แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 และภาพรวมปี 2555 โดยระบุว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ในเดือน ม.ค.
พบว่า ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการโดยรวมเพิ่มขึ้น 6.4% อย่างไรก็ตามในส่วนสถานประกอบการขนาดเล็กมาก ที่มีคนงาน 0-9 คน มีจำนวนแรงงานในระบบ 5.12 ล้านคน มีต้นทุนจากค่าจ้างเพิ่มขึ้น 17.81% ขณะที่สถานประกอบการขนาดเล็ก มีคนงาน 10-49มีการจ้างงาน 2.98 ล้านคน มีต้นทุนประกอบการเพิ่มขึ้น 5.57% ส่งผลให้สถานประกอบการที่เป็นเอสเอ็มอี หรือสถานประกอบการที่จ้างงาน 1-199 คน มีจำนวนแรงงาน 9.99 ล้านคน มีต้นทุนเพิ่ม 8.95%
ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติการเลิกกิจการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 มีนิติบุคคลจดทะเบียนเลิกกิจการ 7,221 ราย เพิ่มขึ้น26.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และคิดเป็น 0.46 เท่า ของกิจการจดทะเบียนตั้งใหม่ นับเป็นจำนวนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับการจดทะเบียนเลิกกิจการที่ในช่วงไตรมาส 4 ในระยะ 9 ปี ที่ผ่านมา จะอยู่ที่ประมาณ 2,500-3,000 ราย และ
การเลิกจ้างดังกล่าว ยังสูงกว่าตัวเลขการเลิกกิจการในช่วงของน้ำท่วม ที่มีการปิดกิจการ 5,703 ราย
“ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ทั้งหมดว่า ผลกระทบการเลิกจ้างมาจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท เพียงอย่างเดียว แต่ยอดการปิดกิจการที่เพิ่มขึ้น แม้ขณะนี้ยังไม่ทำให้อัตราการว่างงานโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่ในระยะต่อไปจะมีผลกระทบต่อแรงงานจำนวนหนึ่งที่รับผลกระทบจากการปิดกิจการดังกล่าวโดยเฉพาะแรงงานไร้ฝีมือ” นางสุวรรณี กล่าว
นางสุวรรณีกล่าวว่า ในส่วนของหนี้สินครัวเรือนไตรมาส 4ปี 2555 พบว่า
ยอดคงค้างสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 21.6% คิดเป็นมูลค่า 2.91 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น 33.9% ตามยอดการเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์ในไตรมาสที่ 4 ที่มียอดขาย รถยนต์เพิ่มขึ้น 312.9% และสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ เพิ่มขึ้น 29.4% โดยเฉพาะสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันรวมทั้งลิสซิ่ง มียอดคงค้างรวม 2.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% และสินเชื่อบัตรเครดิตมียอดคงค้าง 2.61 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.3%
นางสุวรรณียังระบุว่า การผิดนัดชำระหนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
โดยในไตรมาส 4 ปี 2555 มูลค่าสินเชื่อภายใต้การกำกับที่ผิดนัดชำระเกิน 3 เดือนขึ้นไป เพิ่มขึ้น 28.1% นอกจากนั้น หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จากสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 20.5% มูลค่า 5.65 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 23.3% ของเอ็นพีแอลรวม ซึ่งทำให้จะต้องระวังและติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
Thank : teenee.com
.........................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น