tororichclub

tororichclub

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ก็แค่ขนมปังปิ้ง ทำไมถึงได้ฮิตกันนักหนา !!??

THAI TOAST TREND ก็แค่ขนมปังปิ้ง ทำไมถึงได้ฮิตกันนักหนา !!??
          ช่วงปีที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารที่กำลังอินเทรนด์สุดๆ มีขนมหวานแบบหนึ่งซึ่งมาแรงสุดๆ คือขนมปังอบราดน้ำผึ้งเคียงกับไอศกรีม และวิปครีม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Honey Toast

          ร้านที่นำเทรนด์นี้ออกขายและกลายเป็นที่นิยมเจ้าแรกๆ คือร้าน After You เป็นร้านที่กล้ามากขนาดที่ขายขนมแบบนี้แบบเดียว แต่ก็คิวยาวเหยียด ลูกค้านั่งกันแน่นร้านทั้งวัน กระแสความนิยมพุ่งสูงจน After You ต้องเปิดสาขาใหม่เพิ่มอย่างรวดเร็ว จนหาทำเลกันแทบไม่ทัน

           ในขณะที่ร้านกาแฟ ร้านขนม ร้านขนมปัง และร้านอาหารอื่นๆ ต่างก็รีบขยับตัวตามเทรนด์นี้กันอย่างเร่งด่วน โดยเพิ่มเมนูขนม Toast แบบนี้กันถ้วนหน้า และผมขอเรียกการเกิดเป็นปรากฏการณ์ของขนมหวานแบบนี้ว่า Thai Toast Trend

          หากจะย้อนถึงกำเนิดของตัวสินค้าหลัก Honey Toast นั้น แน่นอนว่าวัฒนธรรมการกินขนมปัง ครีม และไอศกรีม เกิดจากชาติตะวันตก แต่ศิลปะในการ Mix & Match แบบราดน้ำผึ้ง ใส่วิปครีมและไอศกรีมในรูปแบบนี้ กลับเริ่มฮิตมากมาจากญี่ปุ่น ในชื่อว่า Shibuya Honey Toast จากนั้นก็เข้ามาในไทยโดยมีร้านแรกๆ คือ After You ที่สาวเจ้าของร้านไปเที่ยวแล้วได้ลองกินจนเกิดแรงบันดาลใจมาเปิดร้านในไทยบ้างเมื่อราว 2 ปีที่แล้ว

GM วิเคราะห์ปัจจัยทางการตลาดที่อยู่เบื้องหลังกระแสนี้

 >  ข้อแรกน่าจะเป็น เทรนด์การเดินห้างกันมากขึ้นและมากขึ้น
          โดยระบบห้างในไทยได้ขยายและปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ทันสมัยอย่างสม่ำเสมอ เพราะกลัวคนเดินจะเบื่อ ตอนนี้เรามีกระแส Community Mall หรือศูนย์การค้าขนาดกะทัดรัดใกล้บ้าน เรียกว่ามีคุณสมบัติ ‘เล็ก หรู ดูดี ใกล้บ้าน’ อาจจะไม่ต้องเป็นห้างฯ หรือศูนย์ฯ ที่ชื่อดังมาก่อน แต่สามารถสร้างขึ้นใหม่ กระจายตัวออกไปตามชานเมือง เพื่อให้ใกล้กับแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ที่อยู่ไกลออกไป และดักลูกค้าที่ไม่อยากจะขับรถไกลๆ เพื่อเข้ามาเดินห้างกลางเมือง

          เทรนด์ห้างแบบใหม่นั้นทำให้เกิดพื้นที่ใหม่ๆ ที่เหมาะกับร้านอาหารระดับ B ขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเครือข่ายแบรนด์ดังอย่าง MK, Fuji, Starbucks ร้านอาหารใหม่เกิดขึ้นง่ายกว่า มีลูกค้าสนับสนุนที่คุ้นเคยเพราะใกล้บ้าน ราคาถูกกว่า รสชาติถูกปากกว่า จากเดิมที่ร้านเหล่านี้ยากจะเกิดขึ้นได้ เพราะไม่สามารถแทรกตัวไปชิงพื้นที่จากร้านดังๆ ในห้างใหญ่ๆ ได้เลย


          ในกรณีของร้าน After You ก็มีจุดเริ่มต้นเช่นนี้ After You จุดกระแส Honey Toast ได้สำเร็จตั้งแต่เปิดสาขาแรกอยู่ในบริเวณของ J-Avenue Community Mall เล็กๆ ในซอยทองหล่อ แล้วต่อมาก็สานต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดสาขาสองไว้ที่ La Villa ซึ่งเป็น Community Mall เล็กๆ ติดสถานีรถไฟฟ้า ตรงข้ามซอยอารีย์

         การที่ร้านได้เปิดเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคระดับ B ขึ้นไปในห้างหรือศูนย์การค้าแบบใหม่เหล่านี้ ทำให้แม้ราคามื้อขนมจะไปถึงหลักร้อย แต่ลูกค้าก็ยังยินดีจ่ายและยินดีเข้าคิวรอ

>  ปัจจัยความสำเร็จประการที่สอง
          มาจากลักษณะของกลุ่มลูกค้าที่เป็นฐานสำคัญ ขนมแบบนี้มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนหนุ่มสาวและวัยรุ่น ซึ่งชอบทดลองของใหม่ ชอบการ Mix & Match เมนูอาหาร ขนมใหม่ๆ และพร้อมเปิดรับร้านขนม ร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ ต่างจากกลุ่มที่อายุมากกว่านี้แบบวัยทำงาน วัยกลางคนขึ้นไป หรือกลุ่มลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัวใหญ่ เหมือนกับลูกค้าร้านสุกี้หรืออาหารญี่ปุ่น ที่มักจะเลือกร้านที่ไว้ใจและคุ้นเคยมานานมากกว่า

>  ปัจจัยความสำเร็จประการที่สาม
          มาจากรูปแบบการตลาดแบบใหม่ล่าสุด ที่เกิดจากเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว คนหนุ่มสาวและเด็กวัยรุ่นในปัจจุบัน นอกจากจะมาอุดหนุนอาหารหรือขนมในร้านแล้ว ยังใช้โซเชียลมีเดียต่างๆ ในการบอกต่อให้กับเพื่อนๆ พวกเขาต้องยกมือถือมาถ่ายภาพแล้วแชร์ขึ้น Facebook, Instagram, Twitter ให้เพื่อนๆ มา Comment มา Like ก่อน  แล้วถึงจะกินได้อย่างสบายใจ

          นั่นทำให้ร้านใหม่ๆ ที่ Mix & Match ได้โดนใจเป๊ะๆ สามารถแจ้งเกิดและดังได้โดยไม่ต้องลงทุนซื้อโฆษณาเลย

          ในมุมนักการตลาดสมัยใหม่ก็เรียกว่าเกิด ‘Viral Marketing’ หรือ ‘การตลาดบอกต่อ’  ผ่าน ‘Word of Mouth’ และ ‘Review’ ทั้งในเครือข่ายสังคมออนไลน์  รวมถึงเว็บและแอพฯ แนะนำร้านอาหาร

>  ปัจจัยความสำเร็จประการที่สี่
          อยู่ที่คำว่า ‘Shibuya’ ในชื่อของขนม ที่ฟังดูเย้ายวนใจ เทรนดี้ และแปลกใหม่ ทำให้เมนูขนมปังอบกรอบราดน้ำผึ้ง โปะไอศกรีม และวิปครีม มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมา เพราะมี Story มาสนับสนุน ว่าเป็นขนมที่ฮิตกันมากในหมู่หนุ่มสาวญี่ปุ่น เป็นสูตรขนมที่มาจากย่านชิบูย่า กินแล้วก็เกิดความดีใจเล็กๆ ว่าไม่ต้องไปถึงญี่ปุ่นก็กิน Shibuya Honey Toast ได้

          แน่นอนว่าถ้าหากตั้งชื่อเมนูแบบไทยๆ หรือใช้ภาษาอังกฤษธรรมดาๆ ไม่ได้บอกที่มาที่ไป ก็คงไม่สามารถตั้งราคาได้เท่านี้ และไม่มีลูกค้ามากเท่านี้

>  และมาถึงปัจจัยความสำเร็จประการที่ห้า
          ซึ่งเป็นข้อสุดท้ายที่ไม่อาจมองข้ามก็คือ ‘คิวยาว Marketing’ !

          หลายปีนี้ไม่อาจปฏิเสธว่า การมีคิวยาวอยู่หน้าร้านนั้น นอกจากจะดึงดูดให้คนสนใจเข้ามามุงดูว่าขายอะไรแล้ว ยังมีโอกาสสูงที่จะได้ถูกบอกต่อและแชร์กัน (อีกแล้ว!) ใน Facebook, Instagram, Twitter และดีไม่ดีก็ได้เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร จนเจ้าของร้านถูกสัมภาษณ์ลงฟรีๆ ก็มีให้เห็นกันบ่อยๆ


          ปรากฏการณ์ ‘คิวยาว’ ในวันแรกๆ ที่เปิดร้านหรือเปิดขายสินค้าต่างๆ นั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและฉงนสงสัยกัน ว่าคนเหล่านั้นเป็นลูกค้าจริงๆ หรือเป็นเพียงเทคนิคสร้างภาพ ‘คิวยาว Marketing’ กันแน่ ?

          คิวยาวๆ ให้ผลทางจิตวิทยาไม่ต่างไปจากปรากฏการณ์ ‘ไทยมุง’ เมื่อเกิดการมุงอะไร ที่ไหน เมื่อไร เราจะเดินเข้าไปร่วมด้วยความอยากรู้อยากเห็น อาจจะชะโงกเข้าไปดูสักครู่ แล้วก็เดินจากมา แต่นั่นก็เท่ากับว่าเราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของไทยมุงแล้ว และคนอย่างเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนอื่นๆ สนใจ และเดินเข้ามามุงต่อๆ กันไป

         ในโลกของการตลาดยุคใหม่ คิวยาวในร้านและหน้าร้าน ไม่ใช่สิ่งที่สะท้อนความล้มเหลวในการให้บริการ หรือระบบสายพานการผลิต แต่คิวยาวกลับกลายเป็นสิ่งดี มันช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาสนใจ และเพิ่มโอกาสที่จะตัดสินใจทดลองซื้อสินค้าไปใช้ แล้วในที่สุด ก็จะกลายเป็นลูกค้าที่มีความจงรักภักดีได้ในเวลาต่อมา

          ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่านี่ช่างเป็นธุรกิจที่น่าสนใจสุดๆ ก็อย่าลืมหยุดคิดด้วยว่าตอนนี้มีคู่แข่ง ขนมแนวขนมปังปิ้งต่างๆ ผุดขึ้นมาทุกหนแห่งแล้ว ทั้งร้านขนมรายใหม่ๆ ร้านขนมรายเก่าๆ ที่ต้องออกเมนูนี้บ้าง ร้านกาแฟต่างๆ ก็เพิ่มเมนูนี้เข้าไป

          แม้แต่ในร้านอาหารญี่ปุ่นดังๆ แทบทุกรายก็ใส่เมนูนี้เข้าไปกันหมดแล้ว ใครที่เข้าไปกินอาหารมื้อหลักในร้านพวกนี้ ก็สามารถสั่งขนมชนิดนี้ปิดท้ายมื้ออาหารได้ โดยไม่ต้องออกมาหาร้านขนมข้างนอกเลย

          อย่างไรก็ตาม ตลาดนี้ก็ยังมีที่ว่างอยู่ในบางทำเล โดยเฉพาะจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ

>  ท้ายที่สุดแล้ว
          ปฏิเสธไม่ได้ว่าความอร่อยและคุณภาพก็ยังสำคัญที่สุดเสมอ สำคัญกว่าทุกปัจจัยที่บอกไป และจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวในระยะยาว  ซึ่งความอร่อยและคุณภาพที่ว่านี้ ต้องหมายถึงในทุกจาน ทุกถ้วย ทุกสาขา ทุกวัน และทุกเวลา

           น่าสนใจว่ากระแส Thai Toast Trend นี้จะขายดีได้นานแค่ไหน เทียบกับกระแสรุ่นพี่ก่อนๆ นี้ที่มาแล้วก็เหมือนจะจางไปในไม่นาน อย่างชานมไข่มุก โรตีบอย และล่าสุดก่อนหน้านี้เพียง 1 ปี คือโดนัทคริสปี้ครีม และอื่นๆ อีกหลายอย่างที่เราอาจจะลืมกันไปแล้ว

Thank : Mthai
..............................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น