tororichclub

tororichclub

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ล้างเห็ดอย่างไร ให้สะอาดทันใจ

เวิร์คจริงป่าว? ล้าง เห็ด อย่างไร ให้สะอาดทันใจ
          การจะรับประทาน เห็ด ให้อร่อยนั้นก็อยู่ที่เทคนิคการล้างคราบดินโคลน ที่ติดมากับ เห็ด บางทีเกิดล้างไปสะอาด นำมาปรุงอาหาร โอ้แม้เจ้าเอาเห็ดเข้าปากไป ต้องเสียอารมณ์ เพราะเรากัดใส่หินเม็ดเบ้อเร้อ แต่วันนี้ปัญหาเหล่านั้นของคุณจะหมดไป  เพราะวันนี้เรามีเทคนิคดีๆ ในการล้างเห็ดอย่างไร ให้สะอาดทันใจ  มาฝากคุณผู้ชมกัน  ส่วนจะเป็นวิธีไหน และต้องทำอย่างไร เราไปหาคำตอบพร้อมๆ กันเลยจ้า.

          ทราบไหมว่า,,เมื่อเรานำเห็ดไปแช่ในน้ำเปล่า แล้วใส่เกลือลงไป ทิ้งไว้สักพัก ดินที่เกาะเห็ด จึงหลุดออกไป นั่นก็เป็นเพราะว่า  เมื่อเกลือละลายในน้ำแล้วจะได้สารละลาย ที่เรียกว่า อิเล็กโทรไลต์   พอเกลือแตกตัวเป็นไอออนทำให้น้ำนั้นนำไฟฟ้าได้ ประกอบด้วยประจุบวก ประจุลบ  กรณีเห็ดมีดินเกาะแช่อยู่ในสารละลายเกลือ ดินกับเห็ดเป็นประจุเดียวกันจึงเกิดการผลักกัน ดินจึงหลุดจากเห็ดโดยง่าย

Thank : MTHAI
.............................................................................................

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิธี ไล่มด ตัวร้าย ให้ไกล ถังขยะ


          ถังขยะ กับมดและแมลงเป็นของที่ห้ามกันได้ยากจริงๆนะ มีถังขยะวางตรงไหน เจ้ามดและแมลงก็จะคอยไปอยู่แถวนั้น สร้างความรำคาญใจให้กับหลายๆคน เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่อยู่หอพัก คอนโดต่างๆ ที่ต้องเอาถังขยะไว้ในบริเวณห้องด้วยแล้ว ย่อมหนักใจกับปัญหามดกวนใจใช่ไหม วันนี้เราจึงขอเสนอเคล็ดลับง่ายๆ ในการ ไล่มด และแมลง ไม่ให้มารบกวนบริเวณถังขยะได้ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพึ่งยาฆ่าแมลงด้วยนะคะ เพียงแค่มีแอมโมเนียเท่านั้น

          นำแอมโมเนียไปหยดบริเวณข้างๆ ถังขยะสักเล็กน้อย เพียงเท่านี้มดและแมลงก็จะไม่มาก่อกวนบริเวณถังขยะอีก เนื่องจากกลิ่นของแอมโมเนียจะช่วย ไล่มด และแมลงได้ และถ้าหากว่ามีบริเวณที่ไม่ต้องการให้มดไปกวนก็หยดแอมโมเนีย ไว้บริเวณนั้นด้วยก็ได้นะ

Thank : MTHAI
................................................................................................

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อาหารดิบ ดีจริงหรือ?

           เนื้ิอ กึ่งดิบ หรือซาซิมินี่มันช่างหวานนุ่ม แต่กินแล้วมันดีกว่าอาหารปรุงสุกตรงไหน และอันตรายอย่างไร เป็นสิ่งที่คุณไม่รู้ไม่ได้ เขาอ้างกันว่า อาหารดิบนั้นมีเอนไซม์และสารอาหารจากธรรมชาติที่ดีต่อร่างกายที่สุด พร้อมกับช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ด้วย แต่ความจริงคืออะไร ลองไปดูกัน

ทฤษฎีของอาหารดิบ
           เทคนิคการกิน Raw Food Diet นั้นมีหลากหลายมาก และคุณก็สามารถคิดค้นได้ด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ โดยปกติแล้วร้อยละ 75-80 ของอาหารที่คุณกินจะมาจากพืช และไม่ปรุงด้วยความร้อนเกิน 115 องศาฟาเรนไฮต์ มีคนน้อยมากที่กินอาหารดิบจริง ๆ โดยนอกจากผักแล้วก็ยังเลือกกินซาซิมิ ปลาดิบ และเนื้อสัตว์ดิบบางชนิดได้ และคุณก็สามารถกินผักและผลไม้สดได้ อย่างหน่ออ่อนของพืช เมล็ดพืช และถั่ว รวมถึงเม็ดมะม่วงหิมพานต์ น้ำผลไม้สด น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ และธัญพืช

สารอาหารและแร่ธาตุจากอาหารดิบ
          ไขมัน : ด้วย ความที่อาหารดิบจะเน้นผักกับผลไม้ ปริมาณไขมันที่รับจึงอยู่ระหว่างร้อยละ 20-35 ของปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดที่ควรได้รับจากไขมันในแต่ละวัน ข้อดีคือไขมันเหล่านี้จะเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีอีกด้วย
          โปรตีน : แม้จะไม่ได้กินเนื้อสัตว์มากมาย แต่โปรตีนก็ยังอยู่ในระดับพอดีๆ ด้วยผักใบเขียว เมล็ดพืช และถั่ว
          คาร์โบไฮเดรต : ไม่มากและไม่น้อยเกินไป
          เกลือ : ต้อง แยกระหว่างการกินอาหารแบบ Raw Food กับอาหารญี่ปุ่น โดยอย่างแรกนั้นคุณจะพบว่า การบริโภคเกลือน้อยลงมากและอยู่ในปริมาณที่แนะนำคือ โซเดียมไม่เกินวันละ 2,300 มิลลิกรัม (ยกเว้นผู้สูงอายุผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคไตเรื้อรัง ซึ่งจำกัดไว้ไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม) ในทางตรงกันข้ามการใช้โชยุอาจทำให้ระดับโซเดียมพุ่งสูงขึ้นได้ง่ายๆ

สารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ
           ใยอาหาร : ไม่ ต้องห่วงเรื่องใยอาหาร หากคุณกินผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว และเมล็ดพืชเป็นหลัก เพราะอาหารเหล่านี้มักจะมีใยอาหารสูงอยู่แล้ว ดังนั้น คุณน่าจะได้รับใยอาหารในปริมาณที่เหมาะสมคือ 22-34 กรัมต่อวัน
          โพแทสเซียม : สาร อาหารชนิดนี้มีความจำเป็นต่อการควบคุมระดับความดันโลหิต ลดความเสื่อมของมวลกระดูก และลดโอกาสเกิดนิ่วในไต อย่างไรก็ดี การกินโพแทสเซียมให้ได้ปริมาณ 4,700 มิลลิกรัมต่อวันนั้นค่อนข้างยาก (แม้กล้วยจะมีโพแทสเซียมสูง แต่นั่นก็หมายความว่าคุณต้องกินประมาณ 11 ผลต่อวัน)
          แคลเซียม : แคลเซียมไม่ ได้จำเป็นสำหรับกระดูกเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดและการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งการกินอาหารดิบอาจทำให้คุณได้รับแคลเซียมน้อยเกินไปก็ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเลือกกินคะน้า ผักใบเขียว แอพริคอตแห้ง เพื่อช่วยทดแทน
          วิตามินบี 12 : ผู้ใหญ่ ควรได้รับสารอาหารชนิดนี้ อย่างน้อย 2.4 ไมโครกรัม มันจำเป็นอย่างมาก ต่อกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์ อย่างไรก็ดี วิตามินบี 12 พบในเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ แม้ยีสต์ธรรมชาติอาจจะพอช่วยชดเชยได้บ้าง แต่การกินแคปซูลเสริมก็อาจจำเป็นเช่นกัน
           วิตามินดี : ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับแสงแดดมากพอ จำเป็นจะต้องได้รับวิตามินดีอย่างน้อย 15 ไมโครกรัมต่อวัน

อาหารดิบช่วยลดโรคหัวใจจริงหรือ
           ยังไม่มีรายงานชัดเจน แต่การกินอาหารดิบอาจจะมีผลดีก็ได้ เนื่องจากการกินปลา ผัก และผลไม้ ถือว่ากินไขมันอิ่มตัวน้อยมาก โดยในปี 2005 วารสาร Nutrition เคยตีพิมพ์ผลการศึกษาว่า ผู้ใหญ่ 201 คนที่กิน Raw Food Diet เป็นเวลาสองปีจะมีระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมลดลง มีเพียง 14% ที่มีระดับ LDL สูง ในขณะที่ไม่มีใครมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงเลย

ผลกับโรคเบาหวาน
          ยังไม่มีรายงานชัดเจนเช่นกัน สิ่งที่เราควรทราบคือ การมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นจากการได้รับแคลอรี่ (ไม่ว่าแคลอรี่นั้นจะมาจากไหนก็ตาม) จะทำให้ระดับภาวะการต้านอินซูอินเพิ่มขึ้น ดังนั้น ในทางกลับกัน การลดน้ำหนักและรักษาให้อยู่ในระดับนั้นเอาไว้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้

Sushi Pros & Cons
ข้อดี
           โดย ทั่วไปแล้วซูชิจะให้โปรตีนคุณภาพดี แต่แคลอรีต่ำ มันมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลอยู่น้อยมากจึงดีต่อหัวใจของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแซลมอน ซึ่งมีโอเมก้า-3 อยู่สูง เช่นเดียวกับปลาทูน่า ส่วนตัวสาหร่ายยิ่งเต็มไปด้วยแร่ธาตุมากมาย เช่น ไอโอดีน ซึ่งจำเป็นต่อระบบฮอร์โมนที่ปกติ นอกจากนี้ คุณยังได้แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก และไฟโตนิวเทรียนต์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

นอกจากซูชิแล้ว น้ำส้มสายชูที่ใช้ในการทำซูชิก็มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียเช่นกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำส้มสายชูถึงถูกใช้ในการถนอมอาหารมาตั้งแต่โบราณ มันช่วยเรื่องการขับถ่าย ลดความเสี่ยงเป็นความดันโลหิตสูง และช่วยให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยไม่มากก็น้อย

ข้อเสีย
          แคลอรี่แอบแฝง เพราะเครื่องปรุงส่วนใหญ่ของซูชิจะถูกม้วน หรือปั้นเป็นชิ้นเล็ก บางทีคุณก็อาจจะลืมไปว่า มันมีแคลอรี่มากขนาดไหน อย่างเช่น ซูชิทูน่าอาจมีน้อยกว่า 200 แคลอรี่ก็จริง แต่ถ้ารวมมายองเนส เทมปุระ หรือซอสอื่น ๆ คุณก็จะได้แคลอรี่เพิ่มขึ้นอีกมากโข (ซอสถั่วเหลือง มีแคลอรี่ต่ำก็จริง แต่มีโซเดียมสูง)

          ระดับปรอท : แหล่งน้ำเปิด อย่างเช่น แม่น้ำ ทะเลสาบ และทะเล จะทำให้ปลาปนเปื้อนปรอท สารพิษต่อระบบประสาทที่เป็นที่รู้จักดี บรรดาปลานักล่าตัวใหญ่จะมีระดับปรอทสูงสุด รวมถึงปลาทูน่าที่พบในซูซิ ดังนั้น เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ หรือคนที่วางแผนจะตั้งครรภ์ควรอยู่ห่างจากปลาดิบเหล่านี้

Expert’s Corner
ภัยแฝงจากอาหารดิบ
          ปลาดิบ ลาบ หลู้ อันตรายอย่างไร ลองมาฟัง นพ.ธวัช มงคลพร ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหารและตับ ร.พ.สมิติเวช สุขุมวิท

การกินอาหารดิบมีอันตรายอย่างไร
          ภาพรวม คือ ถ้าเรากินเนื้อดิบ หรืออาหารดิบ ก็จะเสี่ยงกับการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น อาหารทะเลดิบๆ หรือแม้แต่อาหารปรุงสุกแล้วแต่ปล่อยไว้นานๆ ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อได้ ยกตัวอย่างเช่น โรคหูดับที่เกิดจากการกินเนื้อหมูดิบปรุงไม่สุก ก็จะมีแบคทีเรียที่ทำให้หูหนวกได้

         อย่างที่สองคือ ถ้าในกรณีที่เป็นเนื้อวัว หรือเนื้อหมู และมีพยาธิตัวตืดอยู่ เวลากินก็จะมีเม็ดสาคูซึ่งก็คือพยาธิที่ยังไม่โตเต็มวัย มันจะเจริญเติบโตภายในตัวเรา จนทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง อีกกรณีหนึ่งก็ในเนื้อปลาดิบ โดยเฉพาะปลาทะเล น้ำลึกจะมีพวกพยาธิตัวกลม ซึ่งจะทำให้เราเป็น Accidental Host มาอยู่ในกระเพาะ หรือลำไส้และทำให้เราเจ็บปวดได้ ทีนี้ ถ้าเป็นปลาน้ำจืด ที่ติดมาก็จะเป็นพยาธิตัวจี๊ดที่จะไชเข้าไปในผิวหนัง หากพยาธิอยู่ที่ตาก็จะสามารถไชเข้าไปได้ทุกที่ หรือบางคนเข้าไขสันหลังก็จะทำให้สมองอักเสบได้

คนเราจะรู้รึเปล่าถ้ามีพยาธิอยู่ในตัว
          ถ้า ไม่มาตรวจก็จะไม่เจอ ขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิ พยาธิบางตัวต้องไปดูที่อวัยวะนั้น ๆ แต่ส่วนใหญ่ มันจะผลิตไข่ออกมากับอุจจาระ ต้องใช้วิธีตรวจอุจจาระ ซึ่งโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนจะมีการตรวจที่ละเอียด คือปั่นให้ข้นแล้วเอาที่ข้น ๆ มาตรวจดู ก็จะตรวจหาไข่ของพยาธิได้ดีขึ้น

        ความจริงในปัจจุบันพยาธิก็เป็นเรื่องไกลตัวพอสมควร เพราะเดี๋ยวนี้เรามีห้องน้ำในบ้าน แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่า แม่ครัวล้างมือ สะอาดพอ หรือเขามีไวรัสตับอักเสบเอหรืออีไหม? หรือว่าเขาปรุงอาหารสุกขนาดไหน ถ้าเขาปรุงไม่สุกเราจะรู้รึเปล่า?
     
        ฉะนั้น จึงอยากให้กินทุกอย่างที่ปรุงสุกแล้ว ในกรณีของเนื้อสัตว์ขอให้ปรุงสุกและใหม่ก็จะปลอดภัยกว่ามาก ส่วนผักสลัดก็ควรล้างด้วยตัวเอง โดยล้างแล้วเทน้ำทิ้ง เผื่อบางทีมีไข่ติดอยู่ และจะได้เอาสารเคมีออกไปด้วย ในกรณีที่สัตว์มีเปลือกอย่างหอยจะต้องต้มนานกว่าปกติ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือถ้ามีอาการผิดปกติก็ต้องปรึกษาแพทย์

Thank : women thaiza
..............................................................................................

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ 2556

ประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่แห่ตุงหลวง ประจำปี 2556
          ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวร่วมสืบสานงาน "ประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่แห่ตุงหลวง ประจำปี 2556" กำหนดจัดในวันขึ้น 9 ค่ำ ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ใต้ (เดือน 6 เหนือ) ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 20-26 มีนาคม 2556 ณ วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่

          งานประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่แห่ตุงหลวง นับเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนานของชาวเมืองแพร่ และยังเป็นประเพณีที่แสดงถึงขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ตลอดจนยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดแพร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกิดปีขาลไม่ควรพลาดที่จะมานมัสการพระธาตุช่อแฮ ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีขาล เพื่อความเป็นสิริมงคล และเสริมทานบารมี

          วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง ปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองจังหวัดแพร่ ทุกปีจะมีการจัดงานประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮเมืองแพร่แห่ตุงหลวง เพื่อเชิญชวนพุทธศาสนิกชนได้มานมัสการองค์พระธาตุช่อแฮ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุพระศอกซ้ายของพระพุทธเจ้า โดยในวันแรกของการจัดงาน คือวันที่ 20 มีนาคม 2556 เวลา 15.00 น. จะมีขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เพื่อบูชาองค์พระธาตุช่อแฮ ประกอบด้วยขบวนตุงหลวง และตุงบริวาร ขบวนช้าง ขบวนม้า ขบวนผ้าแพรคลุม พระธาตุ 12 ราศี ขบวนเศวตพานพุ่ม ขบวนเทพีโปรยข้าวตอกดอกไม้ ขบวนผู้อาวุโสแต่งกายชุดไทยล้านนา และการประกวดขบวนเครื่องบูชาจากทุกอำเภอ และมีพิธีเปิดในเวลา 17.00 น.

          นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจต่างๆ อีกมากมาย อาทิ การตักบาตร 108 พิธีทำบุญทักษิณานุปทา พิธีเวียนเทียน และการแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เนื่องในวันมาฆบูชา พิธีบวงสรวงพระธาตุ พิธีอาราธนาพระมหาอุปคุต การเทศน์มหาชาติมหาเวสสันดรชาดก ประกวดเทศน์มหาชาติมหาเวสสันดรชาดก การสาธิต และประกวดกิจกรรมวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ไหว้องค์พระธาตุพระเจ้าทันใจ และไหว้องค์พระธาตุประจำปีเกิด (จำลอง) อีก 11 ราศี การแสดงดนตรี การแสดงสาธิตพิธีกรรมท้องถิ่นของแต่ละอำเภอ การจัดพิธีเลี้ยงผี ฯลฯ

          ผู้สนใจร่วมอนุรักษ์สืบสานประเพณีอันดีงาม และสั่งสมทานบารมี เสริมสิริมงคล ในงานประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่แห่ตุงหลวง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่วัดพระธาตุช่อแฮ โทร. 0 5459 9209 เทศบาลตำบลช่อแฮ โทร. 0 5459 9021 หรือติดต่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่
....................................................................................................

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ธนาคารอิสลามร้องรัฐช่วย หลังคนแห่ถอนเงินกว่าพันล้าน ใน 20 วัน

            ธนาคารอิสลาม เรียกร้องให้รัฐบาลเรียกความเชื่อมั่นให้คนที่ฝากเงินกับธนาคาร หลังวันที่ 1 - 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คนแห่ถอนเงินกว่า 4,800 ล้านบาท

            วันที่ (20 กุมภาพันธ์) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการการกิจการชายแดนไทย นำโดย นายสามารถ มะลูลีม ประธานคณะกรรมาธิการฯ และนายรักษ์ วรกิจโภคาทร รองกรรมการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย แถลงข่าว เรียกร้องให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชนชาวมุสลิม และพี่น้องประชาชนอื่น ๆ ที่ฝากเงินไว้กับธนาคารอิสลามฯ จากกรณีปัญหาหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล เนื่องจากในวันที่ 1 - 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีผู้ที่ฝากเงินกับธนาคารไปถอนเงินออกจากธนาคารเป็นจำนวนถึง 4,800 ล้านบาท ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทางธนาคาร

            นอกจากนี้ นายรักษ์ วรกิจโภคาทร รองกรรมการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ชี้แจงว่า กรณีปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของธนาคารที่สูงถึง 24,000 ล้านบาทนั้น ทางธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีแผนการรองรับเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยภายใน 2 ปี จะปรับโครงสร้างหนี้และเรียกหนี้คืนได้ไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ โดยแบ่งหนี้เสียออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะใช้วิธีปรับโครงสร้างหนี้ และส่วนที่สองจะใช้วิธีการดำเนินการทางกฎหมายและวิธีการอื่น ๆ เพื่อเรียกหนี้สินกลับคืนมา โดยคาดว่าในแต่ละปีจะเรียกหนี้เสียกลับคืนมาได้ปีละ 6,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าภายใน 4 ปี หนี้เสียทั้งหมดก็จะหมดไป

            ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ได้มอบหมายให้ ในส่วนของธนาคารของรัฐนั้น นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ลงไปดูแลอย่างใกล้ชิด และขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลในส่วนนี้ เพราะมี พ.ร.บ.การคุ้มครองเงินฝากอยู่แล้ว ดังนั้นทุกบัญชีเงินฝาก จะได้รับการคุ้มครองแน่นอน

Thank : มติชนออนไลน์
................................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผ้าไหมโคราชรุ่ง!! โกยรายได้ 4,100 ล้าน


          ผ้าไหมโคราชรุ่ง!! โกยรายได้ 4,100 ล้านบาท ราชการหนุน-ตลาดอาเซียนออเดอร์เพิ่มฉลุย 20%

          นางอาทิตยา สิริมัชชาดากุล นายกสมาคมไหมไทยนครราชสีมา เปิดเผยว่า ภาวะตลาดผ้าไหมโคราช ในปี 2555 มีการเติบโตมากกว่า 20% โดยได้รับอานิสงส์จากนโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมให้หน่วยงานราชการร่วมรณรงค์สวมใส่ชุดผ้าไทย 

          ทำให้ยอดการจำหน่ายผ้าไหมโคราชขยายตัวดี แต่ยังไม่หวือหวาเท่าที่ควร ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดนครราชสีมา มีการผลิตผ้าไหมออกสู่ตลาดมากกว่า 10 ล้านหลาต่อปี สามารถทำรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 4,000 ล้านบาท และในปีนี้ รายได้ผ้าไหม จะสูงถึง 4,100 ล้านบาท 

          ผ้าไหมที่ทำรายได้ให้จังหวัดคือ ผ้าไหมพื้นหรือผ้าไหมสี มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากสุดในกลุ่มผู้ผลิตผ้าไหมนครชัยบุรินทร์ 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ ที่มีรายได้รวมปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท

          นางอาทิตยา เปิดเผยด้วยว่า ในปี 2556 สมาคมคาดว่า ตลาดผ้าไหมจะเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เนื่องจาก มีลูกค้ากลุ่มประเทศอาเซียน สั่งซื้อผ้าไหมจากโคราชมากขึ้น 

           ซึ่งเดิมมีลูกค้าประจำจากลาวและกัมพูชา แต่ขณะนี้ เริ่มมีลูกค้าจากประเทศพม่าและมาเลเซีย เริ่มเข้ามาสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ขณะที่ลูกค้ารายเก่า ก็มีการแนะนำลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นด้วย

Thank : sanook.com
..............................................................................................

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ไม้เด็ดแก้เคล็ด…ลูกใช้เงินเกินตัว

          พ่อแม่หลายบ้านมักบ่นเรื่องการใช้จ่ายเงินที่ออกจะดูเว่อร์ไปของลูกๆ วัยรุ่น ทั้งๆ ที่ก็เข้าใจว่า วัยนี้ภาพลักษณ์สำคัญสำหรับพวกเขา อย่างน้อยๆ ก็ต้องดูดีไปกันได้กับกลุ่มเพื่อน (รวมถึงดูดีในสายตาเพศตรงข้ามด้วย) จะปล่อยให้เขาเป็นเด็กกะโปโลเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว วัยกำลังสดใหม่แบบนี้ก็ต้องเสริมแต่งกันบ้าง ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา แล้วยังจะเครื่องสำอางค์ต่างๆ ที่ประโคมโหมโฆษณาให้ลูกๆ เราเห็นแล้วอยากสวย อยากเท่นั่นอีกแต่ก็นั่นละ เรื่องเหล่านี้ก็ทำให้กระเป๋าเราเบาไปแยะเชียวล่ะ

          ครั้นจะไม่ให้เขาทำอะไรตามกลุ่มเพื่อนหรือตามแฟชั่นบ้างเลย ก็น่าเห็นใจลูกที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้…เห็นทีคงต้องหาวิธีประนีประนอมกันทั้งสองฝ่ายแล้วละ

          ก่อนอื่นคงต้องดูธรรมชาติในการให้ลูกใช้จ่ายเงินของแต่ละบ้านกันก่อนว่าเป็นอย่างไร
          ถ้าที่ผ่านมาลูกอยากได้อะไรแล้วได้สมปรารถนาทุกอย่าง แบบนี้น่ากลัวเหมือนกัน คงต้องมาดูกันว่าที่เขาได้อย่างใจน่ะ เพราะอะไร…เพราะความสงสารลูก หรือเพราะต้องการตัดรำคาญให้จบๆ เรื่องไปหรือเปล่า ถ้าใช่ละก็แย่หน่อย เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้ลูกรู้จักใช้จ่ายอย่างสมเหตุสมผลแล้ว ยังสร้างปัญหาเรื้อรังตามมาอีก ซึ่งคุณหมอพนม เกตุมาน จากหน่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เคยบอกไว้ว่า

          “ถ้าลูกได้ทุกครั้งที่เรียกร้อง เขาก็จะเรียนรู้ที่จะเรียกร้องทุกครั้งที่อยากได้ ถ้าไม่ได้ทันทีก็คงจะมีการรบเร้า พูดลอยๆ บ่นบ่อยๆ โดยหวังว่าอาจจะได้ ถ้าแม่รำคาญมาก อาจตัดรำคาญโดยการซื้อให้ เขาก็จะมีพฤติกรรมมาให้แม่รำคาญบ่อยๆ เช่นกัน เป็นการเรียนรู้โดยอัตโนมัติ”

          เพราะอย่างนี้ ลูกๆ ของหลายบ้านจึงมักมีไม้เด็ดที่ทำให้พ่อแม่อย่างเราต้องเสร็จทุกรายไป ทั้งออดอ้อน รบเร้า เซ้าซี้ หรือแม้แต่ข่มขู่ก็มี…ทางที่ดีคุณหมอแนะว่าสร้างข้อตกลงในบ้านกันให้ชัดไปเลยจะดีกว่า และโดยเฉพาะกับลูกวัยนี้ก็ต้องเป็นไปอย่างแนบเนียนสักหน่อย

          อย่าเพิ่งปฏิเสธในสิ่งที่ลูกขอในทันที
          อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธลูก ก่อนที่จะฟังเขาให้จบ เพราะบางทีสิ่งที่ลูกขออาจจะจำเป็นจริงๆ ก็ได้ การรอฟังลูกให้จบ จะช่วยให้ลูกเกิดความรู้สึกว่า แม่ยังฟังและพยายามเข้าใจเขาบ้าง ว่าความต้องการของเขาคืออะไร บางทีเขาอาจอยากแสดงให้เรารู้ว่า เขามีอะไรที่ด้อยกว่าเพื่อนอยู่ก็ได้

           เลี่ยงการอ้างเหตุผลซ้ำๆ
           พยายามอย่าอ้างเหตุผลซ้ำกันบ่อยๆ เพราะลูกจะรู้สึกว่า เราไม่ค่อยจะยอมรับในการพยายามอธิบายด้วยเหตุผลของเขา จนกลายเป็นวงจรพยายามอ้างเหตุผลของแต่ละฝ่าย แล้วในที่สุดเราก็จะพบว่า เขาไม่ฟังเหตุผลของเราหรอก จากนั้นคลื่นอารมณ์โกรธของเราก็อาจจะแทรกเข้ามาให้เรื่องนี้ลงเอยแบบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก

          “เพราะสิ่งที่ผลักดันให้ลูกอยากได้โน่นนี่นั้นมักไม่ค่อยมีเหตุผล แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งไม่มีทางเอาเหตุผลไปชนะได้ แต่เราควรใช้เหตุผลให้น้อยลง พูดสั้นๆ ว่าได้หรือไม่ได้ เพราะอะไร หรือถ้าได้ จะได้เมื่อไหร่ แต่หากลูกยังรบเร้าอีก ก็อาจต้องย้ำกับเขาอีกนิดว่า “เมื่อกี้…แม่พูดไปแล้ว”

          ชะลอความอยากด้วยเวลา
          ลองถามรายละเอียดสิ่งที่เขาอยากได้ ว่าทำไมถึงอยากได้ของชิ้นนั้น แล้วราคาเท่าไหร่ ถ้ายังไม่รู้รายละเอียดก็ให้ลูกไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ระหว่างนั้นเราก็จะได้มีเวลาไตร่ตรองอีกว่าจำเป็นหรือไม่ และบางทีเวลาก็จะช่วยให้ความอยาก (แบบวัยรุ่นใจร้อน) ลดน้อยถอยลงตามลำดับได้ด้วยเหมือนกัน

          “เพราะถ้าลูกได้อะไรทันที เขาจะเรียนรู้เหมือนเด็กที่ต้องเอาให้ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง หัดให้เขารู้จักรอบ้าง หรือพยายามด้วยตัวเองบ้าง เพราะถ้าได้อะไรมาง่ายๆ บางทีเขาจะไม่เห็นค่าในของชิ้นนั้น”

          โน้มน้าวสู่การสร้างข้อตกลง
          ถามความคิดของลูกเพื่อเราจะได้เข้าใจว่า เขากำลังคิดอะไร หรือวางแผนอะไรอยู่ ถ้าเราไม่อนุญาต เขาจะทำอย่างไร หรือถ้ามีค่าใช้จ่ายตามมาภายหลัง เช่นกรณี ลูกขอซื้อโทรศัพท์มือถือ ถามเขาว่า จะจัดสรรค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนอย่างไร ลูกคิดว่ามันคุ้มไหมกับประโยชน์ใช้สอยที่ลูกจะได้รับ แต่ถ้ายังไงๆ ลูกยังยืนยันว่าเขาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่จะตามมาได้จากเงินค่าขนมของเขาแล้ว ลองถามถึงแผนสำรองว่า ถ้าหากไม่สามารถรับผิดชอบเงินส่วนนี้ได้อย่างที่บอกกับแม่ เขาจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

          “เรื่องนี้ต้องเน้นที่ความรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย และประโยชน์ที่คุ้มค่า ปัญหามักจะเกิดเมื่อพ่อแม่ยอมจ่ายโดยลูกเองไม่ลำบาก”

          ถ้าอะไรที่ลูกอยากได้แล้วเราเห็นว่ามากเกินไป ก็คงต้องคุยกันล่ะค่ะ ช่วยกันกำหนดขอบเขตให้ชัดเจน ว่าเขาจะใช้จ่ายได้เท่าไหร่ ถ้าเขาอยากซื้อเพิ่มเติมมีงบประมาณให้เท่าไหร่ต่อเดือน อะไรได้ อะไรไม่ได้ คุยกันให้ชัดๆ ได้หลักการอย่างนี้แล้วลองนำไปประยุกต์ใช้กันดูนะ

          คราวนี้ไม่ว่าลูกจะมาไม้ไหน เราก็รับมือได้อย่างสบายใจ

Thank : Life & family
.........................................................................................

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เม่นแคระ สัตว์เลี้ยงของคนยุคใหม่


ยุคสมัยนี้จะขอเสียงสัตว์ทั้งที่ ข้อแม้มันเยอะ
เพราะสัตว์เลี้ยงของคนยุคใหม่ที่ต้องขอสัตว์เลี้ยงแบบที่น่ารัก เลี้ยงง่าย และที่สำคัญประหยัดพื้นที่ 
ซึ่งเรียกว่าเหมาะมากกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยอย่าง “เม่นแคระ” 

เจ้าเม่นแคระ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่มีหนามทั่วลำตัว 
แต่เราสามารถสัมผัสและเล่นกับเจ้าเม่นได้ โดยไม่ที่มันไม่สลัดขนใส่ 
ซึ่งเจ้าเม่นแคระนี้มาพร้อมกับความน่ารักน่าหยิกเวลาที่เจ้าเม่นขดตัวม้วนกลมน่าเอ็นดู๊ น่าเอ็นดู 
แถมเรายังไม่ต้องดูแลมันมากเป็นพิเศษอีกต่างหาก

นิสัยส่วนใหญ่ของเจ้าเม่นแคระนี้ ถือว่าเป็นสัตว์สันโดษ 
ดังนั้นเวลาเลี้ยงเราก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเหงา เลี้ยงได้ตัวเดียวแบบสบายๆ 
ที่สำคัญคือ เจ้าเม่นจะชอบวิ่งเล่นเวลายามค่ำคืน นอนกลางวัน ดังนั้นเวลาเล่นกับเค้าก็คงต้องรอเค้าตื่นก่อนอะนะ 
และเหนือสิ่งใด อย่าหวังว่าเจ้าเม่นจะมาคลอเคลีย หรือจดจำเราได้ เพราะมันคือสัตว์ที่ไม่ได้ฉลาดมากนัก

อีกอย่าง เราต้องสร้างความคุ้นเคยกับเค้าก่อนจับมาเล่น 
เพราะเจ้าเม่นแคระ ที่มีขนแหลม ๆ ทั่วตัวนั้น อาจทำให้เราเจ็บได้ 
ถ้าเราจับมันไม่ถูกวิธี  หรือทำให้เขาตกใจ 

เม่นแคระ มักจะกัดและเคี้ยววัตถุหรือสิ่งของแปลก ๆ ที่มันไม่กลิ่น จนเกิดเป็นฟองน้ำลาย 
แล้วนำฟองน้ำลายมาแปะติดไว้ตามตัว เพื่อจดจำกลิ่น หรือปรับตัวเองให้มีกลิ่นเหมือนสภาพแวดล้อม 
ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยตามปกติ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังอย่าให้ เม่นแคระ ไปกัด หรือเคี้ยววัตถุมีพิษ

วิธีการเลี้ยงเม่นแคระ 
ที่อยู่ เม่นแคระ ควรมีอุปกรณ์พื้นฐาน ได้แก่ บ้านหรือโพรงเป็นมุมมืดไว้ให้เม่นได้นอนกลางวัน, 
ถ้วยสำหรับใส่อาหาร, ขวดน้ำ, ขี้เลื่อยสำหรับรองพื้นกล่อง 
เพื่อช่วยดูดซับของเสียจากการขับถ่ายของเม่นแคระ (แนะนำให้ใช้เป็นแบบก้อนอัดแท่ง เพราะสะอาดและประหยัด), 
วิตามินผสมน้ำเพื่อช่วยเพิ่มเติมสารอาหารที่ขาดหายไป 

อาหาร เม่นแคระ แนะนำให้ใช้ อาหารแมว ไม่แนะนำให้ใช้อาหารสุนัข 
เพราะว่าเม็ดใหญ่กว่า และมีความแข็งมากกว่าอาหารแมว ทำให้เม่นแคระกัดกินลำบาก

อย่างไรก็ตาม เม่นแคระ ไม่ใช่สร้างที่เลี้ยงยาก เพียงแต่นักเลี้ยงเม่นแคระ มือใหม่ 
ส่วนใหญ่มักเลี้ยงไม่รอด เนื่องจากซื้อลูกเม่นที่ยังไม่หย่านมมาเลี้ยง 
เปอร์เซ็นต์รอดชีวิตจึงต่ำมาก ซึ่งวิธีการเลือกซื้อเม่นแคระ มาเลี้ยงนั้น 
ให้สังเกตการเดิน โดย เม่นแคระ ที่หย่านมแล้วจะเดินได้ถนัด ไม่คลานเตาะแตะ จมูกชื้น มีสุขภาพดี
................................................................................................

มั่นใจแล้วหรือ ความสำเร็จของลูกต้อง “เคี่ยวเข็ญ”

          Q. แม่ของหลานบอกว่าสมัยนี้ไม่ควรเร่งเด็กให้อ่าน เขียน แต่ใช้วิธีอ่านนิทานให้ลูกหลานฟังจะดีกว่า เพราะอะไรและดีกว่าอย่างไรค่ะ แต่เพื่อนบ้านเขาบอกว่าไปสอนตอนเข้าเรียนก็ช้าไปแล้ว หลานเขาไปอนุบาลได้ ก-ฮ แล้ว ก็เรียนได้เร็วดีด้วย

          ความเร็วในตอนแรกไม่ได้บอกว่าจะประสบความสำเร็จในตอนหลังครับ ผมอายุมากจะได้เห็นตอนเริ่มต้นและตอนจบของเด็กจำนวนมาก เด็กที่มิได้ถูกเคี่ยวเข็ญให้เรียนในตอนแรกมักประสบความสำเร็จในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเสมอ คำสำคัญคือ “ถูกเคี่ยวเข็ญ”

          ถ้าเด็กคนหนึ่งสนุกสนานกับการคิดเลขเร็วและคิดเลขจำนวนมาก หฤหรรษ์กับการอ่านหรือยินดีปรีดากับการคัดลายมือหรือการเขียน ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ปัญหาคือว่าเขาสนุกจริงหรือเปล่า หรือเป็นเราที่หน้ามืดตามัวตีความเอาเองว่าเขาสบายดีมิได้ถูกเคี่ยวเข็ญ มั่นใจได้อย่างไรว่าเขามิได้ถูกเคี่ยวเข็ญ

          สำหรับเด็กที่ออกอาการว่ากำลังถูกเคี่ยวเข็ญแน่ๆ ก็ขอให้รู้ว่าไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เราต้องเคี่ยวเข็ญเด็กเล็กให้เรียนหนังสือ เด็กเล็กมีหน้าที่เล่นเพราะการเล่นคือการเรียนรู้ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าคำว่า “การเรียน” นอกจากนี้การเล่นที่ดีคือเล่นเป็นหมู่คณะซึ่งมีความสำคัญมากกว่า “การสอน” มากมาย

          คำสำคัญคือ “เป็นหมู่คณะ” ถ้าเด็กเล็กได้เล่นเป็นหมู่คณะเรื่อยๆ เขาจะได้ทักษะสำคัญสองอย่างที่จะประกันความสำเร็จในอนาคต นั่นคือทักษะการเรียนรู้ (Learning skill) และทักษะชีวิต (life skill)

          ในทางตรงข้ามถ้าเขาเอาแต่เรียน โดยเฉพาะถูกเคี่ยวเข็ญให้เรียน เขาจะได้มาแค่สามวิชาคือ เลขคณิต อ่าน และเขียน แต่ไม่มีทักษะการเรียนรู้และไม่มีทักษะชีวิต เก่งในวันแรกๆ แต่ไม่รอดในวันข้างหน้า

          ทักษะเหล่านี้ปลูกฝังได้ก็เฉพาะตอนที่เป็นเด็กเล็ก อย่างมากก็ไม่เกินสิบขวบ หลังจากนั้นจะปลูกฝังได้น้อยลง เกินสิบขวบแล้วถ้ายังเอาแต่เรียนและเรียนมักจะขาดทักษะการเรียนรู้และทักษะชีวิต

          ขาดทักษะการเรียนรู้ หมายถึงว่า จบมารู้เท่าที่อาจารย์สอน หาต่อเองหรือสังเคราะห์งานไม่ได้ ขาดทักษะชีวิต
           หมายถึงไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่ได้ แน่นอนว่าเลขคณิต การอ่าน และการเขียนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ควรดูให้แน่ใจว่าโรงเรียนไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้ แต่ “จัดกระบวนการเรียนรู้” เรื่องพวกนี้ให้แก่เด็กเล็กเป็นหมู่คณะอย่างสนุกสนาน

           การได้เรียนรู้เป็นหมู่คณะทำให้เด็กได้ฝึกทักษะการเรียนรู้เพิ่มเติมหลายข้อที่ผมคงเล่าไม่หมดตรงนี้ แต่ที่สำคัญสองข้อแรกคือทักษะการสื่อสาร(Communication skill) และทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (collaboration skill) ลองนึกภาพเด็กที่ได้เล่นในสนามหรือได้เล่นเป็นหมู่คณะตามที่ครูออกแบบจะเห็นว่าเด็กต้องปะทะสังสรรค์กับเพื่อนเยอะมากจากนั้นต้องเจรจาต่อรองและทำงานด้วยกันในที่สุด นี่คือคุณสมบัติที่พวกเขาต้องมีเมื่อจบออกไปทำงาน

          การได้เรียนรู้เป็นหมู่คณะทำให้เด็กได้ฝึกทักษะชีวิตที่สำคัญมากมายซึ่งผมเล่าไม่หมดเช่นกัน แต่ที่สำคัญสองข้อแรกคือทักษะการวางแผนอย่างมีเป้าหมาย(goal-directed planning skill) ลองนึกภาพเด็กมัธยมหกที่ไม่รู้จะเรียนต่ออะไรดี สอบได้แล้วก็สละสิทธิ์ซ้ำๆ เป็นพวกไม่มีทั้งแผนไม่มีทั้งเป้าหมาย อีกข้อคือทักษะความยืดหยุ่น (resiliency) ลองนึกภาพบัณฑิตจบใหม่ที่ไม่มีความยืดหยุ่น ทำงานที่ไหนก็ไม่พ้นสามเดือนปรับตัวไม่ได้ขอเปลี่ยนงาน เราอยากได้ลูกแบบไหน?

Thank : Real – Parenting
....................................................................................................

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รู้ทัน ป้องกัน ครรภ์เป็นพิษ


          ผู้หญิงที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็จะเริ่มวางแผนครอบครัวขั้นต่อไป ด้วยการมีเจ้าตัวน้อยวิ่งเล่นอยู่ในบ้าน แต่เมื่อตั้งครรภ์คุณแม่ทุกท่านต้องมีแน่ๆ เลยล่ะค่ะ “ความกังวล” กังวลสารพัดอย่าง ลูกของฉันจะแข็งแรงไหม จะฉลาดหรือเปล่า โตขึ้นเค้าจะเป้นเด็กดื้อหรือไม่ ต้องกินอาหารอะไรดี บำรุงมากแค่ไหนถึงจะพอดี แล้วจะคลอดเองได้ไหม จะเกิดรกเกาะต่ำหรือเปล่า แถมยังมีโรคแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ให้ต้องกังวล อีกมากมาย

          วันนี้ ขอแนะนำให้คุณแม่มือใหม่ได้รู้จัก กับภาวะที่เรียกว่า “ ครรภ์เป็นพิษ ” ให้มากขึ้น แหมๆ แค่ฟังชื่อก็น่ากลัวแล้วใช่มั้ยล่ะ คุณแม่ขา…!

มาทำรู้จักกับ “ ครรภ์เป็นพิษ ” กันก่อน

          “ครรภ์เป็นพิษ หรือToxemia” เป็นคำเรียกกลุ่มของอาการ ซึ่งประกอบด้วยภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Pregnancy Induced Hypertension) และการตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะของคุณแม่ตั้งครรภ์ ครรภ์เป็นพิษเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยประมาณ ร้อยละ 10 ของหญิงตั้งครรภ์ และเป็นสาเหตุการตายของมารดาเป็นอันดับ 2 รองจากการตกเลือดหลังคลอด

แล้ว ” ครรภ์เป็นพิษ “ เกิดขึ้นได้อย่างไร
          ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชั แต่เชื่อว่าน่าจะเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น จากการศึกษาวิจัยพบว่ากลไกในการสร้างสารเคมีที่มีชื่อว่า “พรอสตาแกลนดิน” มีส่วนทำให้ความดันโลหิตสูงผิดปกติ สารพรอสตาแกลนดินบางตัวทำให้หลอดเลือดขยายตัว บางตัวทำให้หลอดเลือดบีบตัว คุณแม่ที่เกิดครรภ์เป็นพิษจะสร้างพรอสตาแกนดินที่ทำให้เส้นเลือดบีบตัวมากกว่า ทำให้แรงดันในหลอดเลือดที่มีความตีบตัวสูงขึ้นมากและเส้นเลือดดังกล่าว ยัง ปล่อยน้ำที่อยู่ในหลอดเลือดให้รั่วซึมออกนอกเส้นเลือดได้ง่ายอีกด้วย 
          นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การสร้างฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ที่มากกว่าปกติและปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันแพทย์และนักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาและวิจัยเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับ สาเหตุของโรคนี้

คุณแม่กลุ่มไหนกันนะ ที่เสี่ยงเป็น “ครรภ์เป็นพิษ”
          เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าคุณแม่ท่านใดที่เสี่ยง แต่อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ภาวะนี้มักพบในคุณแม่ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี หรือน้อยกว่า 20 ปี มักพบในการตั้งครรภ์ครั้งแรก มีประวัติภาวะนี้ในครอบครัว เช่น มารดา พี่สาว และน้องสาว การตั้งครรภ์แฝด การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก หรือมีโรคเบาหวานร่วมด้วย คุณแม่ที่เข้าข่ายนี้จึงควรรีบฝากครรภ์และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

อาการผิดปกติของ “ครรภ์เป็นพิษ”
          คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็วมากกว่าปกติค่ะ โดยทั่วไปคุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 0.5 กิโลกรัม คุณแม่ที่เป็นโรคนี้ อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 1-2 กิโลกรัม โดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุที่น้ำหนักขึ้นเกิดจากการบวมน้ำ
          คุณแม่มีอาการบวม โดยให้สังเกตบริเวณหน้าแข้งจะพบว่าเมื่อกดแล้วจะมีรอยบุ๋ม เปลือกตาบวม แหวนที่ใส่คับแน่นขึ้นมากขึ้น
          คุณแม่บางรายจะมีอาการปวดศีรษะ เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงขึ้นด้วย
          ถ้าหากมีเลือดออกที่ตับ หรือตับเสื่อมสภาพจะทำให้มีอาการจุกแน่นที่ใต้ชายโครงทางด้านขวา หรือบริเวณลิ้นปี่ คุณแม่บางท่านหายใจลำบากเนื่องจากมีน้ำในปอด บางรายอาจมีอาการตาพร่าลายร่วมด้วย เนื่องจากเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตาลดลง 
          ลูกของคุณแม่ เค้าดิ้นน้อยลงและท้องไม่ค่อยโตขึ้นตามอายุครรภ์ ซึ่งเกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงมดลูกลดลง

          “ถ้ามีอาการผิดปกติข้างต้น ให้คุณแม่รีบพบแพทย์ทันทีเลยนะคะ อย่ามัวรีรอเป็นอันขาด”.

จะมีผลกระทบต่อคุณแม่อย่างไรบ้าง
          เมื่อหลอดเลือดตีบ แคบ และรั่วง่าย อวัยวะต่างๆ ได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ไตทำงานลดลงทำให้ประสิทธิภาพในการขับของเสียออกจากร่างการลดลง เกิดการคั่งของของเสีย ปัสสาวะออกน้อยลง หากไม่ได้รับการรักษาไตจะวายได้ ตับจะขาดเลือดไปเลี้ยง อาจพบมีเลือดออกในเยื่อหุ้มตับ มีน้ำคั่งในถุงลมปอด ทำให้หายในลำบาก มีน้ำคั่งใต้ผิวหนังทำให้เกิดอาการบวมที่ปลายมือ ปลายเท้า หน้า และเปลือกตา ในรายที่เป็นมากอาจเกิดอาการชัก มีเลือดออกในสมองและอาจเสียชีวิตได้เลย

ผลกระทบกับลูกน้อยในครรภ์
          เนื่องจากเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณมดลูกลดลง ทำให้เกิดภาวะทารกเติบโตในครรภ์ช้ากว่าปกติได้ ในรายที่เป็นรุนแรงทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ได้

เมื่อเกิด “ครรภ์เป็นพิษ” ควรทำการรักษาอย่างไร
          การรักษาโรคนี้ดีที่สุดคือ “ทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงหรือการยุติการตั้งครรภ์นั่นเอง” เพราะอาการต่างๆ เกิดจากการตั้งครรภ์ทั้งสิ้น ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์ครบกำหนด หรือใกล้ครบกำหนดแล้ว คุณหมอจะตัดสินใจให้คุณแม่คลอดให้เร็วที่สุด ซึ่งหากคุณแม่มีอาการเจ็บครรภ์คลอดแล้วจะพิจารณาให้คลอดทางช่องคลอดก่อน แต่ถ้าหากลูกตัวใหญ่มาก หรือคุณแม่ไม่มีอาการเจ็บท้องเลย คุณหมอจะพิจารณาผ่าตัดคลอด 
          แต่หากโรคนี้เกิดในขณะที่อายุครรภ์ยังน้อยหรือยังไม่ครบกำหนด การรักษาโดยการให้คลอดเลยอาจมีปัญหากับลูกได้เนื่องจากลูกยังตัวเล็กมากมี น้ำหนักน้อย การทำงานของปอดยังไม่ดีพอ ซึ่งเสี่ยงมากที่ลูกอาจเสียชีวิตได้ การรักษาสำหรับคุณแม่กลุ่มนี้จึงต้องการการดูแลจากคุณหมออย่างใกล้ชิด ซึ่งคุณหมอจะพยายามประคับประคองให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยการให้ยาป้องกันการชัก ให้ยาลดความดันโลหิต ให้ยากระตุ้นการทำงานของปอดลูก โดยหวังให้การทำงานของปอดลูกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ยกเว้นว่าไม่สามารถประคับประคองให้ตั้งท้องต่อไปได้ เช่น มีความรุนแรงของโรคมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้ และจะส่งผลร้ายให้กับคุณแม่และลูกน้อย คุณหมอจะพิจารณาผ่าตัดคลอดทันที

คุณแม่ครรภ์เป็นพิษควรดูแลตัวเองอย่างไร
          คุณแม่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว ต้องได้รับการรักษาเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก่อนตั้งครรภ์ และอย่าลืมรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอด้วย
         หากมีน้ำหนักตัวมากเกินไป ควรพยายามลดความอ้วนด้วยการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์
          เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์แล้ว ควรรีบฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด ควรแจ้งประวัติส่วนตัวอย่างละเอียด ให้แพทย์ทราบเพื่อการวางแผนการดูแลที่ถูกต้อง
          ควรลดอาหารเค็ม ส่วนการใช้ยาขับปัสสาวะ การรับประทานแมกนีเซียม สังกะสี น้ำมันตับปลา และแคลเซียมเสริม ปัจจุบันยังไม่พบประโยชน์ที่ชัดเจนในการป้องกันภาวะนี้
          คุณแม่มือใหม่ทุกๆ คนหากคิดจะมีลูกน้อย แล้วล่ะก็ อย่าลืมที่จะปรึกษาแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อความปลอกภัยทั้งของลูกน้อยและตัวคุณแม่เองด้วย
Thank : Mthai
.............................................................................................

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ส่อแววท้อ! เบี้ยวส่งงวด “รถคันแรก”


ส่อแววท้อ! เบี้ยวส่งงวด “รถคันแรก” ประชานิยมของรัฐบาล  

          เพียง ไม่กี่เดือนหลังปิดโครงการคืนภาษีรถยนต์ใหม่คันแรก ตามนโยบายของรัฐบาล ผู้เข้าร่วมโครงการก็เริ่มส่อแววท้อ จับต้นชนปลายไม่ถูกสำหรับเงินส่งค่างวดรถที่ต้องครอบครองอย่างต่ำ 5 ปี รวมทั้งค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนที่ต้องใช้ จึงทำให้เพียงแค่ไม่กี่เดือน ผู้เข้าร่วมโครงการถึงขั้นยอมคืนเงินภาษีที่ได้รับมาแล้ว

          โดยล่าสุด อธิบดีกรมสรรพสามิตอย่างนายสมชาย พูลสวัสดิ์ ออกมายอมรับว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังติดตามความเคลื่อนไหวใน โครงการรถคันแรก เพราะหลังจากโครงการสิ้นสุดลงเมื่อปลายปี 2555 พบว่า มีประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ 2 – 3 ราย นำเงินมาคืนให้กรมสรรพาสามิต ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่เข้าโครงการ เพราะไม่สามารถครอบครองรถยนต์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ 5 ปีได้

          โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดกับบริษัทสินเชื่อเช่าซื้อ (ลีสซิ่ง) ได้ ซึ่งกรมสรรพสามิตร ก็ได้ประสานกับบริษัทลีสซิ่ง เพื่อตรวจสอบข้อมูลในอนาคตว่า จะมีการยึดรถคืนหรือไม่ แต่ก็ยังเชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เพราะการปล่อยกู้นั้นจะต้องดูรายละเอียดและความสามารถในการผ่อนรถของผู้ที่ ใช้สิทธิ์โครงการรถคันแรกอยู่แล้ว

          อย่างไรก็ตามนั้น กรมสรรพสามิตรยังได้ส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลาง ได้ดำเนินการทยอยจ่ายคืนเงินภาษีให้แก่ประชาชนที่ถือครองสิทธิ์ครบ 1 ปีแล้วกว่า 50,000 ราย คิดเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท โดยขณะนี้ยังไม่พบปัญหาในการดำเนินการส่วนดังกล่าว รวมทั้งยังมีเงินที่เหลือจากงบประมาณอีก 3,000 ล้านบาท หากไม่พอทางกรมบัญชีกลางจะเป็นผู้เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินเพิ่ม

          ซึ่งการรับภาวะไม่ไหวครั้งนี้ก็สอดรับกับ นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโสธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารธนชาต ที่ออกมาระบุ ถึงการขอสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มีผลพวงมาจากนโยบายคืนภาษีรถคันแรกของ รัฐบาลว่า เริ่มเห็นสัญญาณลูกค้าที่มีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้รถยนต์บ้างแล้ว โดยขณะนี้มีลูกค้าจำนวนหนึ่งที่ขอสินเชื่อไป และขอนำรถมาคืน ซึ่งต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง

          แต่กระนั้น สาเหตุของการคืนรถนั้น ทางผู้อำนวยการอาวุโสธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารธนชาต ยังวิเคราะห์อีกว่า อาจเป็นเพราะคนที่อยากใช้รถยังไม่มีความสามารถที่จะซื้อได้ แต่ก็ต้องรีบซื้อ เพื่อรับสิทธิคืนภาษี 1 แสนบาท ขณะที่บางคนก็ต้องยืมสิทธิ์คนอื่นมาใช้ ทำให้ขาดความระมัดระวังในเรื่องวินัยทางการเงิน นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังดึงดูดให้คนที่มีความต้องการจะซื้อรถจักรยานยนต์หันมาซื้อ รถยนต์ขนาดเล็ก เช่น อีโคคาร์ แทนด้วย

Thank : MThai News
............................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความรัก ไม่เคยหายไปจากชีวิตใคร


          ใน ทุก ๆ คืน เด็กหญิงคนหนึ่งชอบนั่งเหม่อมองที่ริมหน้าต่างเล็ก ๆ ในห้องนอนของเธอ เพราะตรงหน้าต่างห้องนั้น เธอจะมองเห็นประตูหน้าบ้าน และที่ประตูหน้าบ้าน เธอหวังจะได้เห็นการกลับมาของผู้เป็นพ่อ แม่มักบอกเธอเสมอว่าชีวิตอาจไม่ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง และพ่อก็พบทางใหม่ที่ดีกว่าเธอกับแม่ เขาจึงจะไม่มีวันกลับมาแล้ว เธอเข้าใจ แต่ยังมีความหวัง และคิดเสมอว่าตัวเองเป็นเด็กดี ดังนั้น พ่อจะต้องกลับมา หากแต่ในวันสุดท้ายที่เธอยังมีความหวังพ่อก็ไม่เคยกลับมา

          เด็กหญิงคนนั้น เติบโตขึ้นมาพร้อมความว่างเปล่าในจิตใจ เธอโทษว่าเป็นความผิดของแม่ ที่ทำให้พ่อไปจากเธอ และเฝ้ามองหาผู้ชายสักคนมาเติมเต็มความว่างเปล่านั้นแทนพ่อ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็ได้พบผู้ชายคนหนึ่งที่ดีพร้อม เธอคิดว่า “การเป็นเด็กดี” จะทำให้เขาอยู่กับเธอตลอดไป เธอจึงพร้อมทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขา ชีวิตของเธอมีแต่เขา

          แต่ แล้วผู้ชายคนนั้นกลับบอกว่า เขาอึดอัดกับการอยู่ข้าง ๆ เธอ ความรักที่มากเกินไปของเธอทำให้เขาเดือดร้อน และขอให้เธอปล่อยเขาไป ดวงตาคู่เดิม ต้องมองผู้ชายที่รักมากเดินจากไปอีกครั้ง การเป็น “เด็กดี” ช่วยอะไรไม่ได้ และคราวนี้เธอก็โทษแม่ไม่ได้

          เธอ กลับมาที่บ้าน นั่งเหม่อมองออกไปที่หน้าต่างบานเดิม ความเศร้าทำให้เธอกินอะไรไม่ลง แม้ท้องจะหิวโหย เธอไม่รู้สึกอยากดูแลร่างกายที่ไร้ค่าของเธออีกต่อไป เฝ้านึกโทษโชคชะตา ที่กลั่นแกล้งให้เธอไร้พ่อ และไร้คนรัก ในช่วงเวลาแห่งความเศร้านั้น เธอคิดที่จะฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นวิธีเรียกร้องความรักจากคนที่ไม่รักเธอได้ดีที่สุด เธอจึงเดินไปที่ประตูห้องนอน ตั้งใจจะออกไปที่ดาดฟ้าของบ้าน แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นถาดอาหารของแม่วางอยู่ที่หน้าประตูนั้น 

          หญิง สาวเพิ่งนึกได้ว่า เธอยังไม่ได้คุยกับแม่เลยตั้งแต่กลับมาที่บ้าน อันที่จริง เธอแทบหลงลืมไปแล้วว่า ยังมีแม่อยู่ในบ้านเดียวกับเธอ เธอจึงออกจากห้องไปตามหาแม่ และพบว่าแม่อยู่ที่หลังบ้านเพียงลำพัง นั่งหลังขดหลังแข็งซักเสื้อผ้าให้เธออยู่เงียบ ๆ บางครั้งแม่ใช้แขนปาดเหงื่อที่หน้าผากอย่างอ่อนล้า แต่ก็ยังคงซักผ้าให้เธอต่อไป ความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้ามาสู่หัวใจอย่างน่าละอาย แม่กำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อดูแลเธอ แต่เธอกำลังคิดจะทำร้ายตัวเองเพื่อเหนี่ยวรั้งให้ผู้ชายคนหนึ่งกลับมา 

            หญิง สาวไม่เคยรู้เลยว่า…จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ทุกครั้งที่เธอเฝ้ามองประตูรั้วบ้านผ่านหน้าต่างห้องนอน มีใครคนหนึ่งเฝ้ามองเธอผ่านประตูด้านหลังของเธอเสมอ เธอมัวแต่เดินตามหาความรักที่ไม่มีอยู่ในมือ ทั้งที่ตลอดเวลายังมีอีกหนึ่งรักแท้ที่เดินตามเธออยู่ข้างหลัง เพียงแต่เธอไม่เคยหันกลับไปมองเท่านั้น

          อัน ที่จริง เราทุกคนก็คงมีความรักแบบนี้ รักที่อยู่ใกล้เรามาเสมอ แต่เราทำเป็นมองไม่เห็น เพราะมัวแต่พยายามไขว่คว้าความรักที่ไม่มีอยู่จริง เฝ้าร่ำร้องอยากได้ความรักจากคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเรา แต่กลับผลักไสคนที่พร้อมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อเรา หญิงสาวเดินกลับห้องนอน กินอาหารของแม่จนหมด แล้วเธอก็เดินกลับไปกอดแม่ เธอขอโทษที่ทำให้แม่ต้องเหนื่อยและรักเธอข้างเดียวมาเสมอ แม่กอดเธอ ไม่พูดอะไรมากมาย เพียงแค่ยิ้มอย่างโล่งใจและมีความสุขที่สุดในชีวิต

          ความ รักไม่เคยหายไปจากชีวิตใคร อยู่ที่ว่าเราจะยอมหันไปมองรักที่เดินตามหลังเรามาบ้างหรือเปล่า อย่ามัวฟูมฟายกับการจากไปของคนที่ไม่ได้รักเรา จนละเลยคนที่เดินตามหลังเรามาเสมอ เมื่อในวันนี้ “รักแท้” มันอยู่ใกล้ชีวิตคุณที่สุดแล้ว

Thank : teenee.com
.............................................................................................

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมื่อ เฟอร์บี้ เป็นของเล่นยอดฮิต

เมื่อ ตุ๊กตาเฟอร์บี้ เป็นของเล่นยอดฮิตในตอนนี้ไปเสียแล้ว
          ตุ๊กตาเฟอร์บี้ ถือกำเนิดเมื่อประมาณ 14 ปีก่อน เป็นของเล่นที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น เรียกได้ว่าทำให้ทั้งโลกฮือฮากันเลยทีเดียว ด้วยเพราะเหตุว่าตุ๊กตาเฟอร์บี้นี้ เป็นตุ๊กตาหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ใช่แค่ตุ๊กตาหุ่นยนต์ธรรมดา แต่เป็นตุ๊กตาสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์ ซึ่งนอกจากจะสามารถขยับตา ขยับปากพูดได้แล้ว ยังสามารถเต้นได้อีกด้วย (ถ้าเต้นท่ากังนัมไสตล์ได้คงดังไปถึงดาวอังคาร...)

          หลังจากนั้นหลายปีผ่านไป เจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ก็หนีไม่พ้นสัจจะธรรมที่คลื่นลูกใหม่ต้องเข้ามาแทนคลื่นลูกเก่า ดังนั้นความนิยมของเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้จึงเริ่มเลือนหายไปจากความทรงจำของเด็กๆ รวมทั้งผู้ใหญ่ที่ชอบเด็ก อุ๊ย!!... ผู้ใหญ่ที่ชอบของเล่นเด็กด้วย

          แต่บริษัทผู้คิดค้นเจ้าเฟอร์บี้ ก็ไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่ตัวเองคิดมากับมือเลือนหายไปกับกาลเวลา เพราะนี่คือผลงานชิ้นโบว์แดง เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดโปรไฟล์ของบริษัทก็ว่าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำการยกเครื่องเจ้าเฟอร์บี้ใหม่ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น เป็นการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งของตุ๊กตาเฟอร์บี้ สุดยอดสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์

          หากเอ่ยชื่อบริษัท Hasbro ในวงการของเล่นต่างรู้กันดีว่า ชื่อนี้คือชื่อของบริษัทผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่ที่ผลิตของเล่นนานาชนิดส่งขายทั่วโลกและเป็นผู้ที่สร้างความฮือฮาให้กับตลาดของเล่นโดยในปี 2541 หรือเมื่อประมาณ 14 ปีที่แล้ว ได้มีการเปิดตัวสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์เสมือนจริงคือเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้รุ่นแรกนั่นเอง

          เจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ โดยหน้าตาเหมือนนกฮูกผสมกับหนูแฮมสเตอร์ สูงประมาณ 5 นิ้ว และมีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนสัตว์เลี้ยงจริงๆ  ซึ่งในการเปิดตัวเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ครั้งนั้น ได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม เพราะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ในวงการของเล่น โดยได้รับการบันทึกว่าเป็นของเล่นที่มียอดจำหน่ายสูงสุดถึง 40 ล้านตัวทั่วโลกเลยทีเดียว

          ปัญหาของเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ในยุคแรกๆ คือภาษาที่ใช้พูดคุยสื่อสารระหว่างตุ๊กตากับเจ้าของนั้นไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันเท่าไร เพราะเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ ดันมีภาษาของตัวเอง ชื่อว่าภาษาเฟอร์บิช (furbish) ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้ผลิตหรือเปล่าที่ต้องการให้สินค้าของตัวเองมีเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อให้มีผลต่อความรู้สึกต่อลูกค้า และง่ายต่อการทำการตลาด

          แต่ผลที่ตามมาคือ ทำให้ผู้เล่นบางส่วนรู้สึกว่าภาษาเฉพาะของเจ้าเฟอร์บี้นี้ช่างเป็นอุปสรรคในการสื่อสารเหลือเกิน จะสั่งอะไรทีก็ต้องมานั่งศึกษาก่อนว่าจะต้องออกเสียงอย่างไร ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความนิยมในตัวเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้จึงค่อยๆ ลดความนิยมลงดไป

          แต่บริษัท Hasbro ผู้ผลิตเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ก็ไม่ได้ย่อท้อ และไม่ยอมให้เจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้หายไปกับกาลเวลา เพราะถือได้ว่าเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้นี้เป็นผลงานชิ้นเอกระดับสุดยอดโปรไฟล์ของบริษัท หากปล่อยให้เสื่อมความนิยมไปเฉยๆ ก็จะเสียของเปล่าๆ จึงมีแผนการพัฒนาปรับปรุงเจ้าเฟอร์บี้ขึ้นมาใหม่ให้ทันสมัยและสามารถสื่อสารกับผู้เล่นได้มากขึ้น

          จุดเด่นของเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ในเวอร์ชั่นใหม่นี้ ได้มีการเปลี่ยนจากดวงตาพลาสติกมาเป็นจอ LCD และเรืองแสงได้ แต่ยังคงมีเปลือกตาที่เปิดปิดได้เหมือนรุ่นก่อน ส่วนขนาดลำตัวจะใหญ่กว่ารุ่นเก่าเล็กน้อย และมีการติดตั้งจุดเซ็นเซอร์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ตุ๊กตาเฟอร์บี้รุ่นใหม่ยังสามารถรับรู้ และเคลื่อนไหวได้มากกว่ารุ่นเก่า โดยที่ลำตัวตัวของมันจะปกคลุมด้วยขนนุ่มๆ มีหู และเท้า เป็นพลาสติก มีจะงอยปากที่เปิดปิดได้พร้อมกับลิ้นไว้รับรู้การป้อนอาหาร

          ส่วนปัญหาในเรื่องของภาษาในรุ่นแรกๆ มาในเวอร์ชั่นนี้ก็หมดกังวลกับเรื่องดังกล่าวไปได้เลย เพราะตุ๊กตาเฟอร์บี้รุ่นใหม่นี้จะมีแอพพลิเคชั่นให้ดาวน์โหลดฟรีใน iOS ซึ่งมีทั้งระบบแปลภาษา, ระบบควบคุม และมีระบบสำหรับให้อาหารเฟอร์บี้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถใช้แอพพลิเคชั่นใน iPhone หรือ iPad ผ่าน Furby app เพื่อสั่งงานเฟอร์บี้ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เฟอร์บี้รุ่นนี้ไม่มีสวิตช์สำหรับปิดเครื่องเหมือนเช่นเคยเพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงจริงๆ ซึ่งถ้าเราปล่อยมันทิ้งไว้นาน ๆ เจ้าเฟอร์บี้ก็จะหลับไปเอง และเราก็สามารถปลุกมันได้ด้วยการลูบตัวตามปกติ เรียกได้ว่าให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงได้สมจริงยิ่งขึ้น

          ตุ๊กตาเฟอร์บี้เป็นของเล่นที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่รักสัตว์แต่ไม่สามารถเลี้ยงได้จริง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็สามารถเลี้ยงเจ้าเฟอร์บี้ไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ โดยที่ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นภาระ

          การกลับมาของตุ๊กตาเฟอร์บี้ ถือเป็นการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ของตุ๊กตาสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์ ซึ่งดูแล้วก็น่าจะถูกใจคนรุ่นใหม่เพราะไม่ใช่แค่ตุ๊กตาธรรมดาแต่เป็นตุ๊กตาสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์ที่มีทั้งความน่ารัก สดใส และเทคโนโลยีที่ทันสมัยผสานออกมาเป็นหนึ่งเดียวนามว่า เฟอร์บี้ นั่นเอง

Thank : Mthai
.........................................................................................

ต้อนรับวันวาเลนไทน์


รักคือ ความเสียสละ
ยื่นมือไปโอบกอดเธอ
อยากให้เธอละเมอเป็นแต่ฉัน

เพราะเธอคือสีสันของคืนวัน
และรักฉันนั้น คือ รักเธอ
เธอจึงสำคัญและมีค่ามาก
มากเกินไปกว่าแค่พลั้งเผลอ
คือ คนที่ฉันจะสละทุกอย่างได้เพื่อเธอ
เพราะทุกคำที่หัวใจละเมอมีแค่เธอคำเดียว

รักคือ ความเอาใจใส่
เป็นห่วงคือ เป็นห่วง
ใช่ว่าหวง ไม่ยอมให้เธอไปไหน
ห่วงหา เป็นส่วนหนึ่งของคำว่าใส่ใจ
ใช่ว่าจะขังเธอไว้ในกรงทอง
คำว่ารักเพียงหนึ่งคำ
ใช่จะตอกย้ำความเป็นเจ้าของ
อบอุ่นอยู่ข้างใน หากเธอใช้หัวใจมอง
ให้เข้าใจทุกอย่างถูกต้องว่ารักเธอ

รักคือความหึงหวง
เกลียดความใจดีที่เธอเป็น
เกลียดความขี้เล่นที่ใครเห็นเป็นต้องหลงใหล
เกลียดแฟนน่ารักที่ใครก็อยากเอาใจ
เกลียดรสนิยมหญิงไทยที่ชอบอะไรคล้ายๆกัน
เกลียดความไม่มีเหตุผล
ของผู้หญิงหนึ่งคนที่แสนซนและดื้อรั้น
ไหนจะขี้หึงที่หนึ่งในจักรวาล
รู้ว่าเธอทำงาน แต่ทำทุกวันมันเกินไป
แต่เกลียดเธอได้จริงๆก็คงดี
เพราะยังรักเธอเท่าโลกใบนี้เชื่อไหม?
คนที่ยากจะหาใครมาทดแทน ให้เลิกหวงแหนได้ไง
เกิดอีกชาติไหน ก็ไม่รู้จะทำได้ไหมให้เลิกหึงเธอ

รักคือ ความเชื่อมั่น
หนึ่งคนที่ชีวิตตามหา
ด้วยหัวใจที่ศรัทธาว่าจะพบ
กี่ครั้งที่เริ่มแล้วจบ
ไม่เคยได้พานพบสักที
แต่ก็ยังตามหา
คนที่จะเติมอุ่นไอในเงาตาคู่นี้
เหมือนนิทานความรัก ที่ไม่เคยหยุดพักสักที
จนก่อเรื่องราวดีๆในหัวใจ
หนึ่งคนที่ชีวิตตามหา
ก็หวังเพียงแค่ว่า เธอจะใช่
ความรักที่มี อยู่ตรงนี้แล้วไม่ไกล
หมดใจที่ให้ไป แค่ขอคืนสักครึ่งใจก็พอ

รักคือ ความปรารถนาดี
ซ่อนความรักไว้ใต้หมอนหนุน
เพื่อให้เธออิงอุ่นเช่นวันผ่าน
จากใจคนที่แอบหวังดีมาเนิ่นนาน
หากเธอลองใช้หัวใจอ่านก็จะรู้ว่าใคร

รักคือ ความเอื้ออาทร
เพราะไม่ได้งดงามดังบทกวี
จึงไม่มีถ้อยคำดีๆมาแทนค่า
เพราะฉันมีเพียงแค่แววตา
ที่จะยืนยันได้ว่า รักเธอเพียงไร
เพราะฉันไม่ใช่แสงตะวัน
เธออาจไม่อบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้กันก็ได้
แต่ในวันที่ชีวิตเธอสลัวแสงไฟ
ฉันเองพร้อมจะเคียงข้างไปในยามมืดมน
ฉันอาจไม่ใช่สิ่งดีๆหลายอย่าง
ไม่ใช่ทางเลือกใดสักทางที่เธอเคยค้น
เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา มีดวงตาไว้ห่วงหาใครสักคน
และทั้งหมดของความรักที่ท้วมท้น ฉันให้เธอ

รักคือ ความมั่นคง
เธอเท่านั้น
ที่ฉันจะผูกพัน ที่ชีวิตทุกวันจะรู้ค่า
ที่จะรักจนแก่เฒ่าเป็นยายกับตา
ที่แอบวาดภาพจนแก่ชรา จะนั่งเลี้ยงหลานด้วยกัน
เมื่อนึกถึงอนาคตฉันนึกถึงเธอ
เพราะเมื่อจะนิยามความมั่นคงเสมอ ฉันนึกถึงเธอเท่านั้น
เป็นคนที่พรหมลิขิต ไม่จำเป็นต้องผูกชีวิตให้ใกล้กัน
แต่รักที่ฉันมีจะทำแบบนั้นด้วยตัวเอง

รักคือ ความคิดถึง
ถ้าจะวัดความกว้างของขอบฟ้าเป็นกิโลฯ
ก็คงมากโข จนนับไม่ไหว
แต่ถ้าจะนับว่าฉันคิดถึงเธอมากเพียงใด
แค่นับจังหวะการเต้นหัวใจของเธอดู

รักคือ ความห่วงใย
ความรักโบยบินเหมือนนกเสรี
พรมความอ่อนโยนไปทุกที่ยามโลกหมุน
เป็นความสว่างดั่งดวงตะวันที่ส่องละมุน
เป็นประกายความอบอุ่นในดวงตา
ความรักของฉันจึงโอบกอดเธอไว้
เป็นตัวแทนของความห่วงใยในทุกองศา
ไม่มีลิตใดกว้างเกินกว่าที่ใจจะนำพา
ความหมายเดียวที่ใจปรารถนา คือ รักเธอ

รักคือ ความซื่อสัตย์
ม่านฟ้าขวางกั้น
เราจำจึงต้องห่างกันในคืนหนาวแต่ตึกระฟ้า ..ผู้คน ..หรือเงาดาว
ไม่สามารถทำให้เรื่องราวของเธอรางเลือน
ทุกสิ่งในใจยังคงชัดเจน
แม้ว่าเธอจะไม่เห็นและเข้าใจได้เหมือน
ยืนยันได้ว่าทุกความรู้สึกที่มีไม่แชเชือน
เป็นดั่งสิ่งย้ำเตือน ว่าสักกี่ปีกี่เดือน จะเหมือนเดิม

รักคือ ความอดทน
เธอขี้โมโห เธอเอาแต่ใจ
เธอชอบใช้ ชอบออกคำสั่งฉัน
เพื่อนก็ต่อว่า “ฉันทนทำไมกัน”
คนที่นิสัยดีและรักฉันมีมากมาย
เขาไม่เข้าใจอะไรเลย
ว่ารักที่หัวใจรู้สึกลงเอย มันหาได้ไม่ง่าย
และที่อยู่กับเธอ ก็ไม่มีคำอธิบาย
นอกจากสนองความต้องการของใจ ที่มันสั่งให้รักแต่เธอ

รักคือ ความเข้าใจ
จะอยู่เพื่อรัก
แม้มีอุปสรรคฉันจะข้าม
จับมือกันนะ เราจะเดิน เราจะตาม
ฉันมีทุกโมงยาม ทุกนาทีที่ก้าวด้วยความเข้าใจ
รอยเท้าจะมากขึ้นเท่าไรไม่สำคัญ
อยู่ที่ว่าทุกวัน เรารักกันมากขึ้นแค่ไหน
รอยเท้าอาจไม่เหลือรอย หากต้องพบเจออะไร
แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดต่อไป ขอให้เริ่มจากความรักเรา

รักคือ ความจริงใจ
เธออาจเป็นแค่คนคนหนึ่งบนโลกใบนี้
แต่รู้ไหมคนดี เธอเป็นโลกทั้งใบของฉัน
เธออาจมีความรักให้ใครนับร้อยพัน
สำหรับฉันเธอคือคนเดียวเท่านั้นที่จริงใจ
จึงไม่เคยเสียใจที่ได้รัก
มีเธอเป็นที่พิงพัก หมดใจก็ยกให้
เธออย่าได้โทษแรงดึงดูดของโลกกว้างไกล
แต่จงโทษแรงโน้มถ่วงของหัวใจ ที่มันรักเธอ

Thank : หนังสือกลอน สองเราคือรัก จากสำนักพิมพ์ ใยไหม
....................................................................................................


วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ของขวัญสุดโรแมนติก รับวันวาเลนไทน์


7 ของขวัญสุดโรแมนติก รับวันวาเลนไทน์
          เทศกาล แห่งความรักมาถึงอีกแล้วคร้า ไม่ว่าใครก็ตามที่จะใช้วันพิเศษนี้ บอกรักคนรู้ใจ หรืออาจจะเตรียมเรื่องพิเศษๆ เอาไว้เซอร์ไพรซ์ ล่ะก็ วันวาเลนไทน์นี่แหละคร้า ถือเป็นวันสุดพิเศษที่เหมาะแก่การทำสิ่งดีๆที่ได้คิดเอาไว้มากๆ เลย เราจึงมีตัวช่วยที่จะทำให้การบอกรักของคุณ สุดโรแมนติกและพิเศษยิ่งขึ้นไปอีกกับ 7 ของขวัญสุดโรแมนติกที่คนสำคัญของคุณเมื่อได้รับไปแล้วจะประทับใจไม่รู้ลืมเลยทีเดียว คือ

          ดอกไม้สักช่อ ใน เทศกาลแบบนี้ดอกกุหลาบอาจจะมีราคาแพงไปสักหน่อย เราอาจจะหาดอกไม้ชนิดอื่นให้แทน เพราะดอกไม้สวยๆที่มีความหมายดีๆก็มีเยอะไป แต่เน้นว่าควรจะเป็นดอกไม้สด อาจจะแอบเอาไปวางไว้เพื่อเป็นการเซอร์ไพรซ์ แนบการ์ดใบจิ๋วที่เขียนบอกรัก แค่นี้ก็พิเศษสุดๆแล้ว

          ช็อคโกแลต ถือเป็นของขวัญเบสิกที่หลายคนๆมอบให้กันในวันนี้ แต่มันอาจจะพิเศษมากกว่าคนอื่น ถ้าคุณได้เป็นคนลงมือทำมันเองกับมือ ผสมทุกส่วนด้วยความรัก รับรองเลยว่า ช็อคโกแลตของคุณจะหวานจนลืมขมไปเลย

          ของ hand made ที่ คุณตั้งใจทำให้ไม่ว่จะเป็นการ์ดน่ารักๆสักใบ กรอบรูปที่ใส่รูปเราสองคน หรืออะไรที่ใส่ไอเดียเข้าไปหน่อย อาจจะเป็นของที่ทำให้นึกถึงเรื่องราวของเราสองคน ยิ้มทุกครั้งที่เห็น ขอบอกว่าอันนี้เก๋สุดๆเลยนะ

          เครื่องประดับแทนใจต่างๆ ไม่ ว่าจะเป็น แหวน สร้อย จี้ กำไล หรื่ออื่นๆ ที่มอบให้เป็นของแทนใจ ให้ใส่ติดตัวไว้ประมาณว่าอยู่ใกล้กันตลอดเวลาไม่ห่างไปไหน ราคาอาจจะไม่ต้องแพงมาก เน้นน่ารัก สวยเก๋ ก็พอ

          น้ำหอม สามารถ บ่งบอกความโรแมนติกได้ดีทีเดียวเลยคร้า คุณอาจจะเลือกกลิ่นที่เค้าชอบ หรือกลิ่นที่ชวนให้หลงใหล ให้กลิ่นหอมๆช่วยเพิ่มความโรแมนติกให้คู่คุณดูนะ

          หา CD เพลงรักซึ้งๆสักแผ่น หรือใครที่สามารถขึ้นมาหน่อยอาจจะทำเป็น Music VDO เพื่อบรรยายความในใจผ่านบทเพลง โอ๊ยแค่คิดก็โรแมนติกแล้ว

          บรรยากาศขอบอก อันนี้เด็ดสุดๆเลยนะ เราอาจจะเนรมิตสถานที่ไหนสักแห่ง ตกแต่งด้วยดอกไม้สวยๆ เปิดเพลงรักคลอเบาๆ ดินเนอร์กันใต้แสงเทียน โรแมนติกสุดๆ เป็นใครอยู่ในสถานการณ์แบบนี้รับรองว่าป็นอันต้องใจละลายแน่ๆ

Thank : Lisa
.....................................................................................................

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หัวเผือก หัวมันกินเล่นๆ แต่ได้ประโยชน์จริง


          อาหารทานเล่นพื้นๆ ที่เรากินกันชนชินตั้งแต่เด็กๆ และบางครั้งยามท้องว่า เผือกและมันพวกนี้ก็สามารถช่วยให้เราอิ่มได้เลยทีเดียว  แต่เชื่อหรือไม่ว่าพืชพวกนี้มีประโยชน์กับเราอย่างไม่น่าเชื่อ ลองอ่านกันดูครับ

มันฝรั่งบำรุงสมอง (Potato) 
          ด้วยวิตามินบี 6 ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ผลิตสารสื่อประสาทอย่างเป็นปกติ เช่น เซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ และกาบา สารสื่อประสาทที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และอะดรีนาลีน สารสื่อประสาทที่ช่วยลดความเครียด ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ ½ -1 ถ้วยตวง (ทั้งประเภทบด และต้มกินทั้งหัว) ไม่ควรกินเกินกว่านี้ เพราะมีกรดแอล-แอสคอร์บิกอยู่ (หรือวิตามินซี) จะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารจนรู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ

มันต่อเผือกลดความดันโลหิต
          แม้ว่าการไดเอ็ตโลว์-คาร์บ จะลดความนิยมไปแล้ว อย่างไรก็ดี การศึกษาจาก University of Scranton ชี้ว่า หัวมันสีม่วงนั้นมีประโยชน์ดี โดยเฉพาะในคนอ้วนที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงด้วย โดยการกินมันต่อเผือกที่มีสีม่วงเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนจะทำให้ความดันโลหิตลดลงถึงร้อยละ 4.3

มันแกวป้องกันโรคหัวใจ (Jicama) 
          ด้วยกรดโฟลิกช่วยคุมปริมาณสารโฮโมซีสทีนในเลือดไม่ให้สูงเกินไป เพราะหากร่างกายมีสารโฮโมซีสเตอีนอยู่ในปริมาณสูงเกินไป หลอดเลือดจะถูกทำลาย โดยเฉพาะหลอดเลือดขนาดเล็ก เช่น หลอดเลือดหัวใจ ผลคือ หลอดเลือดจะตีบ และอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนอาจตายเพราะเลือดไม่ไหลเวียน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวัน คือ 1 ถ้วยตวง (120 กรัม)

เผือกบำรุงกระดูกและฟัน (Taro Root) 
          เผือกช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เพราะมีแคลเซียมสูง แต่เผือกดิบมีกรดออกซาลิกสูง ซึ่งเป็นกรดที่ดักจับแคลเซียมในอาหาร ก่อนกินจึงต้องผ่านกระบวนการความร้อนก่อนทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการต้ม อบ คั่ว ทอด หรือนึ่ง เพื่อเจือจางปริมาณกรดออกซาลิก เพราะหากไม่ได้นำไปทำให้สุกก่อน กรดออกซาลิกจะจับตัวกับแคลเซียมไปสะสมที่ไตในรูปของแคลเซียมออกซาเลต มีลักษณะเป็นก้อนนิ่วที่อาจส่งผลให้เกิดโรคนิ่วในไต และโรคเก๊าท์ (ข้อต่ออักเสบ) ได้ในที่สุด ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ ½ -1 ถ้วยตวง

แห้วบำรุงมวลกล้ามเนื้อ (Water Chestnut) 
          จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโด เผยว่า การบริโภคแร่ธาตุโพแทสเซียมประมาณ 4.7 กรัมต่อวัน จะช่วยบำรุงระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทให้ทำงานเป็นปกติ แห้วจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี เพราะแห้วเพียง ½ ถ้วยตวง ก็อุดมด้วยโพแทสเซียมสูงถึง 360 มิลลิกรัมแล้ว ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ ½ -1 ถ้วยตวง

          มันฝรั่ง มันเทศ มันแกว เผือก และแห้ว ถือเป็นผักที่อุดมด้วยสตาร์ช (Starch) หรือคาร์โบไฮเดรตที่เกิดขึ้นเองจากการสะสมตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังถือเป็นผักที่เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุชั้นดีอีกด้วย

Thank : kroobannok.com
....................................................................................................

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คำอวยพรที่ใช้ในวันตรุษจีน


          เด็ก ๆ หลายคนคงรอคอยวันนี้กันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะเป็นวันที่ญาติผู้ใหญ่จะให้ "อั่งเปา" หรือที่บางบ้านเรากันเรียกว่า "แต๊ะเอีย" ^^ เพื่อให้ลูกหลานเก็บไว้ เป็นศิริมงคลกับตัวเอง แต่เพื่อทำให้ญาติผู้ใหญ่ประทับใจเพิ่มมากขึ้น เรามาลองฝึกพูดภาษาจีนกันดีกว่าเนอะ ลองอ่านแล้วจำดูนะ รับรองว่าพูดและจำง่ายกว่าที่คิด

1. 新正如意 新年发财 (ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ) (ภาษาจีนกลาง) แต่ถ้าเป็นจีนแต๊จิ๋ว (ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้) หมายความว่า คิดหวังสิ่งใดขอให้สมหวังสมปรารถนาในปีใหม่นี้ มีแต่ความสุขมั่งคั่ง โชคดีร่ำรวยตลอดปี

2. 新年快樂 (ซินเหนียนไคว้เล่อ) หมายความว่า ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่

3. 恭贺新年 (กงเฮ่อซินเหนียน) หมายความว่า สุขสันต์วันปีใหม่

4. 恭喜发财 (กงซีฟาไฉ) หมายความว่า ขอให้ร่ำรวย

5. 日进斗金 (ยื่อจิ้นโต้วจิน) หมายความว่า ขอให้ชัยชนะ และเงินทองเข้ามาทุก ๆ วัน

6. 大吉大利 (ต้าจี๋ต้าลี่) หมายความว่า ค้าขายได้กำไร

7. 招财进宝 (เจาไฉจิ้นเป่า) หมายความว่า เงินทองไหลมาเทมา ทรัพย์สมบัติไหลเข้าบ้าน

8. 日日有见财 (ยื่อยื่อโหย่วเจี้ยนไฉ) หมายความว่า ทุกวันมีแต่ความร่ำรวย

9. 财源广进 (ไฉหยวนกว่างจิ้น) หมายความว่า เงินทองไหลมาเทมา

10. 年年有余 (เหนียนเหนียนโหย่วอวี๋) หมายความว่า เหลือกินเหลือใช้ทุกปี

11. 祝你顺利 (จู้หนี่ซุ่นลี่) หมายความว่า ขอให้คุณประสบความสำเร็จ

12. 福禄双全 (ฝูลวี่ซวงฉวน) หมายความว่า เป็นศิริมงคล ด้วยเงินทองและวาสนา

13. 祝你长寿 (จู้หนี่ฉางโส่ว) หมายความว่า ขอให้คุณอายุยืนยาว

14. 祝你健康 (จู้หนี่เจี้ยนคัง) หมายความว่า ขอให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง

15. 幸福如意 (ซิ่งฝูหรูอี้) ... มีความสุขสมปรารถนา

16. 祝你顺利 财源广进 万事如意 新正如意 新年发财 恭贺新年.

จู้หนี่ซุ่นลี่ ไฉหยวนกว่างจิ้น ว่านซื่อหรูอี้ กงเฮ่อซินเหนียน.

          ขอให้คุณประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมา คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนา ในทุกๆเรื่อง สุขสันต์วันปีใหม่จีน

Thank : http://variety.teenee.com/foodforbrain/50287.html
....................................................................................................

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มาช่วยให้ร่างกาย..ทำความสะอาดตัวเองตามธรรมชาติกัน

          ธรรมชาติบำบัด คือ การดูแลรักษา กาย ใจ โดยขบวนการธรรมชาติ ตั้งอยู่บนหลักว่าโรคทุกชนิด ทั้งร่างกายและจิตใจของคนเรา สามารถเยียวยารักษาตัวเองได้ ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพสมดุลปกติ โรคร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบตัน ภูมิแพ้ หืดหอบ ฯลฯ เกิดจากการดำเนินชีวิตที่ผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ และ รับประทานอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน เช่น เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ยาปฏิชีวนะ หรือ รับประทานยาหรือฉีดยาที่ทำจากสารเคมี สารเหล่านี้จะตกค้างอยู่ในร่างกายมาก หรือการใช้ชีวิตที่เครียดเกินไป หักโหมเกินไป กังวลเกินไป ออกกำลังกายไม่เพียงพอ พักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้น การดูแลสุขภาพของคนเราจะเน้น เรื่องอาหาร การรับประทานอาหารที่ดีก็จะทำให้มีสุขภาพดี สุขภาพของคนขึ้นอยู่กับ พฤติกรรมของการรับประทานอาหาร Bacteria ไม่มีผลทำให้เกิดโรคต่อร่างกาย การเจ็บป่วยของคนล้วนเกิดจากอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนที่คนเรารับประทานเข้าไป เรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเรียนรู้ 

          ขบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย มี 4 ทาง คือ ทางจมูก ทางเหงื่อ ทางปัสสาวะ และ ทางอุจจาระ คนเราควรหมั่นหายใจลึกๆ จะได้อากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด เพื่อนำออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และควรตากแสงแดดอ่อนๆ ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อดูดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีดูแลรักษาสุขภาพอย่างง่ายๆ ที่คนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ ในเวลาที่คนมีอาการเจ็บป่วยร่างกายจะเสียสมดุล ถ้าจะแก้ไขให้สมดุลก็ต้องปรับสภาพทั้งร่างกายและจิตใจ

          ร่างกายมีกลไกกำจัดสารพิษอยู่ในตัวเอง เช่น เวลาไอ จาม หรือ มีผื่น วิชาธรรมชาติบำบัด อธิบายว่าไม่ใช่อาการป่วยเป็นโรค แต่ร่างกายกำลังทำความสะอาดตัวเองตามธรรมชาติ เวลามีสารพิษเข้าไปในปอด ร่างกายก็จะจาม การจามแรงๆเป็นการขับพิษออกจากร่างกาย ซึ่งธรรมชาติก็ช่วยขับพิษอยู่แล้ว การรับประทานยาแก้ไอ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถขับสารพิษออกมาได้ การที่เราเป็นไข้ก็เป็นขบวนการทำลายเชื้อโรค เมื่อมีอาการเจ็บคอ อาการไอ ก็ให้ใช้วิธีธรรมชาติบำบัด เวลามีอาการท้องเสีย วิชาธรรมชาติบำบัดอธิบายว่า เป็นการทำความสะอาดของร่างกายครั้งใหญ่ การถ่ายให้หมดจะช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย แต่คนเราไม่เข้าใจธรรมชาติ นึกว่าท้องเสียเป็นอาการของโรค ก็เลยไปซื้อยามารับประทานให้หยุดถ่าย อาการท้องเสียหยุดทันที ทำให้อาหารปนเปื้อนสารพิษที่รับประทานเข้าไป ซึ่งร่างกายต้องการขับออก แต่เราไปรับประทานยาให้หยุดถ่าย ทำให้ร่างกายกักสารพิษเอาไว้ ซึ่งไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกต้องคืออย่าไปรับประทานยาให้หยุดถ่าย ถ้าเรารับประทานยาให้หยุดถ่าย พิษต่างๆก็จะซึมเข้าสู่ร่างกาย หากซึมผ่านเส้นเลือดไปที่ผิวหนังก็จะเป็นผื่น ซึมไปที่ไตก็จะเป็นโรคไต ซึมไปที่ระบบหายใจก็จะเป็นหืดหอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ต้องใช้ธรรมชาติบำบัดให้ขับพิษออกให้หมด

          แนะนำให้รับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่แนะนำให้อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ เช่น หมู ปลา ท่านบรรยายว่าถ้านำเนื้อสัตว์ไปทิ้งไว้ในตู้หลายๆวันก็จะมีกลิ่นเหม็นเน่ามีสารพิษ เหมือนกับ คนที่รับประทานเนื้อสัตว์ไปหมักหมมอยู่ในลำไส้ ร่างกายก็จะได้รับสารพิษนั้นด้วย

          ในกรณีคนที่ปวดศีรษะเนื่องจากเป็นเนื้องอกที่สมอง จริงๆแล้วกลไกของร่างกายต้องการให้หยุดทำงาน หากรับประทานยาแก้ปวดศีรษะ อาการปวดบรรเทาก็ยังคงทำงานต่อไปได้ เนื้องอกก็จะลุกลามต่อไป จึงควรที่จะรักษาโดยธรรมชาติบำบัด (Health Life Style) การรับประทานยาต่างๆ เช่น Brufen, Paracetamol, Penicillin, Tetracycline ซึ่งจะมีพิษต่อตับ และไต ยาจะให้ผลดีในระยะสั้น แต่จะเกิดผลเสียในระยะยาว

          ทุกวันนี้คนเราป่วยเพราะมีสารพิษตกค้างในร่างกาย การบริโภคอาหารแต่ละชนิดใช้เวลาในการย่อยไม่เหมือนกัน เช่น เนื้อสัตว์ใช้เวลาในการย่อยนานถึง 12 ชั่วโมง ขณะที่ผักดิบใช้เวลาย่อย 2 ชั่วโมง 30 นาที ส่วนน้ำผลไม้ใช้เวลาย่อยเพียง 1 ชั่วโมง

          วิธีการอดอาหารเพื่อล้างพิษ เป็นทางเลือกหลักของวิชาธรรมชาติบำบัด บางคนอาจอดอาหาร 7 วัน บางคนอดอาหาร 14 วัน แต่บางคนอาจต้องอดอาหารถึง 21 วัน แล้วแต่อาการของโรค ก่อนการอดอาหารต้องเตรียมความพร้อมก่อน โดยให้รับประทานผักและผลไม้เพื่อปรับสภาพร่างกาย 3 วัน หลังจากนั้น 4 วันแรก ให้ดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว อีก 3 วัน ต่อมาให้ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว และ 3 วันสุดท้าย ให้ดื่มน้ำผลไม้ จากนั้นค่อยๆปรับสภาพร่างกายโดยให้รับประทานผักสดและผลไม้ แล้วกลับมาใช้ชีวิตปกติตามเดิม

Thank : orrawee.com
............................................................................................