tororichclub

tororichclub

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ถ้าน้ำในร่างกายไม่สมดุล...

น้ำในร่างกายไม่สมดุล ภาวะเจ็บป่วยที่ป้องกันได้
           การเจ็บป่วยไม่สบายที่เกิดขึ้นกับตัวเรา  บางครั้งหลายคนมักคิดว่าตัวเองทำงานหนักเกินไปหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ  กินยาเดี๋ยวก็หาย   แต่จริงแล้วอาการผิดปกติต่างๆ  อาจเป็นเพราะ  น้ำในร่างกายไม่สมดุลจึงทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเกิดการแปรปรวน  ยิงอากาศร้อนๆ ด้วยแล้วยิ่งต้องดูแลสุขภาพให้ดี   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะทราบได้อย่างไรว่าร่างกายของเราเกิดภาวะน้ำในร่างกายไม่สมดุล

           แพทย์หญิงจิตเข   เทพชาตรี   แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย  ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยโรงพยาบาลกรุงเทพ  ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า  ร่างกายของเราเกิดจากการรวมตัวกันของเซลล์จนมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นเนื้อเยื่อ  อวัยวะ  และระบบต่างๆ ซึ่งภายในเซลล์เล็กเหล่านั้นก็คือ “น้ำ” นั่นเอง  แต่ไม่ใช่แค่เซลล์เท่านั้นที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ เลือด น้ำเหลือง น้ำย่อย  ของเหลวในลูกตา  สมอง  ไขสันหลัง  เยื่อหุ้มปอด  หัวใจ ฯลฯ  หรือที่เรียกรวมกันว่าของเหลวนอกเซลล์ก็มีน้ำอยู่เช่นเดียวกัน  ดังนั้นน้ำจึงเป็นส่วนประกอบหลักในร่างกายของเรา

           น้ำภายในและนอกเซลล์นั้นมี  “อิเล็กโทรไลต์”  หรือเรียกว่า  “เกลือแร่”  เช่น โซเดียม  โพแทสเซียม  แคลเซียม  แมกนีเซียม  คลอไรด์  ฟอสเฟต  และไบคาร์บอเนต  ละลายปนอยู่ด้วยน้ำจึงมีความเข้มข้น  ซึ่งอิเล็กโทรไลต์ทุกตัวมีความสำคัญในการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย เช่น โซเดียม  โดยแพทย์มักให้คนไข้โรคหัวใจหรือโรคไต  จำกัดปริมาณเกลือที่ได้รับในแต่ละวันก็เพื่อเป็นการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย  โดยปกติแล้วโซเดียมเป็นส่วนประกอบของเซลล์นอกเซลล์   น้ำจากร่างกายจะไหลจากด้านที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายใน  โดยไม่ทำให้ปริมาณของอิเล็กโทรไลต์เปลี่ยนแปลง 

           ร่างกายมีกลไกควบคุมปริมาณน้ำ เช่น เมื่อเริ่มขนาดน้ำ  ความเข้มข้นของของเหลวนอกเซลล์เริ่มสูงขึ้น  ร่างกายจะส่งสัญญาณไปกระตุ้นสมองให้เกิดความกระหายน้ำขึ้น  หากเราไม่ได้ดื่มน้ำหรือดื่มไม่เพียงพอ   ร่างกายจะมีการควบคุมของเสียน้ำผ่านฮอร์โมนหลัก 2 ตัว  คือ  ฮอร์โมนแอนไทไดยูเรติกและแอลโดสเทอโรนส่งสัญญาณไปบอกไตให้เก็บกักน้ำและโซเดียมมากขึ้น  ปัสสาวะจึงมีปริมาณน้อยลงและมีสีเหลืองเข้มหรือหรือในทางตรงกันข้ามหากร่างกายมีปริมาณน้ำมากเกินจะมีการกระตุ้นดังกล่าวทำให้มีการขับน้ำออก  จนเข้าสู่ภาวะสมดุลปริมาณปัสสาวะจึงมากและมีสีจาง  การทีร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่ารักเข้าเรียกว่า “ภาวะขาด”  แต่ถ้า ได้รับน้ำมากเกินเรียกว่า “ภาวะน้ำเกิน”  ทั้งสองภาวะจะแสดงอาการต่างๆ  ออกมาดังนี้  หากเป็นภาวะขาดน้ำจะส่งสัญญาณผ่านทางอาการไม่สบายต่างๆ ดังนี้

           1.  ปวดศีรษะเพราะเมื่อขาดน้ำ  เลือดจะหนืดข้นขึ้นปริมาตรเลือดทั้งร่างกายจึงลดลง  หัวใจเลยต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ โดยเพิ่มอัตราการบีบตัวและกระตุ้นเส้นเลือดให้หดตัว  เส้นประสาทที่พันรอบเส้นเลือดจึงถูกบีบส่งผลให้อาการปวด   แต่ที่ไม่ปวดบริเวณอื่นเพราะศรีษะมีเส้นประสาทจำนวนมากจึงไวต่อความรู้สึกมากกว่าส่วนอื่น
           2.  หงุดหงิด  ง่วงซึม ไม่มีแรวง  เบลอ  เนื่องจากการที่เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองและกล้ามเนื้อไม่เพียงพอเพราะปริมาตรของเลือดลดลงเมื่อขนาดน้ำ
           3.  แผลร้อนใน  เวลาที่ร่างกายขาดน้ำ  อุณหภูมิภายในจะเพิ่มสูงขึ้น  เนื้อเยื่อภายในช่องปากเลยได้รับผลกระทบ  คล้ายกับผิวหนังโดนน้ำร้อนลวกจนบวมแดง  พองเป็นถุงน้ำใสและแตกเป็นแผลในที่สุด
           4.  ท้องผูก  เมื่อปริมาณน้ำในระบบเลือดลดลง  ร่างกายจะดึงน้ำจากทุกระบบรวมทั้งบริเวณปลายลำไส้ใหญ่มาหล่อเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย  เช่น ตับ ไต และสมอง ดังนั้นจึงทำให้ท้องผูก
           5.  ผิวหนังแห้งกร้าน  เพราะถูกดึงน้ำออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนสำคัญกว่าจึงทำให้ท้องผูก
           6.  ความดันเลือดต่ำ  เนื่องจากแรงดันระบบไหลเวียนโลหิตลดลงเมื่อขาดน้ำจึงทำให้รู้สึกหน้ามืด  อ่อนเพลีย  วิงเวียน
           7.  ตากลวงลึกและดำคล้ำ  เพราะรอบดวงตาโดยเฉพาะใต้ตาของเรามีของเหลวบรรจุอยู่  เมื่อรางกายเสียน้ำไปมาก  บริเวณดังกล่าวจึงโดนดึงน้ำออกไปทำให้ตาโหลและมีรอยซ้ำ
           8.  ปากแห้ง  เพราะร่างกายหยุดผลิตน้ำลาย  ส่งผลให้กลืนอาหารลำบากและกระเพาะต้องรับภาวะหนักขึ้นเพราะขาดเอนไซม์ในน้ำลายช่วยย่อยอาหารจำพวกไขมัน  แป้งและน้ำตาล

           อย่างไรก็ตามภาวะขาดน้ำอย่างเดียวไม่อันตรายถึงตาย  เพราะร่างกายบังคับให้เราดื่มน้ำโดยอัตโนมัติผ่านทางความรู้สึกกระหายน้ำหรือกักเก็บน้ำจากอาหารที่รับประทานเข้าไป  แต่หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่ขาดน้ำต่อไปเรื่อยๆ อาการดังกล่าวในข้างต้นจะส่งผลต่อสุขภาพอาจเจ็บไข้ได้ป่วย

           ส่วนภาวะน้ำเกินเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีอาการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ออกไป  หากเราทดแทนแต่น้ำไม่มีการทดแทนเกลือแร่จะทำให้เกิดความไม่สมดุลขึ้น  โดยการดื่มน้ำเปล่าเข้าไปจะยิ่งทำให้ระบบในร่างกายทำงานขัดข้อง  เนื่องจากดื่มน้ำเข้าไปจำนวนมาก  ของเหลวนอกเซลล์จะมีความเข้มข้นน้อยกว่าของเหลวภายในเซลล์จนเกิดภาวะเซลล์บวมขึ้น  ซึ่งเซลล์สมองเป็นเซลล์ที่มีความไวต่อการถูกกระตุ้นจึงแสดงอาการออกมา  คือเวียนศีรษะ สับสน กระสับกระส่าย และง่วงซึม  หากยังไม่หยุดดื่มน้ำอาการจะรุนแรงขึ้นถึงขั้นหมดสติ  ระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลวและตายในที่สุด  หรือเรียกอีกชื่อว่า “ภาวะน้ำเป็นพิษ”   แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย  เพราะไตสามารถจัดการน้ำที่เราดื่มเข้าไปได้มากถึง 10-15 ลิตรต่อวัน  โดยจะดูดซึมแร่ธาตุที่มีประโยชน์กลับสู่ร่างกายและขับถ่ายของเสียออกจากปัสสาวะ  ดังนั้นภาวะน้ำเป็นพิษจึงไม่อันตรายหากมีการชดเชยเกลือแร่ควบคู่ไปกับการดื่มน้ำเวลาท้องเสีย อาเจียน  หรือเสียเหงื่อมากๆ

           ดังนั้น  วิธีดื่มน้ำที่ถูกต้องและได้ประโยชน์สูงสุด  คือ  ค่อยๆ จิบไปตลอดทั้งวัน  การดื่มรวดเดียวทีละมากๆ ก็เหมือนกับการเทน้ำทิ้งลงท่อเพราะร่างกายยังไม่ทันดูดซึมก็ถูกกำจัดทิ้งไปพร้อมปัสสาวะแล้ว  สำหรับเกลือแร่หากรับประทานครบ 5 หมู่  จะได้เกลือแร่ที่สำคัญครบถ้วน  แต่ถ้าหากเสียเหงื่อมาก  อาเจียนและท้องร่วงควรเสริมเกลือแร่เพื่อปรับของเหลวในร่างกายให้สมดุล  สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายปกติควรดื่มน้ำเปล่า 1 – 2  แก้ว  ก่อนออกกำลังกายครึ่งชั่วโมงถึงสองชั่วโมง  แต่หากมีการเสียเหงื่อมาก เช่น วิ่งมาราธอนหรือโยคะร้อนจำเป็นที่ต้องทดแทนเกลือแร่เข้าไปด้วยหรือวิธีสังเกตง่ายๆ ว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอหรือไม่  ให้ดูปัสสาวะ  หากมีสีจางใสและมีปริมาณมากแสดงว่าของเหลวในร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลแล้ว

Thank : จุลสารก๊าซไลน์
...............................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น