tororichclub

tororichclub

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

สคบ. เล็งจัดระเบียบโรงหนัง ชี้ค่าตั๋ว-อาหาร แพงเป็นอันดับ 3 ของโลก


            สคบ. เตรียมจัดระเบียบโรงภาพยนตร์ หลังผู้บริโภคร้องค่าตั๋ว-อาหาร แพงเกินจริง และจากการศึกษายังพบว่า โรงภาพยนตร์ไทยมีค่าบริการสูงติดอันดับ 3 ของโลก เตรียมเชิญผู้ประกอบการเข้าหารือภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ก่อนให้กรมการค้าภายใน ช่วยดูราคาที่ให้เหมาะสม

            เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2556 นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ สคบ. จะเชิญผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ทั้งหมด เข้าหารือและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการให้บริการลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในโรงภาพยนตร์หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคหลายรายว่า ราคาค่าบริการแพงเกินความจริง โดยเฉพาะราคาบัตรชมภาพยนตร์ และราคาค่าอาหารต่าง ๆ โดยแนวทางการควบคุม สคบ. จะประสานกรมการค้าภายในช่วยตรวจสอบ และกำหนดราคาที่เหมาะสมให้ ขณะเดียวกันหากผู้บริโภครายใดมีข้อสงสัยว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องเรียนมาที่ สคบ. ได้ตลอดเวลาราชการ หรือแจ้งมายังสายด่วน 1166

            ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ สคบ. พบว่า อัตราค่าบริการภายในโรงภาพยนตร์ของไทยมีค่าบริการสูงมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการมักอ้างถึงต้นทุนการดำเนินงานที่มีจำนวนมาก ทั้งอัตราค่าเช่า ต้นทุนแรงงาน และค่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ที่เข้าฉาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้ามาควบคุมและจัดระเบียบใหม่ให้ถูกต้อง

            นายจิรชัย ยังกล่าวอีกว่า ราคาบัตรชมภาพยนตร์ตอนนี้มีราคาค่อนข้างสูง คือ ประมาณ 200 บาท เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ผ่านมาไม่กี่ปี พบว่าปรับราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ขณะที่ราคาอาหารและเครื่องดื่มที่ขายหน้าโรงภาพยนตร์ก็มีราคาแพงขึ้น โดยไม่มีการตรวจสอบหรือควบคุมอะไรเลย รวมถึงบางวันก็มีราคาไม่เท่ากัน และหากเลือกใช้บริการที่นั่งชมภาพยนตร์อย่างดี ก็จะมีราคาเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ดังนั้นเพื่อให้เกิดมาตรฐานความเป็นธรรม คงต้องมาจัดระเบียบใหม่ โดยจะรอรับการชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้ประกอบการก่อนว่า เหตุใดจึงคิดราคาในระดับนี้ มีต้นทุนที่เหมาะสมกับความเป็นจริงหรือไม่
Thank : เดลินิวส์
..........................................................................................

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

อย่าเผลอขึ้น วินมอไซค์ที่หมอชิต เด็ดขาด!


กระทู้เก่าจาก พันทิปนะครับ เห็นน่าสนใจดี

          วันนี้เรารีบมาก เลย มารอแท็กซี่ ที่ๆ รอแท็กซี่ของ ฝั่ง ผู้โดยสารขาเข้า 
แต่วันอาทิตย์ รถแท็กซี่ขาด ด้วยความที่รีบ แล้ว ก็มีวิน มอไซค์ มาชวน
เลยขึ้นไปกับน้องคนละคัน ไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร มีแค่รถติด นิดหน่อย  

          มันคิด คนละ 100 พอถาม ว่า ทีขาไป เคยนั่งมา แค่ 40 มันก้อ้างรถติด รถเยอะ 

          เลยยอมจ่ายไป และพูดกับมันว่า " ก็เพราะพวกพี่เอา้ปรียบคนแบบนี้ เลยไม่มีคนขึ้น พอมีคนขึ้นที พวกพี่ 
          ก็เก็บเยอะๆ เผื่อ คราวหลัง ไม่ได้ พี่ก็เก็บเงิน 200 ไว้เถอะค่ะ เพราะหนูคิดว่า อีกนาน กว่า พี่จะได้ เอาเปรียบคนแบบนี้อีก " 

          เรารู้สึกว่า สังคมเราสมัยนี้อยุ่ยากขึ้น มีแต่คนจ้องเอาเปรียบกันตลอดเวลา เสียความรู้สึกมาก ๆ คนไทยด้วยกันแท้ ๆ 

          ฝากเพื่อนๆ ไว้ ว่า อย่าไปขึ้น นะะคะ อย่าไปสนับสนุน ให้ พวกมันเอาเปรียบใคร

          อันนี้เป็นป้ายเเสดงราคา ของวิน ชัดเจนดี ยังไงก็ถามราคาก่อนทุกครั้งดีกว่า กันเหนียว

จากคุณ: May_aromdee เว็บพันทิพ ห้องศาลาประชมคม
.....................................................................................

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

สลีฟ เท็กซ์ติง Sleep Texting โรคใหม่ในหมู่วัยรุ่น



                                  

           เนื่องจากตอนนี้ ในหมู่วัยรุ่น รวมถึงเด็กที่อายุน้อยๆ ต่างก็มี สมาร์ทโฟน ไว้ใช้กันแทบทุกคนแล้ว! ซึ่งในปัจจุบันนี้Social Network ถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่ 33 ของเรา (เกือบทุกคน) ขาดไปไม่ได้ซะแล้ว ไม่ว่าจะ Facebook , Line , Instagram เป็นต้น ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร ก็ต้องมีทือถือติดตัวตลอดเวลา .. 

สลีฟ เท็กซ์ติง Sleep Texting โรคใหม่ในหมู่วัยรุ่น
          ในหมู่วัยรุ่นชาวอเมริ (จำนวนมาก) กัน นั้น ติด สมาร์ทโฟน กันงองแงม ต้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เกิดพฤติกรรมชนิดหนึ่งขึ้นมามีชื่อว่า “สลีฟ เท็กซ์ติง” (Sleep Texting) ซึ่งในขณะนี้แพร่ระบาดมาก

          อาการของพฤติกรรม “สลีฟ เท็กซ์ติง” (Sleep Texting) นี้ก็คือการส่งข้อความตอบกลับทุกครั้งที่ได้รับข้อความใหม่เข้ามา ถ้าเป็นเวลาปกติมีสัมปชัญญะก็ไม่น่าเป็นห่วงมาก แต่อาการนี้จะไม่เว้นแม้แต่ยามหลับ ก็จะสามารถตอบกลับข้อความที่เข้ามาใหม่ได้ แต่เนื่องด้วยอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น จึงทำให้ไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำการตอบกลับข้อความที่ได้รับในขณะหลับ ซึ่งก็คล้ายกับการนอนละเมอนั่นเอง (บางคนส่งกันตั้งแต่ยังไม่ง่วง เริ่มง่วง ง่วงแล้ว หลับแล้ว… ก็ยังส่ง!)
           พฤติกรรม  “สลีฟ เท็กซ์ติง” (Sleep Texting) ข้อความส่วนใหญ่ที่ตอบกลับไปนั้น มักไม่ได้ผ่านกระบวนความคิดจึงทำให้เป็นข้อความที่มักจะไม่มีความหมาย หรือมีความหมายที่ไม่เหมาะสมเป็นต้น  เช่น การส่งข้อความบอกคิดถึงคนรักเก่า โดยเมื่อตื่นขึ้นมา พวกเขาก็จะจำอะไรเลยด้วย
          แต่ที่สำคัญ พฤติกรรม  “สลีฟ เท็กซ์ติง” (Sleep Texting) นี้จะก่อผลร้ายต่อสุขภาพด้วย!! เนื่องจากเป็นการรบกวนการนอนหลับ ทำให้นอนไม่เต็มอิ่ม เกิดภาวะซึมเศร้า และมีโรคอ้วนตามมาโดยไม่รู้ตัวได้ด้วย
           เชื่อว่า เพื่อนๆหลายคนก็คงจะเคยเป็นกันแน่ๆ หากใครเป็นแบบนี้ บรรดาคุณหมอแนะนำให้ อยู่ห่างไกลกับโทรศัพท์ หรือ เทคโนโลยีต่างๆ อย่างน้อย 4 วัน จะค่อยๆผ่อนคลายจากอาการนี้ Dr David Cunnington จาก Melbourne Sleep Disorder Centre in Australia แนะนำให้วางโทรศัพท์ไว้นอกห้องนอน และให้ความสำคัญกับการนอนเมื่อถึงเวลานอน

Thank : teen.mthai
.................................................................................................

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

"เฟซบุ๊ก" เครื่องทุ่นแรงแก๊งมิจฉาชีพ!


"เฟซบุ๊ก" พื้นที่หากินของนักต้มตุ๋น       
        เป็นที่รู้กันดีว่า "การขโมยตัวตน" เป็นการกระทำที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ได้ใช้หรือใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนตัว เช่น ข้อมูลวันเดือนปีเกิด รูปภาพส่วนตัว เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลที่อยู่ทั้งสถานที่บ้าน และอีเมล หรืออื่น ๆ เพื่อแอบอ้าง ทำการฉ้อโกง หรือกระทำใด ๆ ที่ผิดกฎหมาย
       
        ในยุคนี้ การขโมยตัวตน และข้อมูลต่าง ๆ ของผู้คนในเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก กลับมีความซับซ้อน และแยบยลมากยิ่งขึ้น  

          ถึงขนาด แฟรงก์ อาบาเนล อดีตนักต้มตุ๋นในช่วงยุค'60 ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง ยังออกมาเตือน และชี้ให้เห็นอันตรายของการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนหน้าเฟซบุ๊กเลยว่า ข้อมูลต่าง ๆ ที่ใครหลายคนโพสต์บนเฟซบุ๊ก เปรียบเสมือนกับคำเชื้อเชิญให้นักต้มตุ๋นอย่างเขาเปิดประตูบ้าน และขโมยตัวตนไปใช้ได้ตามใจชอบ ทั้งยังบอกอีกว่า เล่ห์กลเพทุบายต่าง ๆ ที่เขาเคยใช้เมื่อกว่า 40 ปีที่แล้วในสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น เฟซบุ๊กช่วยให้สามารถทำได้ง่ายกว่าเดิมถึง 4,000 เท่า
       
        "ถ้าคุณเปิดเผยข้อมูลวันเกิดและสถานที่เกิดของคุณให้แก่ผมทางหน้าเพจเฟซบุ๊ก ผมเชื่อมั่นถึง 98% ว่าผมจะขโมยตัวตนของคุณไป" นี่คือคำพูดของแฟรงค์ อาบาเนล วัย 64 ปี อดีตนักต้มตุ๋นก้องโลกที่ปัจจุบันกลับใจมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ)

         เตือนผู้ใช้ "เฟซบุ๊ก" ระวังตกเป็นเหยื่อ
         ปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญทางระบบคอมพิวเตอร์ และความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security) บอกว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมเสี่ยงของการแชร์ข้อมูลที่มากเกินไป เช่น มีการให้ข้อมูลวัน/เดือน/ปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล หรืออื่น ๆ ที่ลงรายละเอียดมากไปกว่านั้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่สลักสำคัญอะไร แต่ก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยสำหรับนักต้มตุ๋นยุคไฮเทคไว้ใช้ล้วงข้อมูลส่วนบุคคลในแบบที่คาดไม่ถึง นับเป็นภัยที่ควรตระหนัก และรู้เท่าทันให้มากขึ้น
       
        ไม่เพียงแต่ข้อมูลส่วนตัวที่บ่งบอกถึงสถานะ หรือข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวเองแล้ว การเช็กอินตามสถานที่ต่าง ๆ หรือแม้แต่การโพสต์รูปอวดทรัพย์สิน สิ่งของเครื่องใช้หรู ๆ ตลอดจนการโพสต์บอกถึงการอยู่คนเดียวที่บ้านพร้อมระบุพิกัดสถานที่ไว้เสร็จสรรพ อาจเป็นประตูบานใหญ่เปิดให้นักต้มตุ๋นเข้ามาหาถึงบ้านได้ เพราะด้วยระบบโลเกชันบนเฟซบุ๊กจะช่วยให้ใครก็ตามสามารถรู้ตำแหน่งปัจจุบันของผู้โพสต์ โดยที่ไม่ต้องเช็กอิน (check-in) เลยด้วยซ้ำ ขอเพียงแค่เปิดระบบ โลเกชั่น เซอร์วิส เพื่อระบุตำแหน่งทิ้งไว้ ซึ่งหลายคนก็เปิดระบบนี้ทิ้งไว้เป็นปกติอยู่แล้ว
       
        "ตรงนี้น่ากลัวครับ เสี่ยง และอันตรายมาก เพราะเราไม่รู้ว่าใครจ้องจะทำอันตรายเราอยู่ การเปิดเผยว่าอยู่ตำแหน่งไหนสถานที่ใด และยิ่งมีการโพสต์บอกว่า อยู่บ้านคนเดียวด้วยแล้ว ยิ่งน่ากลัวครับ ทางที่ดี ควรเลี่ยงที่จะโพสต์ข้อความในลักษณะนี้ หรือเข้าไปปิดการแสดงตำแหน่งสถานที่เพื่อความปลอดภัยบนมือถือ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนทั้งหลาย เนื่องจากหลายคนไม่รู้ และอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ง่าย" 
       
         ดังนั้น ก่อนจะระบุพิกัดสถานที่ หรือโพสต์บอกอะไร ควรคิดให้ดีก่อนโพสต์ เพราะวันดีคืนดี กลุ่มมิจฉาชีพสุดไฮเทค อาจแวะเวียนมาหาที่บ้าน เพื่อหยิบยืมเงิน และสิ่งของเครื่องใช้ก็เป็นได้ หรือบางคนถึงกับศึกษาพฤติกรรมเหยื่ออยู่ก่อนแล้ว เมื่อรู้ว่าเหยื่อเป็นเซเลบฯ มีเงินมีทองมากมาย ก็อาจหาโอกาสบุกเข้าไปหาถึงที่หมายได้เหมือนกัน
       
         + ประเด็นเรื่องกฎหมาย  ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจนในเรื่องสิทธิส่วนบุคคล หรือสิทธิในความเป็นส่วนตัว (privacy) ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่ยังคงไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ขณะที่ประเทศหลาย ๆ ประเทศ เริ่มเล็งเห็นความสำคัญของกฎหมายตัวนี้กันมากขึ้น เช่น ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น
       
         ส่งผลให้สิทธิส่วนบุคคลในเรื่องฐานข้อมูลผู้บริโภคและการแบ่งปันข้อมูลกลายเป็นเรื่องที่อาจนำมาซึ่งปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้ง่าย

         ปุ่ม Like มีอะไรมากกว่าที่คิด
         ท่ามกลางสังคมที่ผู้คนสมาทานให้กับการนั่งแชต กดไลค์ หรือคอยให้ใครมากดไลค์อยู่ตลอดเวลา รู้หรือไม่ว่า แค่การกดไลท์ นั่นเท่ากับเป็นการบอกข้อมูลส่วนตัวของเราให้คนอื่นได้รับรู้ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังด้านเชื้อชาติ ประวัติการเลือกตั้ง หรือแม้กระทั่งรสนิยมทางเพศ
       
        เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวอ้างกันลอย ๆ เพราะมีรายงานการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences เมื่อวันจันทร์ที่ 11 มี.ค.2556 เผยถึงผลการศึกษาที่น่าประหลาดใจว่า เพียงแค่การกดไลท์ สามารถทำนายศาสนา แนวคิดทางการเมือง เชื้อชาติ และเพศสภาพของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังพบอีกว่า การกดไลค์ในเฟซบุ๊ก สามารถเชื่อมโยงไปถึง เพศสภาพ อายุ ชาติพันธุ์ ไอคิว ศาสนา แนวคิดทางการเมือง การสูบบุหรี่ หรือการใช้ยาเสพติด อีกทั้งสถานภาพความสัมพันธ์ จำนวนเพื่อนในเฟซบุ๊กด้วย 
       
         +อาจเป็นผลดีต่อบริษัทด้านสื่อสังคมออนไลน์ ที่อาจนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการจูงใจผู้ใช้ผ่านช่องทางการตลาดส่วนบุคคล

         +แต่นักวิจัยเตือนว่าผู้ใช้อาจต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามความเป็นส่วนบุคคล โดยเฉพาะการถูกนำข้อมูลไปใช้ในการคาดเดาแนวคิดทางการเมือง หรือความเป็นเพศสภาพของผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งเป็นการคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกหรือกระทั่งชีวิตส่วนบุคคลได้
       
         ถ้าไม่อยากให้ผู้อื่นนำข้อมูลไปใช้ในทางไม่ดี ผู้ใช้เองต้องเลือกที่จะเปิดเผยและไม่เปิดเผยข้อมูลของตนเองต่อสาธารณะ และที่คาดว่าการตั้งค่าในระบบ "ไพรเวซี เซตติ้ง" ในเฟซบุ๊กเป็นวิธีที่ช่วยปกป้องข้อมูลในออนไลน์ ควรเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่า ข้อมูลที่โพสต์ และบอกความเป็นตัวเรามากเท่าไร ยิ่งเผยตัวตนของเราออกสู่สาธารณะมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนไม่ส่งผลกระทบอะไร แต่อาจทำให้บุคคลบางกลุ่มนำข้อมูลดังกล่าวไปจัดประเภทและทำนายพฤติกรรมในวิธีที่เกินเลยและอ่อนไหวกว่าที่เราคาดคิดก็เป็นได้
       
        ทั้งหมดนี้ เป็นการนำเสนอเพื่อชี้ให้เห็นถึงภัยที่จะตามมาจากการให้ข้อมูล และแชร์ข้อมูลต่าง ๆ บนเฟซบุ๊ก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และไม่สามารถโทษใครได้ นอกจากตัวผู้ใช้เองที่ขาดสำนึกและสติในการป้องกันความปลอดภัย 
       
        ทางที่ดี ก่อนตั้งสเตตัส กดไลค์ กดแชร์ หรือคอมเมนต์ใด ๆ พึงระลึกไว้เสมอว่า มีคนแอบซุ่มโป่งมองคุณอยู่ ซึ่งไม่ใช่แค่คนกลุ่มเดียว ทว่า ยังมีคนอีกจำนวนมหาศาลที่จะรู้จักคุณผ่านทางสังคมออนไลน์ตัวนี้ และหนึ่งในคนจำนวนมหาศาลนั้น อาจเป็นผู้ไม่หวังดีกับคุณก็เป็นได้

         ข้อมูลประกอบข่าว
         ตั้งค่าส่วนตัว เพิ่มความปลอดภัย
        พูดถึง Location Services เป็นการระบุพิกัดดาวเทียม (GPS) บนแผนที่ สำหรับมือถือระบบ IOS ถ้าไม่อยากให้แอปฯ ใด ๆ ระบุตำแหน่งแผนที่ได้ ก็ควรเลือกปิดที่ Location Services บนสุดอันเดียว ซึ่งเป็นรายการย่อยที่อยู่ใน Privacy โดยจะหลบซ่อนอยู่ในเมนูตั้งค่าหลักบนมือถือ
        ส่วนการเปิด-ปิดใช้งาน Location Service บนมือถือระบบ Android ให้เข้าไปที่ Settings -> Location Services -> ถ้าต้องการปิดเอาเครื่องหมายถูกออกจาก Google’s location service ซึ่งการปิดฟังก์ชันดังกล่าว นอกจากความเป็นส่วนตัวแล้ว ยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อีกด้วย
        อย่างไรก็ดี การที่เฟซบุ๊กไม่สามารถ Check in ได้หรือ ระบุตำแหน่ง GPS ในรูปไม่ได้ ก็อาจเพราะหัวข้อนี้ถูกปิดอยู่ แต่บางแอปฯ ที่ไม่ค่อยมีความจำเป็นเท่าใดแต่ก็ชอบเปิดการหาตำแหน่งตลอดเวลา อาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นได้

Thank : manageronline
.....................................................................................

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

ควรระวัง! 10 อาหารจานอันตรายในหน้าร้อน


          ขอต้อนรับอากาศร้อนๆ  ด้วยการพาผู้อ่านไปรู้จักกับ 10 อาหารจานอันตราย รวมทั้งข้อควรระวังเกี่ยวกับอาหารในหน้าร้อน จะมีเมนูไหนบ้างตามไปชมกันเลย

          1) ส้มตำ เมนูนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าฮิตกันแค่ไหน แต่ถ้าไม่สะอาดรับรองว่าอาจทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง หรืออาหารเป็นพิษกันได้ง่ายๆ จะว่าไปส้มตำตามร้านทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่รสชาติก็จัดจ้านถึงใจกันอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นร้านส้มตำข้างทางที่ไม่สะอาด หรือปรุงไม่ถูกสุขอนามัย เช่น ปลาร้าไม่ต้มสุก มีแมลงวันตอม ใส่ปูดองไม่สดสะอาด หรือมีเชื้อโรคปนเปื้อนก็ยิ่งน่าเป็นห่วง 

          2) อาหารทะเล เคยมีประสบการณ์อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) มาแล้ว เพราะทานอาหารทะเลที่ปนเปื้อนเข้าไป จึงรู้ว่าทรมานแค่ไหน ช่วงร้อนๆ แบบนี้ ถ้าอยากทานอาหารทะเลจึงควรปรุงให้สุก และหากจะไปทานตามชายทะเลก็ควรเลือกให้ดีว่าสด สะอาดหรือไม่ หากสงสัย ไม่ควรเสี่ยงเป็นอันขาด โดยเฉพาะอาหารทะเลจำพวกหอยที่มักปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ ควรเลี่ยง

          3) อาหารหมักดอง ในช่วงร้อนๆ แบบนี้ ขอแนะนำให้เลี่ยงอาหารหมักดอง โดยเฉพาะอาหารหมักดองที่ขายตามท้องตลาด เพราะอากาศร้อนมากๆ ทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ดี เช่น ยีสต์และเชื้อรา เช่น จากกะปิ แหนม ปลาร้า เมื่อทานเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วง อาเจียน นอกจากนี้ ถ้ามีเชื้อไวรัสก็อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ โดยเฉพาะในแหนม นอกจากจะมีโอกาสได้รับพยาธิตัวตืดแล้ว ยังอาจได้รับสารพิษที่มีชื่อว่า ไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วยหากมีการเติมสารไนไตรต์หรือดินประสิวลงไป

          4) ข้าวราดแกง ใครก็รู้ว่าข้าวราดแกงนั้นต้องทำในปริมาณมากๆ แล้วราดข้าว หรือแบ่งขาย ถ้าทำใหม่ๆ ก็โชคดีไป แต่หากทำแล้วไม่มีคนซื้อ เมื่อบวกกับอากาศร้อน แมลงวันตอม ก็อาจทำให้อาหารเน่าบูดหรือเสียได้ นอกจากนี้ ในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านค้าที่ขายอาหารไม่หมดมีการนำอาหารถุงมาวางขายในช่วงเย็นๆ อย่าเห็นแก่ราคาแล้วรีบซื้อขอให้ดูดีๆ ก่อน

          5) อาหารกระป๋อง ไม่เฉพาะหน้าร้อนนะที่อาหารกระป๋องจะทำพิษให้ท้องเราได้ ช่วงอื่นๆ ก็เป็น หากอาหารกระป๋องนั้นหมดอายุ บู้บี้ผิดรูป ก็ไม่ควรซื้อ ที่สำคัญ ซื้อไปแล้วหากทานไม่หมดไม่ควรเก็บไว้นาน เพราะอาจมีแมลงวันตอมหรือเชื้อโรคตามอากาศที่เข้าไปปะปนได้ในภายหลัง 

          6) ยำ อาหารเมนูยำก็เช่นเดียวกับเมนูอื่นๆ ที่มักจะมีอันตรายแฝงอยู่หากปรุงไม่ได้มาตรฐาน เพราะวัตถุดิบที่ใช้ เช่น กุ้ง หมูสับ มะเขือเทศ ฯลฯ ที่แม่ค้าเตรียมไว้อาจเสียได้ง่ายกว่าในช่วงอื่น  เมื่อเราทานเข้าไปอาจทำให้ท้องเสียได้ง่ายๆ จึงควรระวังเมนูนี้เช่นกัน 

          7) ลาบ ก้อย น้ำตก พล่า อาหารประเภทนี้ส่วนใหญ่จะปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ ทำให้อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน เช่น เนื้อสัตว์ที่ย่างยังไม่สุกจะมีตัวอ่อนของพยาธิติดมา เนื้อหมูและเนื้อวัวอาจพบตัวอ่อนของพยาธิตัวตืด เนื้อหมูป่า หากไม่ปรุงให้สุกอาจจะเจอตัวอ่อนของพยาธิตัวกลมไทรชิเนลลา สไปเรลีส (Trichinella spiralis) ส่วนปลาและกุ้งน้ำจืดก็อาจเป็นพาหะนำโรคพยาธิตัวจี๊ดมาสู่คนได้ ยิ่งร้อนๆ แบบนี้โอกาสเสี่ยงต่ออาหารที่ไม่สด สะอาด ก็ยิ่งมีมากขึ้น 

          8) ซูชิ ถ้าหากวางขายในร้านที่เชื่อถือได้ก็น่าจะวางใจ แต่หากวางขายในตลาดนัด ซึ่งเราไม่รู้ว่าคนขายนำวัตถุดิบมาจากแหล่งผลิตใด วัตถุดิบคืออะไร ยิ่งมาวางขายใกล้ถนนที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย  บวกกับอากาศร้อนๆ เมื่อของสดบวกกับความร้อนและเชื้อแบคทีเรียในอากาศผู้ที่ซื้อไปทานก็อาจมีอาการท้องร่วง ท้องเสียตามมา

          9) เอแคลร์-ลูกชุบ หรือขนมที่มีการปั้นๆ ถูๆ ประเภทนี้ก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะเราไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังการทำนั้นเป็นอย่างไร โดยเฉพาะสุขอนามัยในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ อาจมีสิ่งปนเปื้อนมากกว่าเราคิดเสียอีก ที่สำคัญ สีที่ใส่ผสมลงไปในอาหาร ที่อาจไม่ใช่สีผสมอาหารที่ผ่านการรับรอง ทานเข้าไปก็เตรียมใจรับสารตะกั่ว

          10) สลัด แม้ว่าจะสนับสนุนให้คนหันมาทานผักกันมากๆ เพราะจะช่วยลดอัตราเสี่ยงโรคมะเร็ง รวมทั้งบำรุงสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะผักผลไม้มีสารแอนติออกซิแดนท์จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ผักสลัด เช่น ผักกาดต่างๆ กะหล่ำปลี มีโอกาสพบเชื้อโปรโตซัวได้หลายชนิด บางชนิดก็เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง เช่น เชื้อซัลโมเนลลา เป็นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ทั้งเรื้อรังและรุนแรง นอกจากนี้ อาจพบไข่ของพยาธิหลายชนิด เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า รวมทั้งไข่ของพยาธิตัวตืดอีกด้วย ผักทุกชนิดที่จะทานจึงจำเป็นต้องล้างให้สะอาดเสียก่อน
          หน้าร้อนนี้ จึงควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกินให้มากที่สุด ตั้งแต่เลือกอาหารที่จะทาน ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทาน อุ่นอาหารให้ร้อน ฯลฯ เพราะหากพลาดพลั้งอาจถูกหามเข้าโรงพยาบาลหรือมีอาการเรื้อรังจากเชื้อโรคและปรสิตต่างๆ ตามมาได้...จะทานอะไรก็ระมัดระวังกันให้มากนะ

Thank : Hospital Healthcare
.......................................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

ไทยปล่อยหมัดเด็ด"อัดเขมรดัดแปลงแผนที่"


          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะนี้ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กได้มีการสรรเสริญชื่นชม อลินา มิรอง ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ฝ่ายไทย ภายหลังจากที่เธอให้การต่อศาลโลก โดยสามารถโต้ตอบกลับกัมพูชาได้ พร้อมกับแฉว่า ทางฝ่ายกัมพูชาได้ปลอมแปลงเอกสารจดหมายเหตุยื่นแผนที่คนละฉบับของภาคผนวก 1 หวังตบตาศาล

          โดย น.ส.อลินา มิรอง กล่าวถึงความผิดปกติของแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน หรือแผนที่แนบท้ายภาคผนวกที่ 1 ที่ฝ่ายกัมพูชาได้นำเสนอต่อคณะผู้พิพากษา โดยระบุว่าในคำร้องฝ่ายกัมพูชาได้ใช้แผนที่มาอ้างอิงหลายฉบับ สังเกตได้จากคำว่า "maps" ที่เป็นพหูพจน์ ดังนั้นขอให้คณะผู้พิพากษาได้พิจารณาให้รอบคอบ

          ทั้งนี้ แผนที่ที่กัมพูชาได้นำมาแสดงนั้น เป็นการเลือกใช้แผนที่ที่เป็นประโยชน์กับตนเอง โดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ได้ให้ความเห็นไว้ว่า แผนที่ที่กัมพูชานำมาอ้างอิงนั้น ในทางสากลไม่สามารถนำมาปฏิบัติใช้ได้จริง เพราะมีความผิดพลาดทางภูมิประเทศ แม้ว่าฝ่ายกัมพูชาจะระบุหลายครั้งว่า ศาลโลกได้รับรองแผนที่ตามภาคผนวกที่ 1 ตามคำพิพากษาปี 2505 เมื่อทีมต่อสู้คดีนี้ของไทยไปค้นดูคำพิพากษาที่มีความยาวกว่า 1,500 หน้า ไม่ปรากฏการบันทึกใดที่เป็นการรับรองแผนที่ฉบับดังกล่าว อีกทั้งไม่ปรากฏว่าในการพิพากษาในปี พ.ศ. 2505 ศาลโลกได้ใช้แผนที่ฉบับใดมาเป็นหลักในการพิจารณา

            ถ้านำแผนที่เก่าของกัมพูชามาวางไว้แผนที่ปัจจุบัน จะพบว่าไม่มีความแม่นยำ แต่ไม่ทราบว่ามีการนำแผนที่มาสับเปลี่ยนกันหรือไม่ ทั้งนี้ ต้องขอชื่นชมกัมพูชา หากเราจะตัดสินจากความละอายของกัมพูชาที่ไม่มีการโต้แย้งในเรื่องนี้ สิ่งที่ทนายฝ่ายกัมพูชาให้ถ้อยแถลงต่อคณะผู้พิพากษาเมื่อวันที่ 15 เมษายน ระบุว่า แผนที่ที่ได้นำเสนอนั้นเป็นการขีดเส้นตัดกันระหว่างแผนที่ในภาคผนวก 1 และแนวเส้นสันปันน้ำ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากการถ่ายทอดแผนที่ในอดีตมายังแผนที่ปัจจุบันมีความยาก เพราะต้องใช้วิธีทางคณิตศาสตร์ และหากนำแผนที่ตามถ้อยแถลงของทนายฝ่ายกัมพูชามาอ้างอิง จะพบว่าส่วนที่ตัดกันนั้นอยู่ห่างจากตัวปราสาทมากถึง 6.8 กิโลเมตร และที่สำคัญ ผู้เชี่ยวชาญหน่วยวิจัยเขตแดนระหว่างประเทศ ระบุว่า วิธีการของกัมพูชาจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนของแผนที่มากถึง 500 เมตร ในทางตอนเหนือของปราสาทพระวิหาร ดังนั้น เห็นชัดว่ากัมพูชาไม่สนใจในความถูกต้องของภูมิประเทศรอบปราสาท รวมถึงภูมะเขือ และเทือกเขาพนมดงรัก ทั้งที่เป็นพื้นที่ที่สำคัญ และไม่สามารถพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ภายในเวลา 50 ปี

          นอกจากนี้ น.ส.อลินา กล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ทางกัมพูชาไม่มีแผนที่ที่สามารถพิสูจน์พื้นที่ได้แน่นอน แม้จะอ้างว่าปราสาทพระวิหารนั้นจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว เพราะตามแผนที่ที่ศาลโลกใช้ประกอบการตัดสินคดีเมื่อปี พ.ศ. 2505 แต่ข้อเท็จจริงยูเนสโก ได้ใช้แผนที่ของปี ค.ศ. 2011 ส่วนหลักฐานเกี่ยวกับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นสิ่งที่น่าประหลาดว่ากัมพูชาได้ยื่นเพิ่มเติมหลังจากจบการนำเสนอ

          กัมพูชาได้อ้างอิงในสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 ว่าได้ให้อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่สนธิสัญญาดังกล่าวไม่ได้พูดถึงตัวปราสาทพระวิหาร ระบุเพียงแค่เขตแดนในแผนที่ฉบับอื่น ๆ เช่น แผนที่ในปี 1937 ที่แสดงให้เห็นว่าตัวปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตของกัมพูชา แต่ไม่สามารถใช้กำหนดเขตแดนได้ เพราะไม่ชัดเจนในแง่ภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ, แผนที่ปี ค.ศ. 1947 ที่ประเทศไทยได้เสนอต่อคณะกรรมการประนอมระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส มีลักษณะคล้ายกับแผนที่ภาคผนวก 1 คือแสดงให้เห็นว่าปราสาทพระวิหารอยู่ทางตอนใต้ของเส้นเขตแดน แต่ส่วนอื่น ๆ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้น ทำให้คณะพิพากษาปี ค.ศ. 1962 ไม่ได้ให้คุณค่าที่จะใช้พิสูจน์เขตอธิปไตย

          ประเด็นที่กัมพูชาขอให้ศาลวินิจฉัยว่าแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเส้นเขตแดนหรือไม่ ทั้งที่ไม่มีความชัดเจน แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายกัมพูชาต้องการให้ศาลเห็นชอบให้ใช้เส้นตามแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเส้นเขตแดน และหากพิจารณาตามแผนที่ 85D เท่ากับกัมพูชามีความต้องการขยายอาณาเขตเดิมมาในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วย ทนายความฝ่ายไทย กล่าวสรุป

          ภายหลัง อลินา มิรอง ให้การโดยวาจาต่อศาลโลกเสร็จสิ้น ปรากฏว่า นายสมชาย แสวงการ ส.ว. สรรหา ได้โพสต์ข้อความชื่นชมในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า ประทับใจคำอธิบาย อลินา มิรอง ผู้เชี่ยวชาญแผนที่ฝ่ายไทยอย่างยิ่งทั้งความสุภาพ ต่อย ๆ อธิบายด้วยการใช้เทคนิคภาพแผนที่ เหตุผล เปรียบเทียบจนเคลียร์ ถึงตอนนี้เราค่อนข้างมั่นใจขึ้นว่ากัมพูชาที่ฟ้องเราไม่มีเหตุผลพอจะชนะเราได้ ทันทีที่เธออธิบายเสร็จพวกเราทุกคนในศาลอดจะชมเชยไม่ได้ โดยเฉพาะ สว.ประสาน แอบไปชมเชยเธอถึงตัวเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมครับ

         ทั้งนี้ สำหรับ อลินา มิรอง ทนายความชาวโรมาเนียของฝ่ายไทย พูดภาษาฝรั่งเศส เป็นผู้ช่วยของ ศ.อแลง แปลเล่ต์ ซึ่งเป็นผู้ทำงานและมีความเชี่ยวชาญแผนที่โดยเฉพาะกว่า 60 ฉบับ
............................................................................................

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

การวางแผนทางการเงินเพื่ออนาคต

          การวางแผนทางการเงินเพื่ออนาคต จะต้องมีการกำหนดเป้าหมายในอนาคตว่ามีความจำเป็นจะต้องใช้เงิน เพื่อวัตถุประสงค์ใด จำนวนประมาณเท่าไร เมื่อไรในอนาคต เช่น

          • วาง แผนจะซื้อบ้านอยู่อาศัยมูลค่า 5 ล้านบาทในอีก 4 ปีข้างหน้า
          • วางแผนส่งลูกเรียนปริญญาโทต่างประเทศอีก 2-3 ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายสองปี ๆละ 400,000 บาท
          • วางแผนว่าจะเกษียณอายุในอีก 20 ปีข้างหน้าและเมื่อถึงเวลานั้นต้องการมีเงินเหลือให้ใช้จ่ายได้ปีละประมาณ 30,000 บาท ไปอีกเป็นเวลาประมาณ 20 ปี

          เมื่อได้กำหนดเป้าหมายแล้ว จะต้องมีการกำหนดยุทธวิธีว่าทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายทางการเงินจนสามารถ ได้เงินจำนวนดังกล่าวมา ณ เวลาที่ต้องการ โดยเบื้องต้นจะต้องมีการกันเงินส่วนหนึ่งจากรายได้หรือเงินคงเหลือที่เก็บ ออมมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นอาจมีรายได้ที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งอาจมาจากเงินเดือน กำไรจากการค้าขาย หรือมรดก 
จำนวนเงินที่ได้มาในปัจจุบันและอนาคตนั้น จะต้องถูกนำไปก่อดอกออกผลให้ได้เงินเพียงพอสำหรับความจำเป็นในอนาคต 
          การ วางแผนทางการเงินที่ดีได้จะต้องทราบว่า ณ ปัจจุบันสถานะทางการเงินของตนเป็นอย่างไร ต้องสามารถหามูลค่าทรัพย์สินสุทธิและสภาพคล่องของตนได้

กลยุทธการบริหารเงิน 3 ประการ
          1. ปกป้องเงินรายได้ที่มี หมายถึง ทำอย่างไรรายได้ที่หามาได้จึงจะไม่ลดค่าลงไปตามกาลเวลาในอนาคต เงินหนึ่งร้อยบาทที่มีในวันนี้ในอีกสิบปีข้างหน้าอาจมีมูลค่าลดลงเหลือครึ่ง เดียวหากภาวะเงินเฟ้อยังเป็นเช่นปัจจุบัน ทำอย่างไรจึงจะรักษาค่าเงินให้คงคุณค่าไม่ให้หดหายลงไปดังกล่าว

          2. ใช้รายได้ที่มีให้เกิดดอกผลมากที่สุด หมายถึง การนำรายได้ที่มีไปก่อดอกออกผลซึ่งจะไม่ได้มาโดยการเก็บรักษาไว้ในบ้าน หรือโดยการออมในลักษณะที่ได้ดอกเบี้ยหรือดอกผลต่ำเกินไป แต่อาจได้มาโดยวิธีการลงทุนที่ชาญฉลาด เหมาะกับสถานการณ์

          3. เพิ่มรายได้รวมให้มากขึ้น หมายถึง รายได้ปัจจุบันที่มีอยู่แล้วนั้นอาจมีทางทำให้ได้เข้ามามากขึ้นเต็มเม็ดเต็ม หน่วย โดยไม่ต้องไปหางานทำเพิ่ม แต่อาจได้มาโดยปรับปรุงช่องทางเดินของกระแสเงิน เช่น การรับเงินเดือนโดยการโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารโดยตรงทำให้ได้รับดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น หรือทำอย่างไร จึงจะเสียภาษีรายได้ประจำปีให้น้อยลงโดยไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดจริยธรรม เป็นต้น

          วิธีการออมแบบไม่สลับซับซ้อนอาจเป็น การฝากเงินไว้กับธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ย แต่ในหลาย ๆสภาวะการฝากเงินกับธนาคารนั้นแม้จะเป็นการออมแต่ก็อาจไม่ใช่การลงทุนที่ถูก ต้อง เพราะแทนที่จะเกิดดอกออกผลอาจกลายเป็นว่าเงินที่ฝากด้อยค่าลง เช่น หากภาวะเงินเฟ้อเลวร้ายจนอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากเงินธนาคารและหัก ภาษีดอกเบี้ยเงินฝากแล้วยังต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อจะหมายความว่าเม็ดเงินโตไม่ ทันระดับราคาสินค้าและบริการ

          หากไม่ใช่การออมในลักษณะง่าย ๆ ดังกล่าว การบรรลุแผนทางการเงินอย่างชาญฉลาดอาจต้องให้การลงทุนในรูปแบบอื่นต่าง ๆ เพื่อให้ได้ดอกผลมากกว่าการออมตามปกติ

Thank : pattanakit.net
......................................................................................................

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

ความจริง 10 ประการเบื้องหลังการนอกใจ

       ในช่วงที่ละครยอดฮิตอย่างแรงเงา กำลังโกยเรตติ้ง ทำเอาผู้มีปัญหาการนอกใจของคู่สมรสติดกันหนึบหนับ วันนี้เราจึงมีอีกหนึ่งความจริงที่น่าสนใจ ว่าเบื้องหลังการนอกใจนั้น มันมีอะไรแฝงอยู่บ้างมาฝากกัน
       
       ความจริงข้อที่ 1 ผู้ชายส่วนมากยังคงรักภรรยาของตนอยู่แม้จะนอกใจไปแล้ว       
       การนอกใจของผู้ชายไม่ได้เกิดขึ้น เพราะพวกเขาไม่รักภรรยาของตนเองอีกแล้ว แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อพวกผู้ชายไม่พึงพอใจสภาพที่เป็นอยู่ในบ้าน เช่น เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ เหนื่อยกับการเลี้ยงลูก รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ฯลฯ เมื่อมีใครบางคนเข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายนี้ไปได้ ก็เลยทำให้เขาพลาดพลั้งนอกใจภรรยาไปนั่นเอง แนวทางป้องกันคือ สามีภรรยาต้องหาเวลาดีๆ ร่วมกันบ้าง รวมถึงเวลาดีๆ ในช่วงค่ำคืนด้วย คนสองคนต้องหาโอกาสคุยกันถึงเรื่องดีๆ อนาคตดีๆ ที่จะสร้างร่วมกัน ฯลฯ เพื่อที่ว่าคนของเราจะได้มีเป้าหมาย ไม่ต้องไปสร้างเป้าหมายนี้กับคนอื่น
       
       ความจริงข้อที่ 2 ผู้หญิงที่เขาปันใจให้มักเป็นคนใกล้ตัว      
       ภรรยาควรทราบไว้ว่า เพื่อนสมัยเด็ก เพื่อนสมัยเรียน แฟนเก่า น้องที่ทำงาน เด็กฝึกงาน คือ ผู้ต้องสงสัยอันดับต้นๆ ไม่ใช่สาวในผับในบาร์แต่อย่างใด เพราะคนที่จะเข้ามาสร้างความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับสามีของคุณได้ อย่างน้อยก็ต้องมีความสัมพันธ์ดีๆ กันมาก่อน เช่น อาจเคยช่วยเหลือกันมาสมัยเรียน หรือสมัยทำงาน ทางที่ดีคือ พยายามทำให้สามีรู้สึกว่าคุณสำคัญต่อเขา และมีดีเหนือกว่าเพื่อนร่วมงานของเขาให้ได้
       
       ความจริงข้อที่ 3 การนอกใจอาจแค่คลายเครียด       
       การนอกใจภรรยาที่เกิดขึ้นกับผู้ชายนั้น ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาไม่รู้จะแก้ไขความสัมพันธ์ในบ้านที่มันย่ำแย่อย่างไร ดังนั้น เขาจึงออกไปหา “บางสิ่งบางอย่าง” จากข้างนอก เผื่อว่า มันจะสามารถทดแทนสิ่งที่ครอบครัวไม่สามารถให้กับเขาได้นั่นเอง
       
       ความจริงข้อที่ 4 ผู้ชายก็รู้สึกผิดที่นอกใจภรรยา       
       ภรรยาไม่ได้ร้องไห้น้ำตานอง เสียใจแต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้ชายเองก็รู้สึกผิดกับการกระทำของตนเองเช่นกัน
       
       ความจริงข้อที่ 5 คนนอกใจภรรยามักจะดีกับภรรยาเป็นพิเศษ      
       ดีเป็นพิเศษในที่นี้เช่น ขยันทำการบ้านบ่อยๆ ซึ่งภรรยาที่ใกล้ชิดกับสามีมักสังเกตความผิดปกตินี้กันได้แทบทุกคน
       
       ความจริงข้อที่ 6 ผู้หญิงก็นอกใจไม่แพ้ผู้ชาย       
       การศึกษาของมหาวิทยาลัยอินเดียนา ระบุว่า ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็พบเจอปัญหาการนอกใจได้พอ ๆ กัน แต่เหตุผลที่ใช้ในการนอกใจนั้นแตกต่างกัน เพราะผู้หญิงที่นอกใจนั้นมักเป็นเรื่องของการขาดที่พึ่งทางอารมณ์ และการไม่ได้รับความพึงพอใจในชีวิตคู่ แต่ผู้ชายมักเกี่ยวกับความต้องการทางเพศเป็นหลัก
       
       ความจริงข้อที่ 7 ภรรยามักจับพิรุธสามีได้เสมอ       
       ไม่จำเป็นว่าสามีเป็นคนดัง หรือคนธรรมดาทั่วไปแล้วจะมีผลต่อการจับพิรุธของภรรยา เพราะภรรยาส่วนมากมักมีเซนส์เรื่องนี้กันอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นเรดาร์กันเลยก็ว่าได้
       
       ความจริงข้อที่ 8 การนอกใจมักจบลงด้วยการคืนดี       
       แม้จะไม่เสมอไป แต่โดยมาก การนอกใจก็ทำให้หลายคู่หันกลับมาคืนดี รวมถึงแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองเพื่อรักษาครอบครัวให้คงอยู่ได้ ผู้ชายเอง หลังจากหันไปสนใจกับความสัมพันธ์ใหม่ (ที่น่าตื่นเต้นกว่า) สักพักก็จะเริ่มรู้สึกตัวว่า ใครคือคนที่เขาอยากอยู่ด้วยมากที่สุด (ซึ่งมักเป็นภรรยา ไม่ใช่ชู้รักใหม่แต่อย่างใด) และเริ่มรู้สึกว่า ผู้หญิงที่เขาปันใจให้นั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ดีหรือสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
       
       ความจริงข้อที่ 9 แม้จะกลับมาคืนดีกับภรรยาแล้ว ผู้ชายอาจยังไม่ลืมผู้หญิงคนนั้น       
       น่าเศร้าที่ข้อนี้ก็เป็นความจริงที่ต้องยอมรับด้วยเช่นกัน เพราะในการเผลอใจมีอะไรๆ กับหญิงอื่นนั้นอาจมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาลืมไม่ลงซ่อนอยู่ นั่นจึงทำให้เขาอาจย้อนนึกถึงได้ (แม้เขาจะกลับมาคืนดีกับภรรยาแล้วก็ตาม)
       
       ความจริงข้อที่ 10 คนที่นอกใจจะสำนึกถึงความผิดที่ทำลงไปเสมอ       
       เมื่อได้กลับมาคืนดีกัน และสร้างครอบครัวใหม่อีกครั้งหลังการนอกใจนั้น สามีทุกคนรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป เพราะเขาได้สร้างบาดแผลครั้งใหญ่กับภรรยาและลูกๆ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานในการเยียวยาให้ดีขึ้น และสิ่งนั้นคือผลที่ผู้ชายรักสนุกทั้งหลายต้องยอมรับมันให้ได้
       
       ทางที่ดี สำหรับใครก็ตามที่กำลังจะมีประเด็นชู้สาวเข้ามาในชีวิต ก็กล้าหาญกับชีวิตสักหน่อย ยอมรับสักนิดว่าตนเองมีภรรยาและลูกแล้ว ไม่ต้องอ้างปัญหาในครอบครัว เพราะคนที่มีครอบครัวคนไหนๆ ก็ต้องเจอปัญหาเสมอ รวมถึงสาวๆ ถ้ารักจะส่ง SMS หาคนที่มีภรรยาแล้วก็ต้องบอกตัวเองให้รักษาหน้า รักษาชื่อเสียงครอบครัววงศ์ตระกูลเอาไว้บ้าง ดีกว่าปล่อยให้ภรรยาเขาเก็บหลักฐานฟ้องเรียกค่าเสียหายให้อับอายนะ
       
 ขอบอกว่า...หาผู้ชายโสดๆ เถอะ...
       
  Thank : WomansDay.com
.................................................................................................

ไฮไลต์สงกรานต์กรุง สาดน้ำดับร้อนทั่วเมือง


ประชากรกรุงเทพฯ เริ่มทยอยออกต่างจังหวัดเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์
แต่ "คนเฝ้ากรุง" ก็ไม่ต้องกลัวเงียบเหงาเศร้าสร้อย เพราะปีนี้มีหลายหน่วยงานสถานที่ในเขตกรุงเทพฯ ที่จัดงานสงกรานต์

สงครามน้ำแสนสนุกที่ ข้าวสาร-สีลม
ถนนเอกลักษณ์ของเทศกาลสาดน้ำในกรุง "ตรอกข้าวสาร" เต็มไปด้วยหนุ่มสาววัยรุ่นทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทุกมุมโลก ที่มีจุดหมายเดินทางมาร่วมสนุกและคลายร้อนกัน ปีนี้เริ่มเล่นตั้งแต่วันที่ 13-15 เม.ย. ตั้งแต่เช้าไปจนถึงเวลาไม่เกินเที่ยงคืน ซึ่งเส้นทางสำหรับเล่นน้ำที่ข้าวสารจะปิดถนนเพื่อใช้เล่นสงกรานต์ ตั้งแต่บริเวณหน้าสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ไปจนถึงสี่แยกคอกวัว เรื่อยไปจนเข้าสู่ถนนข้าวสาร

สงกรานต์ถนนข้าวสาร เน้นเดินเท้าเข้าไปเล่นแบบสร้างสรรค์ ห้ามจำหน่ายหรือดื่มสุราต้องปราศจากแอลกอฮอล์ โดยมีสายตรวจคอยตรวจสอบดูแลผู้ที่ดื่มแล้วขับขี่ หรือโดยสาร จะถือว่ามีความผิด มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

เทศกาลสงกรานต์บน "ถนนสีลม" ปีนี้ ใช้แนวคิดหลักเหมือนกับปีที่ผ่านมา คือ"สงกรานต์ 3 ปลอด"ปลอดภัย ปลอดแอลกอฮอล์ ปลอดอาวุธ จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 13-15 เม.ย.นี้ เริ่มตั้งแต่ด้านหน้าโรงแรมดุสิตธานี ไปจนถึงแยกนราลม (ถนนสีลมตัดถนนนราธิวาสราชนครินทร์) ระยะทางประมาณ 1 กม. โดยจะเริ่มปิดถนนที่เป็นอีกจุดหมายของชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาร่วมสนุกตั้งแต่เที่ยงคืน

พิเศษ ปีนี้มีรถดับเพลิงคันยักษ์มาฉีดน้ำดับร้อนกันให้ฉ่ำทั่วสีลม พร้อมกระทบไหล่ดาราสาวขาวจั๊วะ โบวี่-อัฐมา ชีวนิชพันธ์ และมิ้นท์-มิณฑิตา วัฒนกุลพร้อมคู่สวีตแห่ง VRZO ปลื้ม & ทับทิม วันเสาร์ที่13 เม.ย.นี้ ณ ลานกิจกรรมด้านหน้าอาคารยูไนเต็ดเซ็นเตอร์ ถนนสีลม เริ่มคึกคักตั้งแต่เวลา 14.30 น.เป็นต้นไป

วัยรุ่นสยามใส่ผ้าขาวม้าเล่นน้ำ
เด็กสยามสแควร์ ปีนี้รักษ์ความเป็นไทย ชวนกันไปร่วมงาน "สงกรานต์เมษาผ้าขาวม้ารวมไทย ม่วนสงกรานต์ล้านนา" ที่จะมีขึ้นในวันที่ 13-15 เม.ย. ที่สยามสแควร์ ซึ่งจัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานนี้รวมเอาวัฒนธรรมสงกรานต์ของไทยทุกชนเผ่ามาไว้ที่เดียวกัน ที่สำคัญจะเป็นงานสงกรานต์สีขาว เล่นสาดน้ำกันอย่างสุภาพ ชักชวนให้แต่งกายอย่างเหมาะสมด้วยผ้าขาวม้าเก๋ไก๋เน้นเรื่องความปลอดภัยไร้แป้งและแอลกอฮอล์

อัศจรรย์สงกรานต์กลางกรุง ปาร์ตี้โฟม M2F
 เทศกาลสงกรานต์ครั้งยิ่งใหญ่ ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดย "M2F" หนังสือพิมพ์แจกฟรี ชวนร่วมงานอัศจรรย์สงกรานต์กลางกรุง "M2F Presents Bangkok Songkran Festival 2013 @CentralWorld" วันที่ 13-15 เม.ย.นี้ งานนี้รวบรวมอาหารกว่า 20 ร้านค้า พบกับพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์แบบปลอดภัย ไร้แอลกอฮอลล์ และมีจุดเติมน้ำฟรีตลอดทั้งงาน ร่วมปาร์ตี้โฟมพร้อมชมคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังและเหล่าดีเจ ทั้งยังมีเครื่องเล่นและซุ้มเกมนานาชนิดมาให้เล่นสนุกสุดเหวี่ยง พร้อมมีการแจกของรางวัลอีกมากมาย สนใจร่วมกิจกรรม ตัดคูปองจาก M2F ที่มีจุดแจกอยู่ทั่วกรุงเทพฯ แล้วนำมาแลกบัตรเครื่องเล่นฟรี1 คูปองต่อบัตรเข้างาน 1 ใบ

เบิกบานใจ สงกรานต์ในห้าง
ซีพีเอ็น ชวนเล่นน้ำคลายร้อนฉลอง "เทศกาลสงกรานต์ เบิกบานใจ 56" ร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทยและฉลองวันครอบครัว ระหว่างวันที่ 13-15 เม.ย.ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า จัดงาน "ย้อนยุควันวาน ณ รัตนโกสินทร์" อิ่มเอมบรรยากาศบ้านเมืองโบราณจำลองในเกาะรัตนโกสินทร์ รวมทั้งสินค้าย้อนยุคหาชมยากมากมาย พร้อมร่วมสรงน้ำพระพุทธรูปจาก 9 พระอารามหลวง ขณะที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 3 จัดงาน "สายน้ำแห่งบุญมหาสงกรานต์" เชิญร่วมสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และพระธาตุ 4 ภาค พร้อมเลือกซื้อสินค้าของดี 4 ภาค

เดินหลบร้อนเข้าห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ศรีนครินทร์ จัดงาน "สงกรานต์ ลานบุญ" สรงน้ำพระพุทธรูปชื่อดังประจำภาคตื่นตาการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยพื้นบ้าน ระหว่างวันที่ 12-16 เม.ย.นี้

ตั้งแต่วันนี้-16 เม.ย. "พาราไดซ์ พาร์ค มหกรรมมหาสงกรานต์" เนรมิตพื้นที่ภายในศูนย์การค้าให้เป็นพุทธสถาน โดยร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์ พุทธธรรมพระบรมสารีริกธาตุ อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากทิเบตและอินเดียมาให้ร่วมสักการบูชา ผู้ร่วมงานมีสิทธิรับพระบรมสารีริกธาตุ จำนวนจำกัด วันละ 100 องค์และน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากอินเดีย ศรีลังกา จีน เนปาลเมียนมาร์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย ทิเบต และไทย

ไม่ว่าจะไปฉลองสงกรานต์ที่ไหนก็ขอให้สนุกสนานเย็นกายเย็นใจกันทั่วหน้า

Thank : โพสต์ทูเดย์
..........................................................................................

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

“ฟังไม่เป็น” ปัญหาใหญ่ชีวิตคู่




         การได้แบ่งปันทุกข์และสุขของคนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสิ่งที่คนรักกันทุกคู่ปรารถนา แต่ปัญหาก็มักเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หากคนที่คุณเลือกมาเป็นคู่ชีวิตนั้น “ฟังไม่เป็น” เพราะทันทีที่คุณเริ่มพูด เพื่อจะเล่าถึงเรื่องราวที่ดีสุดๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณ และอยากจะให้เขาร่วมยินดีกับคุณด้วย อีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่สนใจ หรือทำท่าฟังแบบเสียไม่ได้ ความรู้สึกดีๆ ที่อยากจะแบ่งปันให้คนรักร่วมยินดีด้วยย่อมเหือดหายไปในพริบตา แถมยังอาจทำให้คุณและคู่ครองต้องมีปากเสียงกันด้วย

       
       ดังนั้น การเป็นผู้ฟังที่ดีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกัน ยิ่งคู่สามีภรรยาที่มีเจ้าตัวเล็กแล้ว ยิ่งจำเป็นมากขึ้นเป็นสองเท่า เพราะคุณจะมีเรื่องให้ปรับทุกข์ปรับสุขกันเพิ่มมากขึ้นจากสมัยที่อยู่กันเพียง 2 คนมากมายนัก วันนี้ เราจึงรวบรวมวิธีเวิร์กๆ ในการเป็นผู้ฟังที่ดีมาฝากกัน เริ่มจาก
       
       1.จะฟังให้ได้ดีต้องปิดสิ่งรบกวนทั้งหลาย       
       บางทีในบ้านอาจมีสิ่งรบกวนมากเกินไป ดังนั้น หากต้องการปรับทุกข์ หรือพูดคุยในสิ่งที่เป็นปัญหาระหว่างกัน ควรปิดสิ่งรบกวนการสนทนา เช่น ทีวี วิทยุ เครื่องเล่นซีดี โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ฯลฯ เสีย การไม่มีเสียงรบกวนในขณะสนทนา จะช่วยให้คู่สนทนาไม่วอกแวก และหันมาสนใจในเรื่องราวที่จะเล่ามากขึ้น
       
       2.ไม่ทำตัวเป็นผู้พิพากษา       
       ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีหลายคนที่ติดนิสัยผู้พิพากษามาใช้กับคนในครอบครัว คนเหล่านี้พร้อมที่จะตัดสินลงโทษคนผิดคนถูกทันทีที่ได้ฟังเรื่องราว แต่สำหรับชีวิตคู่ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะฝ่ายที่ตัดสินใจนำเรื่องทุกข์ใจมาเล่าให้คุณฟัง บางครั้งเขาอาจแค่ต้องการระบาย ต้องการคนที่่ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ ความอึดอัดคับข้องใจ แต่ทันทีที่คุณหันไปตัดสินว่าเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังนั้น มัน “ถูกหรือผิด” “ไร้สาระหรือมีสาระ” และต่อว่าในตัวผู้เล่า นั่นเท่ากับว่า คุณทำลายความไว้ใจของอีกฝ่ายลงไปแล้ว อีกทั้งยังทำให้เขาหรือเธอขยาดที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้คุณฟังในครั้งต่อไปด้วย
       
       การอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ไม่ได้ต้องการผู้พิพากษา แต่ต้องการคนที่เปิดใจกว้าง พร้อมจะเข้าใจ เห็นใจ และไม่ซ้ำเติมกันจนเกินไป
       
       3.ไม่เห็นด้วยได้ แต่ทำอย่างมีน้ำใจ       
       การเคารพความเห็นของกันและกันเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าเรื่องที่เขาหรือเธอเล่า คุณจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า คุณเป็นคนรักกัน ไม่ใช่ศัตรูกัน ดังนั้น เมื่อรับฟังแล้ว และต้องการจะเสนอความคิดของตนเองออกไปก็ควรทำอย่างนุ่มนวล ไม่ใช่ไปหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายจนเกิดความเจ็บปวด
       
       4.อย่าเสียมารยาทล้อเลียนผู้พูด       
       ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังเล่าอยู่นั้น การพยายามทำให้เป็นเรื่องขำ การล้อเลียน หรือการทำเป็นเล่นไปเสียหมด เป็นสิ่งที่เสียมารยาทอย่างมาก และอาจทำให้ผู้เล่ารู้สึกแย่ที่ตัดสินใจมาเล่าให้คุณฟัง ซึ่งนั่นหมายถึงสัมพันธภาพระหว่างคู่รักที่อาจจะพังลงได้ในอนาคตเลยทีเดียว
       
       5.จำกัดจำนวนคน       
       นึกภาพการปรึกษาปัญหาชีวิตในครอบครัวใหญ่สัก 10 คนร่วมรับฟัง รับรองเลยว่า ปัญหาที่คุณอยากเล่าจะไม่ได้เล่า เรื่องที่คุณอยากระบายจะไม่ได้ระบาย เพราะวงสนทนาที่ใหญ่ขนาดนั้น แต่ละคนที่ร่วมสนทนาด้วยย่อมอยากแสดงความคิดเห็นของตนเองจนสุดท้ายปัญหาของคุณจะไม่มีใครฟัง และจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเรื่องอะไร ดังนั้น ควรเลือกเฉพาะคนที่คุณไว้ใจจริงๆ หรือคนที่คุณอยากเล่าให้ฟังจริงๆ ก็พอ
       
       6.เตรียมรับมือกับการโต้เถียง       
       บางครั้งเมื่อต้องปรับทุกข์กันเรื่องปัญหาในบ้าน บ้างก็เรื่องเลี้ยงลูก คู่แต่งงานอาจหลีกเลี่ยงการโต้เถียงได้ยาก ดังนั้น จึงควรเตรียมใจให้พร้อมด้วย ซึ่งการจะรับมือนั้น ไม่ควรใช้วิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้
       
       - การประชด
       - การใช้คำหยาบ การถากถางเหน็บแนม
       - การตะคอกด้วยเสียงอันดัง
       - การขุดเรื่องในอดีตขึ้นมาผสมโรง
       
       ถ้ารู้สึกอารมณ์ไม่ดี จะพักการสนทนาก่อนก็ได้ ไม่ผิดกติกา และอีกฝ่ายก็ไม่ต้องเซ้าซี้ให้เขากลับมาพูดด้วยให้จบ ไว้อารมณ์เย็นลงจะกลับมาคุยกันใหม่อีกรอบก็ยังไม่สาย ดีกว่าทุ่มเถียงกันจนเสียน้ำตา เสียความรู้สึก
       
       7.ใช้ภาษากายช่วยในการรับฟัง       
       การกอด การสบตาผู้พูด การโอบไหล่ การลูบหัว การปรบมือ การยิ้ม หัวเราะ ฯลฯ เป็นสิ่งที่คนรักกันสามารถทำให้กันได้ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเล่า และนั่นช่วยให้การสนทนาเป็นไปอย่างออกรสมากขึ้นด้วย
       
       8.คิดเสมอว่า เราจะช่วยเขาได้อย่างไร       
       ในการเป็นผู้ฟังที่ดีนั้น ความรู้สึกในการอยากทำให้อีกฝ่ายมีความสุขเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันจะส่งผลถึงการแสดงออกของคุณต่อเขาหรือเธอ คุณจะเป็นผู้ฟังที่ทำให้ผู้พูดรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่อยู่ที่ว่าคุณตระหนักในเรื่องนี้หรือไม่ บางเวลาคุณไม่จำเป็นต้องแนะนำอะไรเลย แค่นั่งรับฟังความทุกข์-สุขเหล่านั้น และอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว
       
       ปฏิเสธไม่ได้ว่า การขาดทักษะในการฟังเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสมีปัญหา อีกทั้งการยังไม่ทันฟังให้ดีพอก็รีบตัดสินพิพากษาคนรักของตัวเองนั้นเป็นพฤติกรรมที่โง่มาก เพราะเท่ากับคุณผลักให้เขาหรือเธอกลายเป็นคนที่อยู่คนละข้างกับคุณได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น มาลองฝึกทักษะการเป็นผู้ฟังที่ดี และใช้ทักษะนั้นร่วมแบ่งปันทุกข์-สุขกับคนที่รักดีกว่า

Thank : Manager online
................................................................................................

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

ทำไมหนุ่ม ๆ ถึงควรโกนหนวดทุกวัน

          หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินคนบอกต่อ ๆ กันมาว่าผู้ชายเราต้องหมั่นโกนหนวดเป็นประจำเพื่อให้ใบหน้าดูเกลี้ยงเกลา สม่ำเสมอ แต่คำถามต่อมาก็คือที่ว่าบ่อย ๆ แค่ไหนกันแน่ แล้วจำเป็นด้วยหรือที่ต้องให้ผิวหนาดูเรียบเนียนทุกวัน แต่ความจริงแล้วผู้ชายส่วนใหญ่ยังไม่รู้ถึงประโยชน์ของการโกนหนวดอย่างสม่ำ เสมอเสียด้วยซ้ำ เพราะมันมีข้อดีมากมาย ว่าแล้วก็ลองมาอ่านข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้อดีของการโกนหนวดทุกวันกัน เลยดีกว่า

  1. หน้าหล่อใสเกลี้ยงเกลา
          ไม่ใช่แค่การโกนหนวดเคราทิ้งไป จะทำให้คุณได้ลุคหนุ่มหน้าใสเหมาะกับเทรนด์ช่วงนี้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผิวพรรณสะอาดสะอ้านขึ้นจริง ๆ เพราะหนวดเคราที่คุณชอบปล่อยทิ้งไว้รกรุงรังเต็มหน้านี่แหละ ที่เป็นตัวการดักฝุ่นละอองสิ่งสกปรกที่เจอในแต่ละวันมากองไว้เต็มหน้า โดยเฉพาะหน้าร้อนที่ผิวหน้ายิ่งอับชื้นอันเกิดจากเหงื่อที่ไหลออกมา จนเกิดปัญหาสิวเสี้ยนขึ้นอีก ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเมื่อไหร่สิวจะหายกันล่ะ รู้แบบนี้แล้วก็ขยันโกนกันหน่อยนะ

2. ช่วยให้หนวดกลับมาขึ้นเร็ว
          สำหรับหนุ่มบางคน แม้แต่การไว้หนวดเคราบาง ๆ ก็เป็นเรื่องยากแสนยากเสียเหลือเกิน เพราะเป็นคนที่เส้นขนตามร่างกายเติบโตช้ามาก ๆ ซึ่งการโกนหนวดเคราบ่อย ๆ นั้น ก็เหมือนกับการเล็มปลายผมเพื่อให้งอกยาวเร็วขึ้นนั่นแหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากไว้เคราเพิ่มลุคแมน ๆ ลุย ๆ ให้กับตัวเอง ก็ลองโกนหนวดทุกวันสักระยะหนึ่งก่อน เพื่อที่จะทำให้การไว้เคราแบบที่คุณต้องการทำได้ง่ายขึ้นอีก

3. กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
          เพื่อใบหน้าอ่อนเยาว์ ดูเด็กกว่าวัยอยู่เสมอ การบำรุงผิวหน้าขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป ร่างกายจะได้ผลัดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาก็ถือเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณจึงควรโกนหนวดทุกวัน เพราะมันสามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าออกไปได้เป็นอย่างดี และเพื่อให้เห็นผลมากขึ้น นอกจากการโกนแล้วก็ควรดูแลผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เสริมเช่น สครับ ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผิวหน้า
          โดยส่วนใหญ่แล้ว ครีมโกนหนวดทั้งหลายแหล่ที่เราใช้กันอยู่นี้ มักจะมีส่วนผสมที่สามารถช่วยต่อต้านแบคทีเรียได้ด้วย มันจึงเป็นการบำรุงผิวหน้าของคุณไปในตัว ทำให้ลดปัญหาสิวเสี้ยนกวนใจได้อย่างต่อเนื่องแม้หลังโกนหนวดต้องออกไปเผชิญ ฝุ่นควันภายนอกก็ตาม ดังนั้นการโกนหนวดทุกวัน จึงมีส่วนช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสเกลี้ยงเกลาขึ้นได้ไม่น้อยเลยล่ะ


5. ลดปัญหาขนคุด
          นอกจากจะทำให้ผิวดูไม่น่ามองแล้ว ขนคุดยังเป็นจุดที่น่ารำคาญ และทำให้เรารู้สึกคันไปจนถึงเจ็บแสบขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ ซึ่งการโกนหนวดทุกวันจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ลงไปได้ เพราะหนวดเคราของคุณจะถูกโกนตั้งแต่ยังเป็นตอสั้น ๆ จนหมดสิทธิ์จะงอกยาวกลับไปทิ่มข้างในเนื้อของคุณอีก ผิดกับการโกนหนวดนาน ๆ ครั้ง ซึ่งจะทำให้คุณมีขนคุดน่ารำคาญใจเต็มไปหมด

          เชื่อหรือยังล่ะว่าการโกนหนวดทุกวัน มันดีต่อสุขภาพผิวหน้าของคุณจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเป็นคนมีผิวแพ้ง่ายหรือมักมีอาการระคายเคืองบ่อย ๆ จนไม่สามารถโกนหนวดทุกวันได้ ก็อาจเปลี่ยนเป็นสัปดาห์ละครั้งแทนก็ได้นะ เพื่อผิวหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ กระจ่างใส อยู่ตลอดเวลา

Thank : k@pook
.........................................................................................

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

คุณค่าของ...ปลาทู

           ปลาทูไทยนั้นมีสารโอเมก้า 3 อยู่มากและที่สำคัญราคาถูกไม่แพง และทีเด็ดของมันอยู่ที่เนื้อปลาซึ่งเนื้อจะนุ่มหวานอร่อยถูกปากคนไทยเป็นที่สุด ซึ่งในเนื้อปลาทู 100 กรัม นั้นจะมีสารโอเมก้า 3 ประมาณ2-3 กรัม มันเป็นปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายของเรา เพราะร่างกายของเรานั้นมีความต้องการโอเมก้า 3 อยู่ประมาณ 3 กรัม/วัน

          หลายๆ คนนั้นเชื่อกันว่าหากใครทานปลาทูแล้วจะเป็นคนฉลาด อันนี้ต้องยอมรับค่ะว่าได้ผลจริงๆ ไม่ใช่เรื่องโกหกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะการที่เราทานปลาที่มีโอเมก้า 3นั้นมันจะช่วยไปเสริมการเติบโต ช่วยบำรุงสมองให้มีความแข็งแรงและฉลาดมากขึ้นไม่ว่าจะเด็กไปจนถึงผู้สูงอายุที่มีความจำเริ่มเสื่อมไปเรื่อยๆ สำหรับการที่เราทานโอเมก้า 3 นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาเช่นกันเนื่องจากมันจะช่วยให้ร่างกายของเรานั้นแข็งแรง

          อย่างไรก็ตามแต่การที่เราทานโอเมก้า 3 เข้าไปนั้นควรจะรับประทานในปริมาณที่มากพอสมควรมันจึงจะเกิดประโยชน์ได้สูง เพราะฉะนั้นการที่เรารับประทานปลาทูในปริมาณที่พอสมควรก็จะได้รับประโยชน์มาก แต่ถึงแม้ว่าคุณจะทานอาหารเสริมเช่น น้ำมันปลา มันก็จะเกิดผลประโยชน์ได้น้อยกว่าการทานปลา เอาล่ะสำหรับใครที่อยากมีสุขภาพแข็งแรงและฉลาดต้องหันมาทานปลากันแล้ว

          ยังมีปลาอีกหลายชนิดที่ให้โอเมก้า 3

Thank : kappticer.com
.....................................................................................................

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

ระวัง 2 โรคร้ายอันตรายในหน้าร้อน



                         

         พอย่างเข้าเดือนเมษายนทีไรทุกคนคงโฟกัสไปถึงอุณหภูมิที่ร้อนระอุทะลุปรอท และเตรียมเล่นสงกรานต์กันให้ฉ่ำปอด นอกจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นทุกปีเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างที่เรารู้ๆ กันแล้ว ทุกครั้งในหน้าร้อนเรายังได้ยินได้ฟังเรื่องไฟป่าที่แผดเผาจนเกิดหมอกควันซึ่งนำไปสู่อันตรายจากระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ

          นอกจากความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ และหมอกควันแล้ว ร้อนๆ อย่างนี้ ยังมีโรคภัยจากอาหาร และสัตว์เลี้ยง ที่เราจำเป็นต้องเตือนกันให้ระมัดระวังกันทุกปี ลองไปดูว่า ร้อนนี้มีโรคอะไรบ้างที่เราต้องระวัง

          1.โรคจากสัตว์เลี้ยง จริงๆ แล้วโรคจากสัตว์ในช่วงนี้ ต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ เพราะมีรายงานว่าพบโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนจำนวนมากถึง 271 โรค เป็นต้นว่า สัตว์ฟันแทะ 44 โรค การทำปศุสัตว์ 37 โรค โรคจากแมว 34 โรค ลิง 27 โรค สัตว์เลื้อยคลานและปลา 20 โรค กระต่าย 17 โรค และนก 15 โรค นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ยังมีรายงานว่ามีโรคอุบัติใหม่อย่าง 'พยาธิ หนอนหัวใจ' ที่ติดจากยุงมากัดสุนัข และพบว่า โรคนี้อาจเป็นภัยคุกคามคนเมืองได้เนื่องจากมีรายงานในต่างประเทศว่ามีการติดต่อจากสุนัขมาสู่คนได้ด้วย

          ที่สำคัญยังพบโรคจากสัตว์เลี้ยงแสนรักมากถึง 47 โรค โดยเฉพาะร้อนๆ แบบนี้ ต้องระวังพิษสุนัขบ้า ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่อันตรายร้ายแรง

           โรคพิษสุนัขบ้า หรือ "โรคกลัวน้ำ" (Hydrophobia) เกิดจากผู้ที่มีบาดแผลถูกสัตว์เลี้ยงที่มีเชื้อ "เลีย" หรือถูก "กัด" เมื่อได้รับเชื้อแล้ว ผู้ป่วยที่มีอาการจะต้องเสียชีวิตทุกราย ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโลกนี้ไม่ต่ำกว่า 55,000 รายต่อปี ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) ประชาคมอาเซียนมีเป้าหมายร่วมกันจะกำจัดโรคนี้ให้หมดไปจากอาเซียน ภายในปี ค.ศ.2020 หรือ พ.ศ.2563

          สำหรับประเทศไทย มีผู้สัมผัสโรคได้รับการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าไม่ต่ำกว่าปีละ 5 แสนราย แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ทุกปี จากรายงานสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้า ระหว่างปี พ.ศ.2551-2555 พบผู้เสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าว 9, 24, 15, 8 และ 4 รายตามลำดับ ในปี พ.ศ.2556 ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย

          ส่วนผู้ที่ถูกสุนัขกัดและไปรับวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้านั้น พบว่าส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี 33.17% ของผู้มารับการฉีดวัคซีน) และมักถูกลูกสุนัขกัด ดังนั้นในช่วงฤดูร้อนนี้ ผู้ปกครองต้องระวังบุตรหลานอย่าเข้าใกล้สุนัข ที่ตนเองไม่ได้เลี้ยง แม้จะเป็นลูกสุนัขที่น่ารักหรือไม่ดุก็ตาม อย่าปล่อยให้เด็กอยู่กับสุนัขตามลำพัง เพราะหากสุนัขที่มีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ามาข่วน ขบ กัด แค่เพียงเป็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ก็สามารถติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้ ที่สำคัญระลึกไว้เสมอว่า "โรคนี้เป็นแล้วตายไม่มียารักษา"

           อย่างไรก็ตามหากถูกสุนัขกัด ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง เช็ดให้แห้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อโรค เช่น เบตาดีน แล้วรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ และควรกักขังหรือติดตามดูอาการสุนัข 10 วัน (ถ้าเป็นสุนัขบ้าจะตายภายใน 10 วันหลังแสดงอาการ) นอกจากสุนัขแล้ว แมวก็เป็นสัตว์เลี้ยงอีกชนิดหนึ่งที่สามารถแพร่เชื้อพิษสุนัขบ้าสู่คนได้

           นอกจาก พิษสุนัขบ้า โรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่ควรมีการเฝ้าระวังในปี 2556 คือ โรคโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ 2012 ที่ระบาดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โรคไข้หวัดนก โรคคอตีบ ซึ่งประเทศไทยหายไปแล้วราว 20 ปี แต่กลับมาพบอีกครั้ง

          2. โรคจากอาหารและน้ำ ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคบิด อหิวาตกโรค และไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย และโรคตับอักเสบจากไวรัสทางเดินอาหารชนิดเอ จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค โรคติดต่อทางอาหารและน้ำเป็นโรคที่พบบ่อย โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน

          ในช่วงเกือบ 2 เดือนแรกของปี 2556 นี้ มีรายงานผู้ป่วยทั้ง 6 โรค รวม 146,452 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต โรคที่พบมากอันดับ 1 ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง 128,855 ราย ผู้ป่วยร้อยละ 28 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป รองลงมาคือ โรคอาหารเป็นพิษ 15,965 ราย โรคบิด 1,197 ราย และโรคตับอักเสบจากไวรัสทางเดินอาหารชนิดเอ จำนวน 43 ราย ส่วนโรคอหิวาตกโรค ยังไม่มีรายงานผู้ป่วย

          แนวทางป้องกันที่สำคัญ คือควรล้างมือทุกครั้งก่อนทานอาหารและหลังออกจากห้องน้ำ แยกอาหารสดออกจากอาหารที่ปรุงสุกแล้วเสมอ ควรปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง หากผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ ไม่ควรกินยาเพื่อให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคคั่งค้างในร่างกาย จะเป็นอันตรายรุนแรงขึ้น

          ขอให้ดื่มน้ำหรือทานอาหารเหลวมากๆ และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือโออาร์เอสแทนน้ำ โดยใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ 1 ซอง ผสมกับน้ำต้มสุกเย็น 1 แก้ว ประมาณ 250 ซีซี หากไม่มีผงเกลือแร่สำเร็จ สามารถปรุงเองได้ โดยใช้น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายกับน้ำต้มสุกเย็น 1 ขวดน้ำปลากลม ประมาณ 750 ซีซี ให้ผู้ป่วยดื่มบ่อยๆ เพื่อทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่ หลังดื่มแล้วอาการของผู้ป่วยจะดีขึ้น แต่หากยังไม่หยุดถ่ายและมีอาการมากขึ้น เช่น อาเจียนมากขึ้น อุจจาระมีกลิ่นเหม็นเน่าคล้ายหัวกุ้งเน่า ปวดบิด มีไข้สูงขึ้นหรือชัก ควรพาไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้เสียชีวิตได้

          ร้อนนี้ หากใครมีโรคประจำตัว นอกจากจะต้องใส่ใจแล้ว อาหารและสัตว์เลี้ยงยังเป็นอีกสองอย่างที่ต้องระมัดระวัง

Thank : ประชาชาติธุรกิจ
..................................................................................................

5 วิธีคลายร้อนแบบง่ายๆ สบายๆ

          ข้อแรกขอของกินก่อนเลยอิอิ จัดไปครับ  ผลไม้จำพวกแตงๆ  แตงโม แตงไทย แคนตาลูป  ผลไม้เหล่านี้  มีส่วนประกอบของน้ำสูงถึง 95% จึงสามารถทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไปเนื่องจากอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอุดมด้วยโปแตสเซียม
่          2. อาบน้ำและทาด้วยแป้งเย็น อากาศร้อนแบบนี้ทำให้เกิดผด ผืน ได้ง่าย เพราะฉนั้นชำระล้างร่างกายเพื่อให้ร่างกายสดชื่นและเพิ่มความเย็นสุดขั้วด้วยแป้งเย็น ก็คลายร้อนได้มากทีเดียว

          3. เปิดพัดลมแรงๆ หรือใครมีแอร์ก็จัดไปโล้ด เปิดแอร์ตอนกลางวันที่บ้านค่าไฟก็แพงแสนแพง  เอางี้..แนะนำไปเดินห้างดีกว่า ไม่ได้เสียค่าไฟ ไปนั่งอ่านหนังสือชิวๆ ในร้านฟาสฟู้ดก็ดีเหมือนกัน
          4. ไอศครีม จัดไปทั้งแบบแทง แบบตัก ความเย็นชื่นใจของเจ้าไอติมจะช่วยให้เพื่อนๆสดชื่นขึ้นได้
          5. ใส่เสื้อผ้า สบายๆ ชิวๆ แขนยาว ขายาวเก็บเข้าตู้ไปก่อน เพราะอากาศร้อนๆใส่แบบนั้นมันจะเพิ่มความร้อนเอาได้  เน้นเสื้อผ้าสีอ่อนๆ เพราะเสื้อผ้าสีเข้มจะทำให้เรารู้สึกร้อนยิ่งขึ้น
..........................................................................................

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

ข้อคิดดี ๆ ของ นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร เด็กขี้ขโมย


             เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกแชร์ ถูกส่งต่อกันอย่างมากมายในสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องราวของคุณหมอคนหนึ่ง ที่ผ่าตัดเนื้อร้ายให้กับหญิงคนหนึ่ง โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว... ซึ่งคุณหมอคนดังกล่าว มีชื่อว่า "นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร" แต่ถึงแม้ว่า จะไม่ทราบว่าผู้บอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นใคร และเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ส่วนนายแพทย์เดชา ทองวิจิตร นั้น จะเป็นเพียงตัวละคร หรือเป็นนายแพทย์ที่มีตัวตนจริง ๆ แต่เรื่องราวดี ๆ เรื่องนี้ ก็ทำให้คนที่ได้อ่านรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก แถมได้ข้อคิดหลายอย่างเลยทีเดียว...ลองไปอ่านเรื่องราวของ นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร กันเลย...

            "ลูก อาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่น ๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"

            เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อ เนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า "อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"

            "ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันล่ะ"

            ป้า คนนั้นชื่อว่า "ป้าหนอม" เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

            เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉัน ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือแม่จึงเดินเข้าไปถาม

            "พี่หนอม มีไรเหรอคะ"

            "ก็ ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมาทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย" พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

            "ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ" แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

            "เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินแหละ"

            ฉัน สะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อย ๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า "อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินน่ะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันล่ะ"

            ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่ "ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"

            แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า "ทำไมหนูขโมยของป้าเขาล่ะ" เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

            "แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..." แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุง หนึ่ง แล้วบอกว่า "ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพร เปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิ คนป่วยต้องกินผลไม้มาก ๆ จะได้หายไว ๆ รู้ไหม" แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม

            เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที "ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยล่ะ รู้จักกันเหรอจ้ะ" แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า "ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่คงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"

            "แต่ นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่" ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า "แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่า ๆ กับลูกจะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริง ๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"

            ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า "แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"

            "ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"

            "แล้วแม่ไม่เสียดายเงินเหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"

            "ถึง แม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้วไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"

            แล้ว แม่ก็พูดต่ออีกว่า "จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น.. แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริง ๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"

            แล้วแม่ก็พูดต่อว่า "ลูก อาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่น ๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทองตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"

            หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่น ๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริง ๆ

            หลัง จากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณสามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจาก ทำงานหนักมาเกือบ 20 ปี เพื่อส่งฉันเรียนแม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

            ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้นช่วงแรก ๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อย ๆ

            ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมาก ๆ จะได้หายเร็ว ๆ

            หลัง จากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้นแต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

            หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอก ในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้นฉันก็ตกลง

            หลัง จากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้วแม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอกทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูด ของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้หมอบอกให้ทำใจไว้ บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมากโอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตามอีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่า ตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาทเมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราว ๆ ห้าแสนบาท

            ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

            หลัง การผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ ทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

            ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับ ฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่า หลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยว กับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

            เมื่อ กลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

            ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

            ค่าผ่าตัด 0 บาท
            ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
            ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
            รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
            ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง
ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนาน ๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร
Thank : k@pook
...............................................................................................