tororichclub

tororichclub

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

"น้ำมันหมู" ของดีที่เราไม่เคยรู้มาก่อน...

สรรพคุณ "น้ำมันหมู" ของดีที่เราไม่เคยรู้มาก่อน


เป็นระยะเวลายาวนาน บางคนร่วมทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ที่เข้าใจผิดคิดว่า "น้ำมันพืช" นั้นดีกว่า "น้ำมันหมู" ในทุกทาง อย่างที่เราๆ ท่านๆ เคยได้ยินได้ฟังสารพัด "คุณประโยชน์" โดยไร้พิษภัยต่อสุขภาพของน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated vegetable oil) ที่ผ่านกรรมวิธี อย่างเช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันงา เป็นต้น
       
       และ "น้ำมันหมู" คือภัยร้ายมหันต์! เนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง นั่นคือสิ่งที่ถูกบอกกล่าวมาแล้วซ้ำๆ
       
       แต่กระนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการนิยมเลือกใช้น้ำมันพืช กลับส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย อาทิ โรคเบาหวาน คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ โรคหัวใจ ความดัน ฯลฯ นั่นคือคำถามที่น่าคิดต่อ ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร 
วันนี้ เราจึงหยิบเอาคุณประโยชน์ข้อดีของ "น้ำมันหมู" มาเสนอเป็นทางเลือก ผ่านถ้อยคำของนายแพทย์วีระชัย สิทธิปิยะสกุล ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 9 พิษณุโลก ที่ได้แชร์ประสบการณ์ของตัวเองไว้และมีการแชร์ต่อๆ กันไปในโลกออนไลน์
       
       "ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ในยุคนั้น คงเหมือนกับครอบครัวของผม ที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง และเชื่อตามโฆษณาที่มีการยิงโฆษณาถี่มากในสมัยนั้น เพื่อพยายามชักจูงให้ผู้คนหันมารับประทานนํ้ามันพืชแทนนํ้ามันหมู โดยการโฆษณาในสมัยนั้นจะใช้นํ้ามันพืชและนํ้ามันหมูแช่ใส่ตู้เย็นเปรียบ เทียบ ทำให้เห็นว่านํ้ามันพืชไม่เป็นไข ส่วนนํ้ามันหมูจะเป็นไข
       
       "แล้วก็จะชักจูงต่อเนื่องด้วยวารสารทางการแพทย์ บทวิจัยทางการแพทย์ การออกสื่อต่างๆ โดยแพทย์และนักวิชาการที่น่าเชื่อถือ ทั้งที่ความจริงแล้วคนเหล่านั้นน่าจะไม่ได้วิจัยหรือทราบอะไรจริง แค่ทราบมาจากในสถาบันการเรียน จากตำราฝรั่ง จากการวิจัยหลอกลวงของฝรั่ง คือวงการแพทย์ของอเมริกาใช้การล่อลวงนี้เพื่อจะทำให้อุตสาหกรรมถั่วเหลือง ของอเมริกาเติบโตขึ้น ซึ่งเรื่องนี้วงการแพทย์อเมริกาเพิ่งออกมายอมรับ ออกบทความว่า "ขอโทษที่หลอกลวงพลโลกให้หลงเชื่อเปลี่ยนมารับประทานนํ้ามันถั่วเหลืองมาก ว่า 60 ปี..."
       
       "ที่บ้านผมจึงเปลี่ยนกลับมาซื้อมันหมูมาเจียวเป็นนํ้ามันหมู เพื่อทำอาหารเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา ก็สังเกตว่าคนในบ้านไม่เห็นมีใครเป็นอะไรมากมาย อาการโรคผิดปกติทางกายที่หลายคนเคยเป็น ก็ดูดีขึ้น จากการตรวจร่างกายเป็นระยะ การเจ็บป่วยที่มีเป็นบ้าง นานๆ ครั้งก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว"
       
       ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผลออกมาเป็นเช่นเนื่องจาก "น้ำมันหมู" เหมาะที่จะใช้กับมนุษย์ เนื่องจากอวัยวะในร่างกายหลายๆ อย่างมีส่วนคล้ายคลึงกัน และในวงการแพทย์ยังมีความพยายามที่จะเปลี่ยนถ่ายอวัยวะภายในของหมูกับคนอีก ด้วย
       
       "การเจียวนํ้ามันหมู ก็ใช้วิธีแบบบ้านๆ ไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องผ่านขบวนการอุตสาหกรรม คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ผมหันมาใช้นํ้ามันหมู และก็รวมถึงรับประทานของทอดน้อยลงด้วย เพราะเมื่อใช้น้ำมันหมูแล้วทำให้ใช้น้ำมันน้อยลง ข้อสังเกตอย่างเวลาที่เราทำกับข้าว การใช้นํ้ามันหมูจะใช้น้อยกว่านํ้ามันพืชครึ่งหนึ่ง แต่ก็ทำให้กับข้าวดูน่าทานมากกว่าและนํ้ามันหมูทำกับข้าวก็หอม อร่อย กว่าทำกับข้าวจากนํ้ามันพืชมากด้วย" 

นายแพทย์ วีระชัย ยังบอกเสริมว่า เพราะน้ำมันพืชนั้นไม่เหมาะกับสภาวะความร้อนในร่างกายและการสกัดน้ำมันพืช ยังต้องใช้ความร้อนสูงมาก ใช้สารเคมีหลายขั้นตอน อีกทั้งขณะที่เราใช้น้ำมันพืช หลายสิบปี จะสังเกตได้ว่า "ห้องครัว" สกปรกมาก
       
       "ท่านลองนำนํ้ามันพืชและนํ้ามันหมู ใส่แก้วสักแก้วละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปตากแดดอาทิตย์หนึ่ง ผมว่าท่านน่าจะเห็นแล้วความแตกต่าง
       
       "นอกจากนี้ ก็ลองล้างเตาแก๊ซ ล้างพัดลมดูดอากาศ จะพบว่ามีคราบสีดำ แข็ง เหนียวหนืด ล้างไม่ออกง่ายๆ ต้องใช้การขูด ขัดอย่างรุนแรงร่วมกับการใช้นํ้ายากัดถึงจะออก แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้นํ้ามันหมู ทำให้ห้องครัวสะอาดมากขึ้น ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น มีละอองไขมันไปเกาะข้างฝาและหลอดไฟน้อย" 
       
       "คือผู้ป่วยหลายๆ รายที่มีอาการเจ็บป่วย รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย แพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนโบราณทั้งจีนหรือไทย แนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยน อาการป่วยก็ทุเลาหายได้ เพราะเหตุใด.. ผมก็ไม่กล้าจะกล่าวว่า แพทย์แผนปัจจุบันหลายท่าน ที่มีประสบการณ์การรักษาโรคมายาวนานและศึกษาองค์ความรู้รอบตัวมากขึ้น เริ่มแนะนำให้ผู้ป่วยบางเคส ที่รักษาไม่หาย เป็นซํ้าๆ ซากๆ ให้หันมารับประทานนํ้ามันหมูแทนนํ้ามันพืช" 

"แต่การทานก็ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมพอเพียงต่อความต้องการของร่างกายเท่า นั้น เพราะไขมันเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย ขาดไม่ได้ และการรับประทานอาหารก็ไม่ใช่ว่าจะรับประทานแค่อาหารผัด อาหารทอด เราควรรับประทานอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยหรือสลับกันไปด้วย เช่น ต้ม ยำ นึ่ง แกง ย่าง หรือการทานสดๆ
       
       "เพราะไขมันในอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย เราไม่ใช่แค่ได้รับจากการใช้นํ้ามันในการทำอาหารเท่านั้น แต่เรายังได้รับไขมันจากตัวอาหารนั้นๆ อีกด้วย เช่น นํ้ามันในเนื้อ หมู กุ้ง ปู ปลา ไก่ และธัญพืชเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ"
       
       ท้ายที่สุด ก็ใช่ว่าต้องใช้แต่ "น้ำมันหมู" เท่านั้นในการประกอบอาหารรับประทาน แต่ก็ควรจะเรียนรู้วิธีการใช้ที่เหมาะสม นอกจากตามประเภทการใช้งานแต่ละอย่างก็ควรใช้ น้ำมันอื่นๆ ร่วมด้วย
       
       "นํ้ามันพืช ปัจจุบันนี้ที่บ้านผมก็มีใช้ทำอาหารอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่จะใช้ทำสลัดผัก และ ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการหมักหมูนํ้ามันงาเวลาจะย่างหมูแดง นอกจากนั้นผมจะใช้นํ้ามันพืชมากในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจและทุกวันพระจีน เพราะผมจะทานเจเดือนละ 2 วัน ก็ต้องใช้นํ้ามันพืชเช่นกันครับ
       
       "แต่นํ้ามันพืชที่ผมใช้ ผมก็จะเลือกใช้นํ้ามันพืช "สกัดเย็น" เท่านั้น เช่น นํ้ามันงา นํ้ามันรำข้าว นํ้ามันมะกอก นํ้ามันมะพร้าว สลับกันไปครับ" 
 
 
ข้อมูล : HappyPhoneMBKfanpage
 
 

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

เปิดเผยสูตร "โจ๊ก เนรัญชลา" อร่อยแต่ไม่ง้อแฟรนไชส์
จาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา

          โจ๊ก หนึ่งในเมนูอาหารเช้าที่คนไทยนิยมกินกันมายาวนาน แต่การจะทำโจ๊กกินเองหลายคนรู้ดีว่า โจ๊กขึ้นชื่อเรื่องขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก จะทำออกมาให้อร่อยไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เพราะบ่อยครั้งที่เราซื้อโจ๊กจากร้านมากิน มักจะเจอกับปัญหาโจ๊กใส ไม่เข้มข้น หมูน้อยเครื่องน้อย ไม่มีกลิ่นหอม วันนี้กระปุกดอทคอมเลยมีสูตรการทำโจ๊กอร่อย ๆ มาฝากจาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา เป็นสูตรครบเครื่องชัด ๆ ทุกกระบวนท่า สามารถนำไปดัดแปลง (หรือไม่ต้องดัดแปลง) แล้วนำไปทำขายได้อีกด้วย
ครั้งแรกกับการเปิดเผยสูตรลับ "โจ๊ก เนรัญชลา" อร่อยแต่ไม่ง้อแฟรนไชส์ จาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา
          สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ทุกท่าน เนื่องจากมีหลายเสียงส่งข้อความกันเข้ามามากในเฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา ว่าอยากจะได้สูตรโจ๊กเอาไปทำมาหากินกันเสียเหลือเกิน วันนี้ดิฉันจึงได้จังหวะแกะสูตรโจ๊กของตัวเองขึ้นมาให้ ซึ่งถ้าหากอ่านแล้วพบเจอกับความแตกต่างจากโจ๊กสูตรอื่น ๆ ก็ไม่ต้องข้องใจอะไรไปนะคะ เพราะคำว่าสูตรลับก็ย่อมมีบางอย่างที่ไม่เหมือนใครอยู่แล้ว แต่ดิฉันจะเอามาแจกทุกท่านฟรี ๆ ให้นำไปทำกินหรือทำขายโดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อแฟรนไชส์ราคาแพง ๆ กันค่ะ
          แต่ เนื่องจากสูตรนี้ดิฉันให้ท่านฟรี ๆ เพื่อเป็นวิทยาทาน ดังนั้นดิฉันจึงอยากจะขอร้องว่า อย่านำสูตรอาหารต่าง ๆ ที่ให้ไป ไปขายสูตรต่อ เมื่อท่านได้ไปฟรี ท่านก็ควรจะให้ผู้ที่อยากได้ฟรีเช่นกัน ดังนั้นจงอย่าคิดฉวยโอกาสกับผู้อื่นนะคะ
วัตถุดิบและเครื่องปรุงมีดังนี้... (จะทำมากหรือน้อยกว่านี้ ก็คูณ-หารสัดส่วนเอาค่ะ)
  ส่วนผสม เครื่องสำหรับใส่โจ๊ก
          ตับหมู 300 กรัม
          เซี่ยงจี๊ 300 กรัม
          ไส้อ่อน 500 กรัม
          กระเพาะหมู
          แป้งมัน
          น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ
          เกลือป่น
          ขิงแก่ทุบ 1 ท่อน


  ส่วนผสม หมูบดหมัก
           หมูบด 600 กรัม
           กระเทียมจีนแกะเปลือก 10 กลีบ
           พริกไทยขาว 40 เม็ด
           ซีอิ๊วขาว (สูตร 5) 2 ช้อนโต๊ะ
           น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
           เบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา


  ส่วนผสม น้ำซุป
          น้ำเปล่า 12 ลิตร
          กระดูกหมูคาตั้ง ทุบให้หักครึ่ง 4 ท่อน
          รากผักชี 5 รากใหญ่
          ขิงแก่ (น้ำหนักชิ้นละ 50 กรัม) 2 ชิ้น


  ส่วนผสม หมี่กรอบสำหรับโรยหน้า
          เส้นหมี่ขาวอบแห้ง
          น้ำมันพืช


  ส่วนผสม ข้าวโจ๊ก
          ปลายข้าวหอมมะลิใหม่ 450 กรัม (แต่วันนี้ดิฉันใช้เป็นข้าวกล้องปั่นหยาบ ๆ นะคะ)
          น้ำซุป 30 ถ้วยตวง
          เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
          ผงปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยว ซองสีเขียวอ่อน 4 ช้อนโต๊ะ (ยี่ห้อไปตามหาเอาที่ตลาดและซุปเปอร์มาร์เกตเอานะคะ)
          หมูบดปรุงรสที่เตรียมไว้


  เครื่องเคียงอื่น ๆ
          ต้นหอมซอย
          ขิงซอย
          ไข่ลวก
          พริกไทยป่น


 1. การเตรียมเครื่องใส่โจ๊ก



          1. แล่ตับให้เป็นชิ้นบาง ๆ นำไปคลุกเคล้ากับแป้งมัน (สัดส่วนโดยประมาณ ตับ 300 กรัม ต่อแป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะพูน) ขยำให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 30 นาทีแล้วนำมาล้างแป้งออกให้สะอาด จากนั้นจึงนำไปลวกรอไว้
          2. นำเซี่ยงจี๊มามาผ่าครึ่งตามยาว ใช้ปลายมีดเลาะเอาผังผืดสีขาวด้านในออก ล้างให้สะอาด แล่เป็นชิ้นบาง ๆ นำไปคลุกเคล้ากับแป้งมัน (สัดส่วนโดยประมาณ เซี่ยงจี๊ 300 กรัม ต่อแป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะพูน) ขยำให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 30 นาที แล้วนำมาล้างแป้งออกให้สะอาด จากนั้นจึงนำไปลวกรอไว้เช่นเดียวกันกับตับ **หรืออาจจะทำความสะอาดให้เสร็จทีเดียว แล้วตั้งน้ำลวกพร้อม ๆ กันก็ได้ค่ะ**
          3. ไส้อ่อน ใช้สายยางสะอาดต่อกับก๊อกน้ำ สวมไส้อ่อนเข้ากับปลายสายยางด้านหนึ่ง บีบให้แน่นแล้วเปิดน้ำแรง ๆ เพื่อให้แรงดันน้ำชะล้างไขมันและความสกปรกออกมาจากไส้ จากนั้นบีบเอาน้ำออก ขยำไส้กับแป้งมันและน้ำส้มสายชู (สัดส่วนโดยประมาณ ไส้อ่อน 1/2 กิโลกรัม ต่อน้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ และแป้งมัน 5 ช้อนโต๊ะ) ขยำทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยวิธีใช้สายยางเหมือนครั้งแรกให้สะอาด จากนั้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
          4. ผ่าครึ่งกระเพาะหมูแล้วแบะข้างในออก ล้างน้ำเปล่าให้สะอาด จากนั้นใช้เกลือป่นขัดถูให้ทั่ว ตามด้วยการถูด้วยแป้งมัน จากนั้นล้างน้ำออกให้สะอาด นำไปต้มในน้ำเดือดที่ใส่เกลือป่นลงไปเล็กน้อย พร้อมกับขิงแก่ทุบ 1 ท่อน โดยอาจต้มพร้อมกับไส้อ่อน พอเปื่อยนุ่มจึงนำขึ้นมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ

2. การเตรียมหมูบดหมัก

โขลกกระเทียมจีนกับพริกไทยขาวให้ละเอียด

จากนั้นใส่เนื้อหมูบดลงไปโขลกให้เหนียวเข้ากันดี

ใส่ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย และเบคกิ้งโซดาลงไป

โขลกนวดให้เข้ากัน ใส่ภาชนะปิดฝาหมักทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง

3. การเตรียมน้ำซุป


          1. ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟต้มให้เดือด
          2. พอน้ำเดือดแล้วใส่กระดูกหมูลงไป ปิดฝาต้มให้เดือดอีกครั้ง3. ลดไฟลงให้เหลือไฟอ่อน ใส่รากผักชีลงไปต้มด้วยไฟอ่อน ๆ ต่อไปอีก 60 นาที
          3. พอครบเวลาจึงใส่ขิงแก่ลงไปแล้วปิดฝาต้มไฟอ่อนต่ออีก 30 นาที (ต้มไปเรื่อย ๆ กะว่าให้น้ำลดลงเหลือประมาณ 8-10 ลิตร) จึงยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ให้เย็น
          หมายเหตุ : สูตรนี้เราจะไม่ใช้น้ำตาลเพราะเราจะใช้ความหวานจากการเคี่ยวกระดูกหมูแทน แต่ถ้าใครชอบใส่ก็สามารถใส่ได้แต่ไม่ควรเกิน 40 กรัม

4. การเตรียมหมี่กรอบไว้โรยหน้าโจ๊ก



คลี่เส้นหมี่ อบแห้งออกจากกัน จากนั้นนำกระทะตั้งบนเตา ใส่น้ำมันพืชลงไป (ในปริมาณที่ค่อนข้างมากสักหน่อย) รอจนน้ำมันร้อนจัดแล้วหรี่ไฟลง นำเส้นหมี่ลงทอดอย่างรวดเร็ว แล้วนำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พักรอไว้

5. การต้มโจ๊ก


1. ล้างปลายข้าวให้พอหมดฝุ่น จากนั้นตักน้ำซุปที่เย็นแล้วใส่ลงไป 30 ถ้วยตวง นำขึ้นตั้งไฟต้มให้เดือด ระหว่างนี้ให้หมั่นคนเป็นระยะ ๆ พอเดือดแล้วจึงหรี่ไฟอ่อน ตุ๋นข้าวให้เมล็ดบานสุกนุ่มและมีลักษณะเหนียวข้น
          ***หาก รู้สึกว่างวดเกินไปไปให้เติมน้ำซุปทีละน้อย เวลาที่โจ๊กของเราข้นแล้วตอนนี้ให้คอยหมั่นคนหน่อยนะคะ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะติดก้นหม้อและไหม้ได้ค่ะ***
          หมายเหตุ : แต่ถ้าเป็นข้าวกล้องแบบเต็มเมล็ดจะต้องล้างข้าวก่อนแล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นจึงนำมาปั่นหยาบ ๆ แล้วจึงนำไปต้มค่ะ


2. ใส่เกลือป่นลงไป ตามด้วยผงปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยวซองสีเขียว
          หมายเหตุ : ผง ปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยวซองสีเขียว ตามภาพตัวอย่าง ซึ่งขออนุญาติไม่บอกยี่ห้อนะคะเดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดคิดว่าได้ค่าโฆษณาจากผู้ ผลิต ตอนนี้ยังไม่มีสปอนเซอร์สนับสนุนนะคะ แกะสูตรให้แฟนเพจแต่ละครั้งเนรัญชลาใช้ทุนตัวเองทั้งนั้นค่ะ กินไม่หมดก็แจกชาวบ้านเป็นทาน เพราะมันเยอะ สำหรับผงปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยวยี่ห้อนี้หาได้ไม่ยากนะคะ เพราะมีขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป


3. ปั้นหมูที่เราหมักไว้เป็นก้อน ๆ ใส่ลงไป คอยคนไปเรื่อยจนกระทั่งหมูสุก ชิมรสชาติดูให้พอดีก็ใช้ได้ค่ะ

  วิธีการจัดเสิร์ฟ


ตักโจ๊กใส่ ชาม ใส่ตับหมูลวกสุก เซี่ยงจี๊ลวกสุก ไส้อ่อนต้ม กระเพาะต้ม และไข่ลวกลงไป โรยด้วยต้นหอมซอย ขิงซอย พริกไทยป่นเล็กน้อย และหมี่กรอบตามชอบใจ

จุดเด่นของโจ๊กสูตรนี้ก็คือ...

          หมู บดที่เราใส่โจ๊กจะมีกลิ่นหอมของกระเทียมพริกไทยในสัดส่วนที่ละมุนกำลังเหมาะ ตัวหมูมีรสชาติดีและนุ่มมาก แตกต่างจากการใช้หมูเด้งที่ปัจจุบันร้านโจ๊กทั่วไปมักจะนิยมใช้กันเนื่องจาก สะดวก
          ตัวโจ๊กข้นเหนียวและหอมยางข้าวใหม่ มีรสชาติอยู่ในตัวจนไม่ต้องปรุงเพิ่ม
          สำหรับเครื่องในก็ไร้กลิ่นเหม็นค่ะ
          จัด เต็มในทุก ๆ ขั้นตอนเลยสำหรับการทำโจ๊ก จะทำกินก็ได้ ทำขายก็ดีแบบนี้ เพื่อน ๆ ก็ลองนำไปลองทำกันดูนะคะ ได้เรื่องอย่างไรก็ลองนำมาแชร์กันบ้าง


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา