เป็นที่ทราบกันดีว่า วิตามิน ถือเป็นสารอาหารสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์และแข็งแรง ปัจจุบันวิตามินในรูปแบบอาหารเสริมทั้งหลาย จึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่อะไรที่ได้มากเกินไป แทนที่จะส่งผลดี ก็กลับส่งผลเสียทำคุณป่วยได้ง่ายๆ
มาดูกันว่าวิตามิน (Vitamin) ยอดฮิต ที่คุณๆ นิยมซื้อหามารับประทานกันน่ะ หากได้รับมากเกินไป จะส่งผลเสียอย่างไรได้บ้าง
วิตามินอี
สาวเราหลายคนนิยมทานวิตามินอี (Vitamin E) กันนัก เพราะขึ้นชื่อในเรื่องช่วยให้ผิวพรรณสวยใส เปล่งปลั่ง แถมคุณหนุ่มๆ ก็ยังเคยปลื้มกันนัก เนื่องจากเคยมีงานวิจัยจากประเทศฟินแลนด์ระบุว่า การรับประทานวิตามินอีเป็นอาหารเสริมทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้
ทั้งนี้วิตามินอีมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย พบมากในอาหารเช่น บรอกโคลี, ข้าวสาลี, เมล็ดทานตะวัน, ถั่ว, ธัญพืช ฯลฯ ซึ่งการได้รับวิตามินอีมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ, อ่อนเพลีย, ตาพร่ามัว, แน่นท้อง, ท้องร่วง และถ้าร่างกายมีวิตามินอีสูงมาก ก็อาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเออีกด้วย
ดร. Eric Klein แห่งสถานพยาบาลคลีฟแลนด์ระบุว่า “คนมักคิดว่า วิตามินเป็นของที่ไม่อันตราย แม้กินมากก็ไม่ได้ส่งผลเสีย แต่ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หากเรารับประทานอาหารครบ 5 หมู่อย่างสม่ำเสมอแล้ว การกินวิตามินเสริมก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ซ้ำร้ายยิ่งกินมาก ก็อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้”
วิตามินเอ
วิตามินเอ (Vitamin A) ขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์ช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา ทั้งยังมีส่วนช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้เบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) ซึ่งเป็นสารอาหารที่พบในพืช (และจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย) ยังทำหน้าที่เป็นเสมือนสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย
ทว่าการได้รับเบต้าแคโรทีนมากเกินควร กลับส่งผลตรงข้าม เพราะจากการศึกษาใช้เบต้าแคโรทีน เพื่อป้องกันโรคมะเร็งปอด โดยให้ตำรวจจราจรในหลายประเทศ รับประทานเบต้าแคโรทีนชนิดเม็ดเป็นอาหารเสริม ผลการวิจัยพบว่า แทนที่จะเป็นการลด แต่กลับกลายเป็นการเพิ่มอัตราการเกิดโรคมะเร็งปอดให้มากขึ้น
ทั้งนี้เพราะสารเบต้าแคโรทีนคือ สารต้านอนุมูลอิสระ (Ani-Oxdant) ที่เมื่อร่างกายได้รับมากเกินความต้องการจะหันไปทำหน้าที่ตรงกันข้าม นั่นคือ กลายเป็น “Pro Oxidant” หรือสารที่ส่งเสริมให้เกิดอนุมูลอิสระ (ตามเหตุผลทางชีวเคมี)
Gerard Mullin ผู้อำนวยการ ด้านโภชนาการอาหารแบบบูรณาการ ยังระบุด้วยว่า การได้รับวิตามินเอมากเกินไป เช่น กินวิตามินเอที่เป็นอาหารเสริมชนิดเม็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรับประทานวิตามินเอชนิดเม็ด ร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol) จะมีส่วนทำให้เกิดพังผืดในตับได้
“คนจำนวนมากไม่ทราบว่าการได้รับวิตามินเอมากเกินไปสามารถเกิดอันตรายได้”
แต่คุณๆ คงไม่ต้องกังวลถึงขั้นเลิกทานอาหารที่เปี่ยมเบต้าแคโรทีนหรอกนะคะ เพราะการได้รับเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของอาหารธรรมชาติ เช่น ได้จากแครอท, ฟักทอง, ตำลึง หรือมะละกอสุก นั้นเป็นไปได้ยากที่ร่างกายจะได้รับเบต้าแคโรทีนมากเกินควร (เพราะต้องทานในปริมาณมากจริงๆ ซึ่งคุณคงอิ่มเสียก่อน) แต่การได้รับเบต้าแคโรทีนจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนี่สิ น่าเป็นห่วง เพราะแค่เม็ดเดียวก็มีเบต้าแคโรทีนเพียบแล้ว
วิตามินซี
วิตามินซี (Vitamin C) มีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย, ป้องกันอนุมูลอิสระ, ต่อต้านโรคหัวใจ, ช่วยให้สุขภาพเหงือกแข็งแรง ทั้งยังโด่งดังเรื่องบรรเทาอาการหวัด โดยการศึกษาเมื่อปีคศ. 1995 พบว่า หากรับประทานวิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายหวัดได้เร็วขึ้น 21% (แต่ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซีสามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้)
วิตามินซีมีข้อดีคือ สามารถละลายน้ำได้ นั่นหมายความว่า หากคุณรับประทานวิตามินซีมากเกินไป ร่างกายของคุณก็จะขับวิตามินซี ที่เป็นส่วนเกินออกมาได้ โดยไม่เป็นอันตราย
แต่อย่างไรก็ตาม Gerard Mullin บอกว่า “การได้รับปริมาณวิตามินซีมากเกินไป..มากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวันต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน สามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้”
นอกจากนี้หากรับประทานวิตามินซีมากเกิน 1,000 มิลลิกรัม ยังอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย และหากทานตอนท้องว่างก็อาจเกิดการระคายเคืองในทางเดินอาหาร เนื่องจากความเป็นกรดของวิตามินซี ทั้งยังอาจเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือถึงขั้น คลื่นไส้ อาเจียน ได้ด้วย
ด้าน Dee Sandquist นักโภชนาการ และโฆษกสมาคมนักโภชนาการ แห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวสรุปถึงเรื่องการรับประทานวิตามินว่า การรับประทานวิตามินโดยเฉพาะที่เป็นอาหารเสริมมากเกินไป มีแนวโน้มที่ร่างกายจะเสียสมดุล จนอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ หรือ ท้องร่วง ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ การรับประทานอย่างมีสติ เลือกที่จะทานวิตามินจากอาหารสดที่มาจากธรรมชาติ
“หากคุณรู้จักเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมครบ 5 หมู่ อย่างสม่ำเสมอแล้ว คุณก็ไม่ต้องกังวลที่จะหาวิตามินเสริมมารับประทานแล้ว เว้นแต่แพทย์จะแนะนำ คุณค่อยหามารับประทาน”
Thank : manager online
.............................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น