เดินทางแค่วันเดียวก็คงไม่คุ้มค่า และไม่ได้รสชาติการเที่ยวอัมพวาแบบเต็ม ๆ แน่นอนวันนี้กระปุกดอทคอมเลยแวะไปรวบรวมเอา "ที่พักอัมพวาริมน้ำ" มาฝากเพื่อน ๆ กัน ส่วนจะมีที่ไหนน่าสนใจบ้างนั้น ลองไปชมพร้อม ๆ กันเลย ><

1. ฐณิชาฌ์

ฐณิชาฌ์
ภาพจาก thanicha.com

          ที่พักอบอุ่นแนวบูทีครีสอร์ทสไตล์ Thai Contemporary ซึ่งดัดแปลงมาจากเรือนไม้อายุกว่า 100 ปี ท่ามกลางบรรยากาศที่ตั้งอยู่บนจุดชมวิวสวย ๆ ริมคลองอัมพวา ภายในห้องตกแต่งให้เรียบง่ายและเพียบพร้อมไปด้วยความสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ตัวห้องแบ่งออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ ห้องสแตนดาร์ด, ห้องสแตนดาร์ดสำหรับผู้สูงอายุ, ห้องสแตนดาร์ดสำหรับผู้พิการ, ห้องดีลักซ์ เรือนไม้, ห้องดีลักซ์ ยอดมะพร้าว, ห้องแฟมิลี่รูม และห้องแฟมิลี่ สูท เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบริการห้องประชุมและห้องจัดเลี้ยงอีกด้วย

          ราคา : ดูได้จาก www.thanicha.com
          ที่อยู่ : 261 ถนนประชาอุทิศ ตำบลอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 0 3472 5511, 08 9104 5444
          เว็บไซต์ : www.thanicha.com และ เฟซบุ๊ก ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท

2. สบายดีอัมพวา

สบายดีอัมพวา
ภาพจาก sabaideeresort.com

          บ้านพักบรรยากาศดีตั้งอยู่บนโลเคชั่นสวย ๆ ติดริมแม่น้ำแม่กลอง รูปแบบของบ้านอกแบบให้เป็นบ้านทรงไทยประยุกต์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ช่วงโค้งน้ำที่สวยที่สุด และอยู่ห่างจากตลาดน้ำอัมพวาเพียง 15 นาที เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากเดินทางมาพักผ่อนเงียบสงบแบบส่วนตัว ส่วนห้องพักของสบายดีอัมพวามีให้เลือก ได้แก่ ห้องคุณพ่อ, คุณแม่, คุณยาย ราคา 1,690 บาท/2 คน, ห้องคุณลุง และ ห้องคุณป้า ราคา 1,590 บาท/2 คน, ห้องคุณตาราคา 1,800 บาท/2 คน, ห้องคุณปู่  คุณย่า ราคา 1,990 บาท/3 คน, บ้านมิตรภาพ ราคา 3,990-5,000 บาท/6 คน (เตียงเสริม ราคา 400 บาท/คน)

          ราคา : สอบถามโดยตรงจากรีสอร์ทอีกครั้ง อาจมีการเปลี่ยนแปลง
          ที่อยู่ : 17/1 หมู่ 2 ตำบลท้ายหาด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 9415 0594
          เว็บไซต์ : www.sabaideeresort.com และ เฟซบุ๊ก สบายดีอัมพวา

3. Lazy River House

Lazy River House
ภาพจาก lazyriverhouse.com

          บ้านพักบรรยากาศสบาย ๆ ตั้งอยู่ริมโค้งน้ำที่สวยที่สุดของอัมพวา เปิดต้อนรับผู้เข้าพักที่มาเป็นคู่, กลุ่มเพื่อน, ครอบครัว สำหรับที่พักของที่นี่เป็นที่พักติดแม่น้ำ สามารถทำอาหารและปิ้งย่างได้ ภายในรีสอร์ทเปิดให้บริการเพียง 3 ห้อง โดยการเหมาบ้านทั้งหลังเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้เข้าพักมากที่สุด ให้ความรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอยู่ที่บ้านอีกด้วย

          ราคา : สอบถามโดยตรงจากที่พัก
          ที่อยู่ : 4/5 หมู่ 9 ริมแม่น้ำแม่กลอง ตำบลบ้านปรก อำเภอเมือง สมุทรสงคราม
         โทรศัพท์ : 0 3475 3055
          เว็บไซต์ : www.lazyriverhouse.com และ เฟซบุ๊ก Lazyriverhouse

4. อัมพวา ริเวอร์วิว

          บ้านเรือนไทยประยุกต์สองชั้นตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำแม่กลอง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน สามารถมองเห็นแม่น้ำได้กว้างไกลท่ามกลางความร่มรื่น แถมยังตั้งอยู่ห่างจากตลาดน้ำอัมพวาเพียง 600 เมตร นอกจากนี้ยังสามารถเริ่มต้นวันท่องเที่ยวด้วยการทำบุญตักบาตรกับพระสงฆ์พายเรือมารับบาตรในช่วงเช้าได้อีกด้วย สำหรับห้องพักของรีสอร์ทมีให้เลือก 2 แบบ คือ Standard และ Superior เน้นการตกแต่งแบบเรียบง่ายออกแบบ และมีการเพิ่มความเก๋ด้วยการติดกระจกแทนผนังห้องเพื่อรับแสงจากธรรมชาติในตอนกลางวัน

          ราคา : 1,500-3,000 บาท
           ที่อยู่ : 44 หมู่ 3 ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
           โทรศัพท์ :  0 3475 1202, 08 6329 9522
          เว็บไซต์ : www.amphawariverview.com และ เฟซบุ๊ก Amphawa River View (อัมพวาริเวอร์วิว)

5. บ้านแสงอรุณ

บ้านแสงอรุณ
ภาพจาก baan-sang-aroon.com


          บ้านพักท่ามกลางธรรมชาติ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ใกล้ตลาดน้ำอัมพวา เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับเดินทางมาท่องเที่ยว ล่องเรือไหว้พระ ล่องเรือชมหิ่งห้อย ภายในห้องเน้นการตกแต่งแบบเรียบง่ายเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย สำหรับห้องพักวันปกติ (วันจันทร์-พฤหัสบดี) ราคา 900 บาท/คืน, วันหยุด ธรรมดา (ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์) ราคา 1,500 บาท/คืน, วันหยุดนักขัตฤกษ์ ราคา 1,700/คืน และที่นอนเสริมราคา 400 บาท/คน

          ที่อยู่ : 146 ถนนสมุทรสงคราม-บางแพ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 1005 4232, 06 1465 5856
          เว็บไซต์ : www.baan-sang-aroon.com และ เฟซบุ๊ก บ้านแสงอรุณรีสอร์ท ณ อัมพวา

6. บ้านชื่นกมล

บ้านชื่นกมล
ภาพจาก baancheunkamol.com


          รีสอร์ทบรรยากาศสบาย ๆ ที่เน้นการสัมผัสบรรยากาศริมน้ำ ผสมผสานกับความร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ เงียบสงบ ที่พักเน้นการตกแต่งเรียบง่ายสบายตา เพื่อการพักผ่อนสะดวกสบายในราคาที่ไม่แพง สำหรับห้องพักแบ่งออกเป็น 4 แบบ ให้เลือก ได้แก่ บ้านไม้ในสวน, บ้านชวนชมธรรมชาติ, บ้านนิวาสริมน้ำ และ บ้านแก้วมุกดา ซึ่งบ้านแต่ละหลังตั้งอยู่ภายในสวนผลไม้นานาชนิด

          ราคา : 1,300-1,500 บาท (เสริมเพียงเพิ่ม 300 บาท/คน)
          ที่อยู่ : หมู่ 2 ตำบลบางนางลี่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 1372 3805, 08 9836 1148
          เว็บไซต์ : baancheunkamol.com และ เฟซบุ๊ก Baancheunkamol Amphawa

7. บ้านทิพย์สวนทอง

บ้านทิพย์สวนทอง
ภาพจาก baantip.com

          ที่พักที่เหมาะสำหรับหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองกรุงและความแออัดเพื่อไปพักผ่อนแบบใกล้ชิดธรรมชาติ เน้นการพักผ่อนแบบวิถีไทย พร้อมด้วยธรรมชาติเขียวชอุ่ม ความอุดมสมบูรณ์ของสวนผักผลไม้และการปลูกผักออร์แกนิค ส่วนห้องพักของรีอร์ทมีให้เลือกทั้ง ห้องพักริมแม่น้ำ และบริเวณสวนออกแบบให้เรียบง่ายเหมาะกับการพักผ่อนมากที่สุด

          ราคา : ดูได้ที่ baantip.com
          ที่อยู่ : 54 หมู่ 2 ตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
         โทรศัพท์ : 09 6346 9496, 09 2971 1147
          เว็บไซต์ :  www.baantip.com และ เฟซบุ๊ก Baantip Suantong Resort  บ้านทิพย์สวนทอง รีสอร์ท

  8. บ้านบุบผารีสอร์ท

บ้านบุบผารีสอร์ท
ภาพจาก boobpharesort.com

          ที่พักที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังอายุกว่า 100 ปี ตั้งอยู่ริมคลองอัมพวา เน้นการพักผ่อนแบบสัมผัสบรรยากาศสบาย ๆ พร้อมชมของสะสมของโบราณ ตั้งอยู่ห่างจากตลาดน้ำอัมพวาเพียง 200 เมตร สำหรับห้องพักแบ่งออกเป็นหลายประเภทมีให้เลือก อาทิ ห้องมรกต, ห้องสุพรรณิการ์, ห้องรสสุคนธ์, ห้องสร้อยฟ้า, ห้องไพลิน, ห้องไข่มุก, ห้องชวนชม, ห้องพวงชมพู, ห้องโยธกา และห้องฟ้าคราม

          ราคา : 800-1,200 บาท
          ที่อยู่ : 190,192,194 ตำบล อัมพวา อำเภอ อัมพวา สมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 4752 7176, 08 7529 3470, 08 7095 0803
          เว็บไซต์ : www.boobpharesort.com

9. เพลิณอัมพวา

เพลิณอัมพวา
ภาพจาก ploenamphawa.com

          ที่พักที่ดัดแปลงมาจากเรือนแถวริมน้ำอายุกว่า 60 ปี ภายในห้องพักตกแต่งในสไตล์ย้อนยุค ท่ามกลางความร่มรื่นของธรรมชาติ เพื่อให้ได้สัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนคนริมคลองอัมพวาอย่างแท้จริง แถมยังตั้งอยู่ใกล้ตลาดน้ำอัมพวาเพียง 200 เมตรเท่านั้น ส่วนห้องพักแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ Standard room และ Deluxe (ไม่อนุญาตให้น้ำสัตว์เลี้ยงเข้าพัก)

          ราคา : วันอาทิตย์-ศุกร์ ราคา 1,400-2,500 บาท, วันเสาร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ราคา 1,800-3,000 บาท
          ที่อยู่ : 279 คลองอัมพวา ตำบลอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 0934 3400
          เว็บไซต์ : www.ploenamphawa.com และ เฟซบุ๊ก อัมพวาพาเพลิน Amphawa Paplearn

10. บ้านตุ่มรีสอร์ท

บ้านตุ่มรีสอร์ท
ภาพจาก baantoomamphawa


          บ้านพักริมแม่น้ำแม่กลองที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของการพักผ่อนแบบใกล้ชิดธรรมชาติ สำหรับห้องพักเน้นการออกแบบที่หลากหลาย ห้องกว้างขวาง สวยงาม พร้อมด้วยการบริการสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน โดยมีทั้งหมด 6 ประเภท ได้แก่ บ้านริมน้ำ ราคา 1,500 บาท พักได้ 2 คน, บ้านริมสวน ราคา 1,200 บาท พักได้ 2 คน, บ้านริมใจ ราคา 400 บาท พักได้ 14 คน (ราคา 400 บาท/คน ( 7 คนขึ้นไป)), บ้านเรือ ราคา 2,700 บาท พักได้ 5 คน, บ้านไม้ริมน้ำ ราคา 1,200 บาท พักได้ 2 คน และบ้านกลางใจ ราคา 1,200 บาท พักได้ 2 คน

          ที่อยู่ : 88 หมู่ 8 ตำบลบ้านปรก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 0434 3999, 08 7325 9908
          เว็บไซต์ : baantoomamphawa

11. รีเวอร์โคโค่

รีเวอร์โคโค่
ภาพจาก rivercoco.com

          บ้านพักแนวบูติกเน้นการออกแบบสไตล์น่ารัก ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบเงียบสงบกลางสวนผลไม้ ใกล้ตลาดน้ำอัมพวา บนเนื้อที่ 4 ไร่ ส่วนห้องพักเปิดบริการเพียง 9 ห้องเท่านั้น ตกแต่งอย่างเรียบง่ายใกล้ชิดธรรมชาติ และมีระเบียงเล็ก ๆ สำหรับชมวิวริมน้ำได้ โดยแบ่งประเภทให้เลือก ได้แก่ ห้องชั้นบนวันอาทิตย์–ศุกร์ ราคา 1700 บาท (วันเสาร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ราคา 2200 บาท), ห้องริมคลอง วันอาทิตย์–ศุกร์ ราคา 1500 บาท, วันเสาร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ราคา 2000 บาทและห้องริมสวน วันอาทิตย์–ศุกร์ ราคา 1300 บาท ส่วนวันเสาร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ราคา 1800 บาท

          ที่อยู่ : 7 ตำบลอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 6644 4648, 08 8000 9169, 08 1868 9853, 08 0922 2247
          เว็บไซต์ : www.rivercoco.com

12. เรือนไม้ริมน้ำโชติกา

เรือนไม้ริมน้ำโชติกา
ภาพจาก chotikariverfront.com

          เรือนพักริมน้ำที่สะดวกสบายท่ามกลางธรรมชาติเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับธรรมชาติ ความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและสงบสุขของชุมชนริมน้ำ โดยตัวรีสอร์ทตั้งอยู่ริมโค้งน้ำที่ยื่นออกมาในแม่น้ำ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำได้ทั้ง 2 ด้าน สำหรับตัวห้องพักมีลักษณะเป็นเรือนแถวสร้างด้วยไม้ตั้งอยู่ริมน้ำ มีทางเดินเป็นระเบียงหน้าห้องพักเลียบไปกับคลอง ด้านหน้าทุกห้องเป็นกระจกใส แต่ละห้องมี 1 ห้องนอน, 1 ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำส่วนตัว

          ราคา : ดูได้จาก www.chotikariverfront.com
          ที่อยู่ : 21/1 หมู่ 3 ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 0 3475 1042, 08 1705 4977
          เว็บไซต์ : www.chotikariverfront.com และ เฟซบุ๊ก Chotika Riverfront เรือนไม้ริมน้ำโชติกา อัมพวา

13. บ้านกอไผ่รีสอร์ท

บ้านกอไผ่รีสอร์ท
ภาพจาก baankorpai.com


          รีสอร์ทน่ารัก ๆ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "บ้านหลังที่สองเพื่อการพักผ่อนของคุณ" เพียบพร้อมด้วยบรรยากาศความสวยงามที่ครบครัน สะดวก ปลอดภัย และอยู่ห่างจากตลาดน้ำอัมพวาเพียง 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ทางรีสอร์ทยังมีบริการสวนอาหารพร้อมด้วยเมนูอร่อยสำหรับผู้เข้าพักหรือนักท่องเที่ยวทั่วไปอีกด้วย สำหรับห้องพักแบ่งออกเป็นรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้ บ้านพักแฟมิลี่ บ้านไม้ราคา 2,000 บาท พักได้ 4 คน, บ้านฮันนีมูน บ้านไม้ ราคา 1,500 บาท พักได้ 2 คน, บ้านแฮปปี้โฮม บ้านไม้หลังใหญ่ราคา 4,500 บาท มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พักได้ไม่เกิน 8 คน

          ที่อยู่ : 219 ตำบลสวนหลวง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 1341 1560
          เว็บไซต์ : www.baankorpai.com

14. ชบาบานฉ่ำ รีสอร์ท

          โรงแรมขนาดเล็กที่รายล้อมไปด้วยโฮมสเตย์และที่พักมากมาย ตั้งอยู่ริมน้ำในบริเวณตลาดน้ำอัมพวา เยื้องกับมูลนิธิอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ ตัวโรงแรมตั้งขึ้นจากกลุ่มเพื่อนที่ตั้งใจให้ทุกคนที่เข้ามาพักได้สัมผัสกับความโรแมนติกของตลาดน้ำโบราณยามเย็นมากที่สุด นอกจากนี้ยังจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนอัมพวาได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย ส่วนห้องพักแบ่งออกเป็นออกเป็น 12 ห้องใน 2 รูปแบบ คือ Superior room และ Deluxe Room เท่านั้น นอกจากนี้ด้านหน้าของที่พักยังมีศาลาริมน้ำสไตล์บาหลีเพื่อให้เป็นที่พักผ่อนอีกด้วย

          ราคา : 1,500-2,400 บาท
          ที่อยู่ : 198/1-3 ถนนเลียบนที ตำบลอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 1984 1000, 08 9449 0415
          เว็บไซต์ : www.chababaancham.com

15. กนกรัตน์ รีสอร์ท

กนกรัตน์ รีสอร์ท
ภาพจาก kanokratresort.com


          และสุดท้ายกับรีสอร์ทสไตล์ประยุกต์ที่ผสมผสานกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังสอดคล้องกับธรรมชาติบ้านสวน เหมาะสำหรับการพักผ่อน ภายในรีสอร์ทมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อม สำหรับห้องพักแบ่งออกเป็น 2 แบบ ทั้งบ้านวิลล่าชั้นเดียวและบ้านวิลล่าสองชั้นสไตล์บาหลี (แผนผังโรงแรม www.kanokratresort.com) นอกจากนี้ยังมีแพ็กเกจท่องเที่ยว รวมทั้งมีการจัดพาหนะสำหรับเที่ยวไว้ให้ผู้เข้าพักได้เลือกอีกด้วย

          ราคา : วันอาทิตย์-พฤหัสบดี ราคา 950 บาท, วันศุกร์ 1,250 บาท และ วันเสาร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ราคา 1,500 บาท
          ที่อยู่ : 50/5 ตำบลบ้านปรก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
          โทรศัพท์ : 08 1434 8243
          เว็บไซต์ : www.kanokratresort.com และ เฟซบุ๊ก Kanokrat Resort


          เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการไปเที่ยวพักผ่อนริมน้ำได้เป็นอย่างดี ว่าแล้วสุดสัปดาห์นี้ชวนครอบครัว เพื่อน ๆ หรือคนรักไปพักผ่อนแบบสบาย ๆ ที่อัมพวากันดีกว่า


หมายเหตุ : ราคาและข้อมูลต่าง ๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาตรวจสอบอีกครั้ง

ที่มา : travel.kapook.com

เทคนิคการจัดสวนให้เข้ากับบ้านสไตล์โมเดิร์น

           สำหรับใครหลายๆ คนที่ชื่นชอบบ้านและสวนสไตล์โมเดิร์น ต้องการความร่มรื่น มีสวนอยู่ในบริเวณบ้านสไตล์โมเดิร์น ที่ดูมีความทันสมัยผสมผสานเข้าด้วยกัน แต่ก็ยังมีความเป็นธรรมชาติแอบซ่อนอยู่ เน้นการทำกิจกรรมภายนอกอย่างการมาอ่านหนังสือหรือมาปิกนิคกับครอบครัวเชื่อมต่อจากภายในบ้านออกมายังภายนอก


ภาพจาก desiretoinspire.net
    คำนึงถึงคอนเซ็ปต์ในภาพรวม
            ต้นไม้ก็เหมือนกับงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่จะนำเข้ามาตกแต่งในบ้าน ฉะนั้นสิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงคือ คอนเซ็ปต์หรือจุดประสงค์หลักของการออกแบบที่พักอาศัย จุดที่แสงแดดเข้าถึง และการดูแลรักษา เพราะทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้รู้ว่า ควรนำต้นไม้ชนิดใดมาปลูก เมื่อนำเข้ามาแล้วจะเอาไว้ตกแต่งไว้ที่จุดใดของห้อง นอกจากนี้ยังบอกได้อีกว่า ต้นไม้ที่นำเข้ามาปลูกเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยมากน้อยแค่ไหนด้วย


ภาพจาก desiretoinspire.net
    ปลูกไว้ใกล้หน้าต่างหรือบนผนัง
            ต้นไม้จะกลมกลืนกับบ้านสไตล์โมเดิร์นยิ่งขึ้น เมื่อนำไปปลูกไว้ในตำแหน่งที่ดูพิเศษมากกว่าการนำกระถางไปวางไว้บนพื้นเฉย ๆ โดยเฉพาะบนชั้นวางของติดผนังกับขอบหน้าต่างกระจก เนื่องจากเป็นจุดที่ต้นไม้จะได้รับแสงจากธรรมชาติโดยตรง ในขณะเดียวกันวิวทิวทัศน์ภายนอกยังช่วยให้ต้นไม้เข้ากับบรรยากาศภายในได้ดีอีกด้วย เช่น ห้องนั่งเล่นสีขาวสไตล์โมเดิร์น ตกแต่งมุมห้องด้วยไม้ประดับ เป็นต้น ส่วนของตกแต่งชิ้นอื่น ๆ ควรใช้ของที่มีสีสดใสบ้าง ได้แก่ สีฟ้าหรือสีเขียว เพราะเป็นสีที่ช่วยเชื่อมโยงระหว่างต้นไม้กับการตกแต่งภายในได้เป็นอย่างดี


ภาพจาก desiretoinspire.net
    ไม่กั้นทางแสงหรือบดบังทัศนียภาพ
            ต้นไม้ที่จะนำมาปลูกก็ไม่จำเป็นต้องเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่เสมอไป เพราะไม้ประดับในกระถางเล็ก ๆ ก็ช่วยเติมเต็มความสวยงามให้กับบ้านสไตล์โมเดิร์นได้เช่นเดียวกัน เพราะจุดสำคัญอยู่ตรงการจัดวางเสียมากกว่า โดยการจัดวางต้นไม้ที่ดีควรเป็นตำแหน่งที่แสงสามารถส่องเข้ามาภายในได้ และไม่บดบังทัศนียภาพภายนอกก็พอ ส่วนอีกหนึ่งวิธีก็คือ การปลูกต้นไม้ไว้ในขวดสวนแก้ว เพราะนอกจากจะสามารถมองเห็นองค์ประกอบต่าง ๆ ได้รอบด้านแล้ว ยังเพิ่มความงดงามให้กับต้นไม้ในกระถาง พร้อมกับปรับเปลี่ยนมุมต่าง ๆ ให้น่าพักผ่อนมากขึ้นด้วย


ภาพจาก desiretoinspire.net
    ปลูกต้นไม้ที่มีลักษณะเฉพาะ
            ส่วนอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ต้นไม้กลมกลืนไปกับการตกแต่งบ้านสไตล์โมเดิร์นก็คือ ตกแต่งมุมห้องด้วยต้นไม้ที่มีเอกลักษณ์ หรือมีลักษณะแตกต่างออกไปจากต้นไม้ชนิดอื่น เช่น หูช้าง หรือต้นลิ้นมังกร และต้นไม้เหล่านี้จะมีความสวยงามที่โดดเด่นมากขึ้น เมื่ออยู่ท่ามกลางบ้านสไตล์โมเดิร์นที่ตกแต่งด้วยสีขาวเป็นหลัก อีกทั้งรายละเอียดของต้นไม้ที่ไม่เหมือนใครยังช่วยทำให้บรรยากาศโดยรอบไม่น่าเบื่ออีกด้วย

ที่มา: http://www.householder.co.th/

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

"น้ำมันหมู" ของดีที่เราไม่เคยรู้มาก่อน...

สรรพคุณ "น้ำมันหมู" ของดีที่เราไม่เคยรู้มาก่อน


เป็นระยะเวลายาวนาน บางคนร่วมทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ที่เข้าใจผิดคิดว่า "น้ำมันพืช" นั้นดีกว่า "น้ำมันหมู" ในทุกทาง อย่างที่เราๆ ท่านๆ เคยได้ยินได้ฟังสารพัด "คุณประโยชน์" โดยไร้พิษภัยต่อสุขภาพของน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated vegetable oil) ที่ผ่านกรรมวิธี อย่างเช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันงา เป็นต้น
       
       และ "น้ำมันหมู" คือภัยร้ายมหันต์! เนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง นั่นคือสิ่งที่ถูกบอกกล่าวมาแล้วซ้ำๆ
       
       แต่กระนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการนิยมเลือกใช้น้ำมันพืช กลับส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย อาทิ โรคเบาหวาน คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ โรคหัวใจ ความดัน ฯลฯ นั่นคือคำถามที่น่าคิดต่อ ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร 
วันนี้ เราจึงหยิบเอาคุณประโยชน์ข้อดีของ "น้ำมันหมู" มาเสนอเป็นทางเลือก ผ่านถ้อยคำของนายแพทย์วีระชัย สิทธิปิยะสกุล ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 9 พิษณุโลก ที่ได้แชร์ประสบการณ์ของตัวเองไว้และมีการแชร์ต่อๆ กันไปในโลกออนไลน์
       
       "ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ในยุคนั้น คงเหมือนกับครอบครัวของผม ที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง และเชื่อตามโฆษณาที่มีการยิงโฆษณาถี่มากในสมัยนั้น เพื่อพยายามชักจูงให้ผู้คนหันมารับประทานนํ้ามันพืชแทนนํ้ามันหมู โดยการโฆษณาในสมัยนั้นจะใช้นํ้ามันพืชและนํ้ามันหมูแช่ใส่ตู้เย็นเปรียบ เทียบ ทำให้เห็นว่านํ้ามันพืชไม่เป็นไข ส่วนนํ้ามันหมูจะเป็นไข
       
       "แล้วก็จะชักจูงต่อเนื่องด้วยวารสารทางการแพทย์ บทวิจัยทางการแพทย์ การออกสื่อต่างๆ โดยแพทย์และนักวิชาการที่น่าเชื่อถือ ทั้งที่ความจริงแล้วคนเหล่านั้นน่าจะไม่ได้วิจัยหรือทราบอะไรจริง แค่ทราบมาจากในสถาบันการเรียน จากตำราฝรั่ง จากการวิจัยหลอกลวงของฝรั่ง คือวงการแพทย์ของอเมริกาใช้การล่อลวงนี้เพื่อจะทำให้อุตสาหกรรมถั่วเหลือง ของอเมริกาเติบโตขึ้น ซึ่งเรื่องนี้วงการแพทย์อเมริกาเพิ่งออกมายอมรับ ออกบทความว่า "ขอโทษที่หลอกลวงพลโลกให้หลงเชื่อเปลี่ยนมารับประทานนํ้ามันถั่วเหลืองมาก ว่า 60 ปี..."
       
       "ที่บ้านผมจึงเปลี่ยนกลับมาซื้อมันหมูมาเจียวเป็นนํ้ามันหมู เพื่อทำอาหารเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา ก็สังเกตว่าคนในบ้านไม่เห็นมีใครเป็นอะไรมากมาย อาการโรคผิดปกติทางกายที่หลายคนเคยเป็น ก็ดูดีขึ้น จากการตรวจร่างกายเป็นระยะ การเจ็บป่วยที่มีเป็นบ้าง นานๆ ครั้งก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว"
       
       ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผลออกมาเป็นเช่นเนื่องจาก "น้ำมันหมู" เหมาะที่จะใช้กับมนุษย์ เนื่องจากอวัยวะในร่างกายหลายๆ อย่างมีส่วนคล้ายคลึงกัน และในวงการแพทย์ยังมีความพยายามที่จะเปลี่ยนถ่ายอวัยวะภายในของหมูกับคนอีก ด้วย
       
       "การเจียวนํ้ามันหมู ก็ใช้วิธีแบบบ้านๆ ไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องผ่านขบวนการอุตสาหกรรม คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ผมหันมาใช้นํ้ามันหมู และก็รวมถึงรับประทานของทอดน้อยลงด้วย เพราะเมื่อใช้น้ำมันหมูแล้วทำให้ใช้น้ำมันน้อยลง ข้อสังเกตอย่างเวลาที่เราทำกับข้าว การใช้นํ้ามันหมูจะใช้น้อยกว่านํ้ามันพืชครึ่งหนึ่ง แต่ก็ทำให้กับข้าวดูน่าทานมากกว่าและนํ้ามันหมูทำกับข้าวก็หอม อร่อย กว่าทำกับข้าวจากนํ้ามันพืชมากด้วย" 

นายแพทย์ วีระชัย ยังบอกเสริมว่า เพราะน้ำมันพืชนั้นไม่เหมาะกับสภาวะความร้อนในร่างกายและการสกัดน้ำมันพืช ยังต้องใช้ความร้อนสูงมาก ใช้สารเคมีหลายขั้นตอน อีกทั้งขณะที่เราใช้น้ำมันพืช หลายสิบปี จะสังเกตได้ว่า "ห้องครัว" สกปรกมาก
       
       "ท่านลองนำนํ้ามันพืชและนํ้ามันหมู ใส่แก้วสักแก้วละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปตากแดดอาทิตย์หนึ่ง ผมว่าท่านน่าจะเห็นแล้วความแตกต่าง
       
       "นอกจากนี้ ก็ลองล้างเตาแก๊ซ ล้างพัดลมดูดอากาศ จะพบว่ามีคราบสีดำ แข็ง เหนียวหนืด ล้างไม่ออกง่ายๆ ต้องใช้การขูด ขัดอย่างรุนแรงร่วมกับการใช้นํ้ายากัดถึงจะออก แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้นํ้ามันหมู ทำให้ห้องครัวสะอาดมากขึ้น ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น มีละอองไขมันไปเกาะข้างฝาและหลอดไฟน้อย" 
       
       "คือผู้ป่วยหลายๆ รายที่มีอาการเจ็บป่วย รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย แพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนโบราณทั้งจีนหรือไทย แนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยน อาการป่วยก็ทุเลาหายได้ เพราะเหตุใด.. ผมก็ไม่กล้าจะกล่าวว่า แพทย์แผนปัจจุบันหลายท่าน ที่มีประสบการณ์การรักษาโรคมายาวนานและศึกษาองค์ความรู้รอบตัวมากขึ้น เริ่มแนะนำให้ผู้ป่วยบางเคส ที่รักษาไม่หาย เป็นซํ้าๆ ซากๆ ให้หันมารับประทานนํ้ามันหมูแทนนํ้ามันพืช" 

"แต่การทานก็ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมพอเพียงต่อความต้องการของร่างกายเท่า นั้น เพราะไขมันเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย ขาดไม่ได้ และการรับประทานอาหารก็ไม่ใช่ว่าจะรับประทานแค่อาหารผัด อาหารทอด เราควรรับประทานอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยหรือสลับกันไปด้วย เช่น ต้ม ยำ นึ่ง แกง ย่าง หรือการทานสดๆ
       
       "เพราะไขมันในอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย เราไม่ใช่แค่ได้รับจากการใช้นํ้ามันในการทำอาหารเท่านั้น แต่เรายังได้รับไขมันจากตัวอาหารนั้นๆ อีกด้วย เช่น นํ้ามันในเนื้อ หมู กุ้ง ปู ปลา ไก่ และธัญพืชเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ"
       
       ท้ายที่สุด ก็ใช่ว่าต้องใช้แต่ "น้ำมันหมู" เท่านั้นในการประกอบอาหารรับประทาน แต่ก็ควรจะเรียนรู้วิธีการใช้ที่เหมาะสม นอกจากตามประเภทการใช้งานแต่ละอย่างก็ควรใช้ น้ำมันอื่นๆ ร่วมด้วย
       
       "นํ้ามันพืช ปัจจุบันนี้ที่บ้านผมก็มีใช้ทำอาหารอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่จะใช้ทำสลัดผัก และ ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการหมักหมูนํ้ามันงาเวลาจะย่างหมูแดง นอกจากนั้นผมจะใช้นํ้ามันพืชมากในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจและทุกวันพระจีน เพราะผมจะทานเจเดือนละ 2 วัน ก็ต้องใช้นํ้ามันพืชเช่นกันครับ
       
       "แต่นํ้ามันพืชที่ผมใช้ ผมก็จะเลือกใช้นํ้ามันพืช "สกัดเย็น" เท่านั้น เช่น นํ้ามันงา นํ้ามันรำข้าว นํ้ามันมะกอก นํ้ามันมะพร้าว สลับกันไปครับ" 
 
 
ข้อมูล : HappyPhoneMBKfanpage
 
 

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

เปิดเผยสูตร "โจ๊ก เนรัญชลา" อร่อยแต่ไม่ง้อแฟรนไชส์
จาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา

          โจ๊ก หนึ่งในเมนูอาหารเช้าที่คนไทยนิยมกินกันมายาวนาน แต่การจะทำโจ๊กกินเองหลายคนรู้ดีว่า โจ๊กขึ้นชื่อเรื่องขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก จะทำออกมาให้อร่อยไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เพราะบ่อยครั้งที่เราซื้อโจ๊กจากร้านมากิน มักจะเจอกับปัญหาโจ๊กใส ไม่เข้มข้น หมูน้อยเครื่องน้อย ไม่มีกลิ่นหอม วันนี้กระปุกดอทคอมเลยมีสูตรการทำโจ๊กอร่อย ๆ มาฝากจาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา เป็นสูตรครบเครื่องชัด ๆ ทุกกระบวนท่า สามารถนำไปดัดแปลง (หรือไม่ต้องดัดแปลง) แล้วนำไปทำขายได้อีกด้วย
ครั้งแรกกับการเปิดเผยสูตรลับ "โจ๊ก เนรัญชลา" อร่อยแต่ไม่ง้อแฟรนไชส์ จาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา
          สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ทุกท่าน เนื่องจากมีหลายเสียงส่งข้อความกันเข้ามามากในเฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา ว่าอยากจะได้สูตรโจ๊กเอาไปทำมาหากินกันเสียเหลือเกิน วันนี้ดิฉันจึงได้จังหวะแกะสูตรโจ๊กของตัวเองขึ้นมาให้ ซึ่งถ้าหากอ่านแล้วพบเจอกับความแตกต่างจากโจ๊กสูตรอื่น ๆ ก็ไม่ต้องข้องใจอะไรไปนะคะ เพราะคำว่าสูตรลับก็ย่อมมีบางอย่างที่ไม่เหมือนใครอยู่แล้ว แต่ดิฉันจะเอามาแจกทุกท่านฟรี ๆ ให้นำไปทำกินหรือทำขายโดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อแฟรนไชส์ราคาแพง ๆ กันค่ะ
          แต่ เนื่องจากสูตรนี้ดิฉันให้ท่านฟรี ๆ เพื่อเป็นวิทยาทาน ดังนั้นดิฉันจึงอยากจะขอร้องว่า อย่านำสูตรอาหารต่าง ๆ ที่ให้ไป ไปขายสูตรต่อ เมื่อท่านได้ไปฟรี ท่านก็ควรจะให้ผู้ที่อยากได้ฟรีเช่นกัน ดังนั้นจงอย่าคิดฉวยโอกาสกับผู้อื่นนะคะ
วัตถุดิบและเครื่องปรุงมีดังนี้... (จะทำมากหรือน้อยกว่านี้ ก็คูณ-หารสัดส่วนเอาค่ะ)
  ส่วนผสม เครื่องสำหรับใส่โจ๊ก
          ตับหมู 300 กรัม
          เซี่ยงจี๊ 300 กรัม
          ไส้อ่อน 500 กรัม
          กระเพาะหมู
          แป้งมัน
          น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ
          เกลือป่น
          ขิงแก่ทุบ 1 ท่อน


  ส่วนผสม หมูบดหมัก
           หมูบด 600 กรัม
           กระเทียมจีนแกะเปลือก 10 กลีบ
           พริกไทยขาว 40 เม็ด
           ซีอิ๊วขาว (สูตร 5) 2 ช้อนโต๊ะ
           น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
           เบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา


  ส่วนผสม น้ำซุป
          น้ำเปล่า 12 ลิตร
          กระดูกหมูคาตั้ง ทุบให้หักครึ่ง 4 ท่อน
          รากผักชี 5 รากใหญ่
          ขิงแก่ (น้ำหนักชิ้นละ 50 กรัม) 2 ชิ้น


  ส่วนผสม หมี่กรอบสำหรับโรยหน้า
          เส้นหมี่ขาวอบแห้ง
          น้ำมันพืช


  ส่วนผสม ข้าวโจ๊ก
          ปลายข้าวหอมมะลิใหม่ 450 กรัม (แต่วันนี้ดิฉันใช้เป็นข้าวกล้องปั่นหยาบ ๆ นะคะ)
          น้ำซุป 30 ถ้วยตวง
          เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
          ผงปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยว ซองสีเขียวอ่อน 4 ช้อนโต๊ะ (ยี่ห้อไปตามหาเอาที่ตลาดและซุปเปอร์มาร์เกตเอานะคะ)
          หมูบดปรุงรสที่เตรียมไว้


  เครื่องเคียงอื่น ๆ
          ต้นหอมซอย
          ขิงซอย
          ไข่ลวก
          พริกไทยป่น


 1. การเตรียมเครื่องใส่โจ๊ก



          1. แล่ตับให้เป็นชิ้นบาง ๆ นำไปคลุกเคล้ากับแป้งมัน (สัดส่วนโดยประมาณ ตับ 300 กรัม ต่อแป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะพูน) ขยำให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 30 นาทีแล้วนำมาล้างแป้งออกให้สะอาด จากนั้นจึงนำไปลวกรอไว้
          2. นำเซี่ยงจี๊มามาผ่าครึ่งตามยาว ใช้ปลายมีดเลาะเอาผังผืดสีขาวด้านในออก ล้างให้สะอาด แล่เป็นชิ้นบาง ๆ นำไปคลุกเคล้ากับแป้งมัน (สัดส่วนโดยประมาณ เซี่ยงจี๊ 300 กรัม ต่อแป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะพูน) ขยำให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 30 นาที แล้วนำมาล้างแป้งออกให้สะอาด จากนั้นจึงนำไปลวกรอไว้เช่นเดียวกันกับตับ **หรืออาจจะทำความสะอาดให้เสร็จทีเดียว แล้วตั้งน้ำลวกพร้อม ๆ กันก็ได้ค่ะ**
          3. ไส้อ่อน ใช้สายยางสะอาดต่อกับก๊อกน้ำ สวมไส้อ่อนเข้ากับปลายสายยางด้านหนึ่ง บีบให้แน่นแล้วเปิดน้ำแรง ๆ เพื่อให้แรงดันน้ำชะล้างไขมันและความสกปรกออกมาจากไส้ จากนั้นบีบเอาน้ำออก ขยำไส้กับแป้งมันและน้ำส้มสายชู (สัดส่วนโดยประมาณ ไส้อ่อน 1/2 กิโลกรัม ต่อน้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ และแป้งมัน 5 ช้อนโต๊ะ) ขยำทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยวิธีใช้สายยางเหมือนครั้งแรกให้สะอาด จากนั้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
          4. ผ่าครึ่งกระเพาะหมูแล้วแบะข้างในออก ล้างน้ำเปล่าให้สะอาด จากนั้นใช้เกลือป่นขัดถูให้ทั่ว ตามด้วยการถูด้วยแป้งมัน จากนั้นล้างน้ำออกให้สะอาด นำไปต้มในน้ำเดือดที่ใส่เกลือป่นลงไปเล็กน้อย พร้อมกับขิงแก่ทุบ 1 ท่อน โดยอาจต้มพร้อมกับไส้อ่อน พอเปื่อยนุ่มจึงนำขึ้นมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ

2. การเตรียมหมูบดหมัก

โขลกกระเทียมจีนกับพริกไทยขาวให้ละเอียด

จากนั้นใส่เนื้อหมูบดลงไปโขลกให้เหนียวเข้ากันดี

ใส่ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย และเบคกิ้งโซดาลงไป

โขลกนวดให้เข้ากัน ใส่ภาชนะปิดฝาหมักทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง

3. การเตรียมน้ำซุป


          1. ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟต้มให้เดือด
          2. พอน้ำเดือดแล้วใส่กระดูกหมูลงไป ปิดฝาต้มให้เดือดอีกครั้ง3. ลดไฟลงให้เหลือไฟอ่อน ใส่รากผักชีลงไปต้มด้วยไฟอ่อน ๆ ต่อไปอีก 60 นาที
          3. พอครบเวลาจึงใส่ขิงแก่ลงไปแล้วปิดฝาต้มไฟอ่อนต่ออีก 30 นาที (ต้มไปเรื่อย ๆ กะว่าให้น้ำลดลงเหลือประมาณ 8-10 ลิตร) จึงยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ให้เย็น
          หมายเหตุ : สูตรนี้เราจะไม่ใช้น้ำตาลเพราะเราจะใช้ความหวานจากการเคี่ยวกระดูกหมูแทน แต่ถ้าใครชอบใส่ก็สามารถใส่ได้แต่ไม่ควรเกิน 40 กรัม

4. การเตรียมหมี่กรอบไว้โรยหน้าโจ๊ก



คลี่เส้นหมี่ อบแห้งออกจากกัน จากนั้นนำกระทะตั้งบนเตา ใส่น้ำมันพืชลงไป (ในปริมาณที่ค่อนข้างมากสักหน่อย) รอจนน้ำมันร้อนจัดแล้วหรี่ไฟลง นำเส้นหมี่ลงทอดอย่างรวดเร็ว แล้วนำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พักรอไว้

5. การต้มโจ๊ก


1. ล้างปลายข้าวให้พอหมดฝุ่น จากนั้นตักน้ำซุปที่เย็นแล้วใส่ลงไป 30 ถ้วยตวง นำขึ้นตั้งไฟต้มให้เดือด ระหว่างนี้ให้หมั่นคนเป็นระยะ ๆ พอเดือดแล้วจึงหรี่ไฟอ่อน ตุ๋นข้าวให้เมล็ดบานสุกนุ่มและมีลักษณะเหนียวข้น
          ***หาก รู้สึกว่างวดเกินไปไปให้เติมน้ำซุปทีละน้อย เวลาที่โจ๊กของเราข้นแล้วตอนนี้ให้คอยหมั่นคนหน่อยนะคะ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะติดก้นหม้อและไหม้ได้ค่ะ***
          หมายเหตุ : แต่ถ้าเป็นข้าวกล้องแบบเต็มเมล็ดจะต้องล้างข้าวก่อนแล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นจึงนำมาปั่นหยาบ ๆ แล้วจึงนำไปต้มค่ะ


2. ใส่เกลือป่นลงไป ตามด้วยผงปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยวซองสีเขียว
          หมายเหตุ : ผง ปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยวซองสีเขียว ตามภาพตัวอย่าง ซึ่งขออนุญาติไม่บอกยี่ห้อนะคะเดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดคิดว่าได้ค่าโฆษณาจากผู้ ผลิต ตอนนี้ยังไม่มีสปอนเซอร์สนับสนุนนะคะ แกะสูตรให้แฟนเพจแต่ละครั้งเนรัญชลาใช้ทุนตัวเองทั้งนั้นค่ะ กินไม่หมดก็แจกชาวบ้านเป็นทาน เพราะมันเยอะ สำหรับผงปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยวยี่ห้อนี้หาได้ไม่ยากนะคะ เพราะมีขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป


3. ปั้นหมูที่เราหมักไว้เป็นก้อน ๆ ใส่ลงไป คอยคนไปเรื่อยจนกระทั่งหมูสุก ชิมรสชาติดูให้พอดีก็ใช้ได้ค่ะ

  วิธีการจัดเสิร์ฟ


ตักโจ๊กใส่ ชาม ใส่ตับหมูลวกสุก เซี่ยงจี๊ลวกสุก ไส้อ่อนต้ม กระเพาะต้ม และไข่ลวกลงไป โรยด้วยต้นหอมซอย ขิงซอย พริกไทยป่นเล็กน้อย และหมี่กรอบตามชอบใจ

จุดเด่นของโจ๊กสูตรนี้ก็คือ...

          หมู บดที่เราใส่โจ๊กจะมีกลิ่นหอมของกระเทียมพริกไทยในสัดส่วนที่ละมุนกำลังเหมาะ ตัวหมูมีรสชาติดีและนุ่มมาก แตกต่างจากการใช้หมูเด้งที่ปัจจุบันร้านโจ๊กทั่วไปมักจะนิยมใช้กันเนื่องจาก สะดวก
          ตัวโจ๊กข้นเหนียวและหอมยางข้าวใหม่ มีรสชาติอยู่ในตัวจนไม่ต้องปรุงเพิ่ม
          สำหรับเครื่องในก็ไร้กลิ่นเหม็นค่ะ
          จัด เต็มในทุก ๆ ขั้นตอนเลยสำหรับการทำโจ๊ก จะทำกินก็ได้ ทำขายก็ดีแบบนี้ เพื่อน ๆ ก็ลองนำไปลองทำกันดูนะคะ ได้เรื่องอย่างไรก็ลองนำมาแชร์กันบ้าง


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฟักข้าว พืชพื้นบ้าน ช่วยต้านมะเร็งชั้นยอด


          ได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพมาพักหนึ่งแล้ว สำหรับผักพื้นบ้านที่มีชื่อว่า "ฟักข้าว" เชื่อว่าหลายคนคงคุ้น ๆ กับชื่อนี้ แต่อาจจะยังไม่รู้ว่า "ฟักข้าว" มีประโยชน์อย่างไร เอ้า...ใครที่ยังไม่รู้ว่า สรรพคุณของฟักข้าว มีอะไรบ้าง ตามมาอ่านกันจ้า


         ฟักข้าว เป็นพืชไม้เลื้อยอยู่ในวงศ์แตงกวาและมะระ มีชื่อสามัญว่า Spring Bitter Cucumber เป็นพืชที่ขึ้นตามรั้วบ้าน หรือตามต้นไม้ต่าง ๆ มีมือเกาะคล้ายกับตำลึง ใบเป็นรูปหัวใจคล้ายใบโพธิ์ ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก 3-5 แฉก ดอกจะมีสีขาวแกมเหลือง ตรงกลางมีสีน้ำตาลแกมม่วง 


          ผลของฟักข้าว 2 ลักษณะ คือ ทรงกลม และทรงรี ผลกลม ๆ จะยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ส่วนผลรีจะยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ถ้ายังเป็นผลอ่อนอยู่ ผลจะมีสีเขียวอมเหลือง มีหนามถี่ ๆ อยู่รอบผล แต่เมื่อสุกแล้ว ผลจะมีสีแดง หรือแดงอมส้ม และหากผ่าผลฟักข้าวออกดูข้างใน ก็จะเห็นเมล็ดจำนวนมากเรียงตัวกันคล้ายเมล็ดแตง แต่ละผลหนักประมาณ 0.5-2 กิโลกรัม


          หลายคนที่อยู่ต่างจังหวัดอาจจะไม่คุ้นชื่อกับ "ฟักข้าว" แต่คุณอาจจะคุ้นกับชื่อที่เรียกกันในท้องถิ่น อย่างจังหวัดปัตตานี จะเรียก "ฟักข้าว" ว่า "ขี้กาเครือ" จังหวัดตาก จะเรียกว่า "ผักข้าว" จังหวัดแพร่ เรียก "มะข้าว" เป็นต้น 


          เห็นหน้าค่าตารู้จัก "ฟักข้าว" กันไปแล้ว ลองมาดูกันบ้างดีกว่า ว่า "ฟักข้าว" นำไปทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ คนนิยมนำผลอ่อนของฟักข้าวมาปรุงอาหาร เพราะรสชาติของฟักข้าวอร่อยออกขมนิด ๆ แต่นุ่มลิ้น และเพราะว่า "ฟักข้าว" เป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็นเช่นเดียวกับพืชตระกูลแตง การรับประทาน "ฟักข้าว" จึงช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ด้วย ซึ่งวิธีปรุงอาหารจาก "ฟักข้าว" ก็ไม่ยาก แค่นำ "ฟักข้าว" มาลวก หรือต้มให้สุก แล้วจิ้มกินกับน้ำพริก หรือใส่ในแกง เช่น แกงเลียง แกงส้ม ก็ได้เมนูอร่อยเด็ดอีกจานแล้ว
แล้วรู้ไหมว่า เห็น "ฟักข้าว" ผลเล็ก ๆ แบบนี้ แต่มีสรรพคุณเด็ด ๆ มากมายเลยล่ะ โดยเฉพาะผลอ่อนของฟักข้าวที่มีทั้งวิตามินซี แคลเซียม เหล็ก ไฟเบอร์ แต่สารอาหารที่พบมากใน "ฟักข้าว" ก็คือ เบต้าแคโรทีน


           โดยพบว่า เยื่อเมล็ดของฟักข้าวมีปริมาณเบต้าแคโรทีนสูงกว่าแครอทถึง 10 เท่าเชียวนะ ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารตั้งต้นของวิตามิน ซึ่ส่วนช่วยบำรุงสายตาได้อย่างดี และยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ


           ไม่ใช่แค่ "แคโรทีน" เท่านั้น เพราะรายงานการศึกษาของต่างประเทศ ยังพบด้วยว่า ในเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวสีแดงมีไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศถึง 70 เท่า แต่สำหรับฟักข้าวสายพันธุ์ไทยมีปริมาณไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศเพียง 12 เท่า ซึ่งก็ถือว่ามากแล้ว 


           ทั้งนี้ ทางการแพทย์พิสูจน์แล้วว่า ไลโคปีนจากเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวเป็นสารต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร ดังนั้น หากจะบอกว่า ฟักข้าว เป็นอาหารอีกหนึ่งชนิดที่ต้านมะเร็งได้ดีก็คงไม่ผิดนัก


          ในตำรับยาไทย ได้กล่าวถึงสรรพคุณส่วนต่าง ๆ ของฟักข้าวไว้ คือ
ใบ ปรุงเป็นยาเขียว ใช้ถอนพิษ ดับพิษทุกชนิด ตำพอกแก้ปวดหลัง ยอด มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในปริมาณที่สูง จึงสามารถใช้รักษามะเร็ง เมล็ด ใช้บำรุงปอด แก้ท่อน้ำดีอุดตัน และแก้วัณโรค ราก ใช้ต้มดื่ม หรือตากแห้ง บดเป็นผงแล้วปั้นขนาด 0.5 กรัม กินครั้งละ 3-5 เมล็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น ขับเสมหะ ดับพิษไข้ แก้เข้าข้อ ปวดตามข้อ ถอนพิษไข้ นอกจากนี้ หากนำส่วนของรากแช่น้ำ แล้วใช้น้ำสระผม จะช่วยแก้ผมร่วง และฆ่าเหาได้
 

           สำหรับในประเทศไทยเองนั้น ขณะนี้มีนักวิจัยกำลังศึกษาสรรพคุณของฟักข้าวอย่างมากมาย อย่างเช่น คณะนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ได้ร่วมกันศึกษาเรื่องการนำน้ำมันของเยื่้อหุ้มเมล็ดฟักข้าวในอนุภาคไขมันระดับนาโน มาพัฒนาเป็นเครื่องสำอางลดเลือนริ้วรอย ซึ่งจากการทดสอบก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และทำให้งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับรางวัล "IFSCC Host Society Award 2011" จากงานประชุมสมาพันธ์นักเคมีเครื่องสำอางนานาชาติ 2011 (IFSCC 2011)  

          นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า ในเมล็ดฟักข้าวมีโปรตีนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อเอชไอวี และยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ด้วย ขณะที่นักวิจัยจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็กำลังศึกษาวิจัย เพื่อปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์ฟักข้าวให้มีปริมาณเบต้าแคโรทีนและสารไลโคปีนสูงขึ้น และมีผลผลิตของเยื่อหุ้มเมล็ดเพิ่มมากขึ้นด้วย


          ปัจจุบันพบว่า "ฟักขาว" มีสารที่สามารถต่อต้านเชื้อ HIV ได้อีกด้วย
 เห็นแบบนี้แล้ว ต้องยกให้ "ฟักข้าว" เป็นพืชมหัศจรรย์อีกหนึ่งชนิด เพราะมีสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางโภชนาการไม่น้อยเลยทีเดียว และเชื่อว่าหากมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เราคงได้ค้นพบถึงสรรพคุณเจ๋ง ๆ ของพืชพื้นบ้านชนิดนี้อีกแน่นอน

Thank : delapathailand


                          ........................................................

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

พายุฤดูร้อน 2-5 เม.ย. เตรียมรับมือ-ภาคเหนือ ร้อนจัด 40 องศาฯ


          เตรียมรับมือพายุฤดูร้อน 2-5 เม.ย.นี้ ภาคอีสานกระทบก่อน ขณะที่ ภาคเหนือ ขณะนี้ร้อนทะลุ 40 องศาฯ แล้ว เตือนประชาชนระวังเป็น โรคฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด
          เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2557 กรมอุตุนิยมวิทยา ได้พยากรณ์อากาศ ระหว่างวันที่ 30 มีนาคม-5 เมษายน 2557 ระบุว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 30 มีนาคม-1 เมษายน ความกดอากาศต่ำจากความร้อนจะเข้าพัดมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเหนือมีอากาศร้อนและมีอากาศร้อนจัดในบางพื้นที่ ประกอบกับคลื่นกระแสลมตะวันออกได้เคลื่อนจากทะเลจีนใต้เข้าปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคตะวันออกและภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น
          ส่วนในช่วงวันที่ 2-5 เมษายน ความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีน ก็จะปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้เกิดพายุฤดูร้อนขึ้น ซึ่งจะมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในบางพื้นที่ โดยจะเริ่มมีผลกระทบที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน จากนั้นภาคอื่น ๆ ก็จะได้รับผลกระทบต่อไป
ขณะที่ อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ ได้ประกาศเตือนภัยประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากภาวะอากาศร้อนและภาวะหมอกควันไฟป่าที่สมทบอยู่ในขณะนี้ว่า ต่อจากนี้อากาศจะอยู่ในเกณฑ์ร้อนจัด อุณหภูมิจะสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ได้แก่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย ทั้งนี้ ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบว่า ที่ อ.เถิน จ.ลำปาง และ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีอุณหภูมิร้อนจัดวัดได้สูงเกือบ 41 องศาเซลเซียส และมีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก ประกอบกับระยะนี้มีผลกระทบจากหมอกควันและไฟป่า อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน
          พร้อมกันนี้ ยังแนะนำประชาชนที่ต้องทำงานหรือปฏิบัติภารกิจกลางแสงแดดเป็นเวลานานว่า ต้องระวังโรคฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด ที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป โดยเบื้องต้นจะมีอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ความดันต่ำ หน้ามืด และยังอาจมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต  และอาจมีอาการเพิ่มเติมอีก เช่น ภาวะขาดเหงื่อ เพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว สัญญาณสำคัญของโรคฮีทสโตรก คือ ไม่มีเหงื่อออก แต่ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อย ๆ และรู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน
          ทั้งนี้ หากเกิดอาการดังกล่าว ต้องรีบพักทันที และหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย เนื่องจากโรคฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด อาจจะทำเสียชีวิตได้สำหรับผู้ร่างกายอ่อนแอหรือปรับสภาพไม่ทัน

Thank : kapook.com


............... Toro Rich Club ..........