สังคมไทยสมัยก่อน คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสงบสุข ต่างคนต่างมีอาชีพและตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินกันอย่างเต็มที่ มองกันด้วยแววตาและมีทัศนคติที่ดีต่อกัน อยู่กันอย่างรักใคร่กลมเกลียว แต่พอโลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สังคมเริ่มมีความเป็นทุนนิยมมากขึ้น คนเริ่มเยอะขึ้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันไป ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเริ่มมีช่องว่างให้เห็นกันมากขึ้นตามกาลเวลา ทำให้มุมมอง ความคิด และทัศนคติที่มีต่ออีกอาชีพหนึ่งเริ่มเปลี่ยนไปในเชิงลบ
ที่เห็นได้ชัดๆ คืออาชีพพ่อค้าที่มักถูกมองว่าเอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เอาแต่ผลประโยชน์ ในขณะที่หลายอาชีพลำบากยากจน หรืออาชีพนักการเมืองที่มักถูกมองว่าชอบทำอะไรงุบงิบ ไม่โปร่งใส และคอร์รัปชั่น หรือแม้แต่กระทั่งอาชีพตำรวจก็มักถูกมองว่าใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่มิถูกมิควร เป็นต้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีของคนส่วนน้อยที่มีอยู่ทุกอาชีพในสังคม
เท่าที่เคยประสบมา แนวคิดนี้ในประเทศที่เจริญแล้วไม่ได้แตกต่างกันขนาดนี้ อาจเป็นเพราะว่าบ้านเขาไม่ได้มีการแบ่งชนชั้น เช่น ประเทศออสเตรเลีย คนขับรถเมล์ประจำทางกับนายแบงก์มีรายได้ไม่แตกต่างกัน เขาถือว่ามีศักดิ์ศรีในสังคมไม่ด้อยไปกว่ากัน ไม่ได้ให้ความสำคัญและให้คุณค่าที่วัตถุสิ่งของภายนอก หรือใบปริญญา พอจบมัธยมก็ไปขับรถเมล์แล้ว เพราะได้เงินพอๆ กับคนที่เรียนจบปริญญาแล้วไปนั่งทำงานที่แบงก์
ในขณะที่บ้านเราให้คุณค่ากับปริญญา เงิน และวัตถุสิ่งของภายนอกเสียส่วนมาก เลยทำให้เกิดชนชั้นในสังคม ดั่งจะเห็นได้จากคำเรียกแทนชื่อ เช่น ผู้ใหญ่-ผู้น้อย คนรวย-คนจน คนมีการศึกษา-คนไร้การศึกษา ฯลฯ ด้วยช่องว่างทางสังคมที่ห่างกันมาก คนมักจะตั้งแง่มองไม่ดีกันไว้ก่อน ชอบคิดและวาดภาพไปเองก่อนว่า ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และตัดสินไปก่อนว่าคนนั้นทำผิด ทำให้เขาตกเป็นจำเลยของสังคม ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริง
ที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา มีทั้งมุมคนไม่ผิดแล้วสังคมตัดสินว่าผิดไปก่อน แต่พอมาตรวจสอบข้อเท็จจริงภายหลังแล้วพบว่าเขาบริสุทธิ์ กับมุมที่สังคมตัดสินว่าผิดไปก่อน แล้วเขาก็ผิดจริง แต่ไม่ว่าจะมุมไหน การคิดเชิงลบไปก่อนแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการลงโทษเขาไปแล้ว เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด กรณีลูกชายคนสุดท้องของเจ้าสัวกระทิงแดงขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ผมเองไม่ได้รู้จักทั้งสองฝ่าย เท่าที่เห็นสังคมตัดสินเขาไปก่อนที่จะรู้ข้อเท็จจริงแล้วเช่นกัน
ความคิดดังกล่าว เป็นความคิดเดิมๆ ที่กลายเป็นกรอบแนวคิดในการใช้ชีวิตร่วมกันในสมัยนี้ ทำให้ทุกคนอยู่ในท่ามกลางบรรยากาศที่หวาดระแวง ไม่ไว้ใจกัน ไม่มีความสุข และอาจตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่ประสงค์ดียุแหย่ให้เกิดความแตกแยกกันได้ง่าย แล้วสังคมจะสงบสุข และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง จะดีกว่าไหม? ถ้าเรามาช่วยกันลดช่องว่างของสังคมให้แคบลง ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด และทัศนคติ เผื่อว่าเมืองไทยของเราจะได้น่าอยู่กันมากขึ้น
Thank : http://www.komchadluek.net/detail/20120912/139827/เกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย.html
.................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น