tororichclub

tororichclub

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เอาสูตร แจ่วฮ้อน มาฝาก...

สูตรแจ่วฮ้อน อร่อย แซ่บ จัดจ้านแน่นอน!!
การทำน้ำซุป
1.การเตรียมนำซุปใส นำกระดูก วัว หมู โครงไก่ เคี่ยวในน้ำเดือดฝรั่งเรียกน้ำสต๊อกนั่นแหละ เคล็ดลับมันอยู่ตรงกระดูกของสัตว์ทั้ง 3 ประเภทนี่ ที่ทำให้มันกลมกล่อมจนคุณต้องตะลึง ค่อยๆตักฟองมันออกตอนแรกให้ใช้ไฟแก่ แล้วค่อยๆลดไฟลงมา เป็นกลาง และไฟอ่อนๆเคียวไปเรื่อยๆจนอร่อยหวานน้ำต้มกระดูก (ช่วงนี้อย่าปิดฝาหม้อ เพราะน้ำมันจะขุ่น และมีกลิ่นคาว)

เคล็ดลับ : กระดูกทั้ง 3 ชนิด และ ไม่ปิดฝาหม้อ

2.นำกระเทียมดอง พริกชี้ฟ้า หอมแดง กระเทียมสด ผิวมะกรูด ใบโหรพา นำมาปั่นให้ละเอียด หรือสับให้ละเอียด ผิวมะกรูดนั้นต้องการดับกลิ่นคาวและหอมเล็กน้อยเท่านั้น 

เคล็ดลับ : ใบโหระพา และผิวมะกรูดทำให้ดับคาวของเนื้อ ดีนัก

3.นำน้ำซุปใสมาตั้งหม้อให้เดือด ใส่เครื่องตุ๋นยาจีนลงไปควรใช้เครื่องตุ๋นที่มีคุณภาพหน่อย เค้าขายเป็นชุดๆ ประมาณ 20 บาท บางทีหาไม่ได้ก็หาเครื่องตุ๋นพะโล้ 5 บาท 10 บาท ตามแผงก็ได้ต่างกันนิดหน่อย ควรมัดในห่อผ้าด้วย แล้วก็นำวัตถุดิบจากข้อ 2 มาใส่ลงไปให้รสชาติประมาณว่าจะปรุงแกง นำเศษเนื่อติดมันหรือเนื้อที่ใช้ต้มมาสับ ให้ละเอียดสัดส่วนก็เท่าๆกับเราจะทำต้มจืดหมูสับ (อย่าใส่ผ้าขี้ริ้วหรือเครื่องใน มันจะกลายเป็นรสต้มแซ่บทันทีไม่เข้ากับยาจีน) นำลงหม้อคนให้เข้ากันเคี่ยวไฟไปเรื่อยๆจน นานขนาดไหนจนกว่าเนื้อที่เราใส่ลงไปจะเป็นเนื้อเปื่อย

เคล็ดลับ : ความหอมของเครื่องเทศประเภทเครื่องตุ๋นยาจีน จะหมดไปอย่างสิ้นเชิงถ้าท่านใส่ตะไคร้ หรือข่าลงไป และการปรุงรส ต้องใช้ซ้อสถั่วเหลือง น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว เกลือเท่านั้น อย่าให้เค็ม! และต้องเคี่ยวเนื้อให้เปื่อยจริง ถ้าน้ำแห้งก็เติมน้ำซุปใสที่เตรียมใว้

4.แกะกระเทียมเป็นกลีบๆลอกเปลือกออกให้ขาวบุบพอแตกซักกำมือควรเป็นกระเทียมหัวใหญ่ๆนั่นแหล่ะโยนลงไปในหม้อที่เคี่ยวเนื้อและเครื่องในข้อ 2 จนได้ที่ นำข้าวคั่วต้องเป็นข้าวเหนียวคั่วเท่านั้นอันนี้อนุโลมเป็นข้าวอื่นไม่ได้เลย เทลงไปในหม้อ คนด้วยไม้พายหรือทับพีให้เข้ากัน เติมน้ำซุปใส คนไปเรื่อยๆจนข้าวคั่วกลายเป็นโจ๊กเอาขนาดนั้น น้ำแจ่วฮ้อน ของเราก็จะมีสีน้ำตาลเข้ม มีมันของเนื้อปนอยู่กลิ่นหอมน่ารับประทานอย่างยิ่ง (เก็บใว้ในตู้เย็นได้เป็น 2 อาทิตย์เลยนะ ถ้า Pack อย่างดี)

เคล็ดลับ : อย่าให้ข้าวคั่วติดกระทะควรใช้ไฟอ่อนและคนด้วยไม้พายจะดีกว่าเพราะไม่ครูดกับหม้อ

เครื่องปรุง น้ำจิ้มแจ่วฮ้อน
1.สูตรเปรี้ยว ผสมน้ำมะนาว 2 ลูก พริกป่น 1 ช้อนชา น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา คนให้เครื่องปรุงทุกอย่างเข้ากัน 

2.สูตรขม น้ำดีวัว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ พริกป่น 1 ช้อนชา เกลือป่น 1 ช้อนชา ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ หอมแดงซอย 3 หัว ตะไคร้-ใบมะกรูด หั่นซอย ตามใจชอบ

เครื่องประกอบแจ่วฮ้อน
เนื้อ (ส่วนที่อร่อยที่สุดเค้าเรียกเนื้อขาลายก่อนหั่นควรน็อกโดยการเช่เกือบแข็งจะได้หั่นง่ายหน่อยและเวลาลวกเนื้อจะกรอบไม่เหนียว) หั่นตามขวางให้เป็นแผ่นบาง ๆ ตับ ผ้าขี้ริ้ว ไส้ ผักกะหล่ำปลี ผักบุ้ง ใบโหระพา และวุ้นเส้นมีเท่านี้ค่ะ วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ลองทำทานกันดู...

Thank : อร่อยแบบบ้านๆ

................Toro Richclub................

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แก้ผิวด่างดำด้วย "มะละกอสุก" ...



ปัญหา แผลเป็น รอยดำ เวลาอยากจะใส่กระโปรงสั้นหรือกางเกงขาสั้นในวันที่อากาศร้อนๆ ทีไร ก็อายขาลายๆ ของตัวเอง สุดท้ายก็ต้องหยิบกางเกงขายาวมาใส่ปกปิด 

เรามีวิธีช่วยลบรอยแผลเป็นแบบโฮมเมด นั่นคือการใช้ มะละกอสุก ที่ หาได้ตามตลาดบ้านเรา ลองหันมาใช้วิธีการบ้านๆ แบบไม่ต้องเปลืองเงิน เปลืองแรงอะไรเลย เพียงแค่ใช้เวลาก่อนอาบน้ำเพียงห้านาทีเท่านั้นเอง

ขอเตือนว่า ใครที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ไม่เหมาะกับวิธีการนี้นะคะ และที่สำคัญ ห้ามใช้สูตรนี้กับใบหน้าเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผิวหน้าบาง จนทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ซึ่งก่อให้เกิดฝ้า กระ ตามมาได้ และที่แย่ไปกว่านั้นคือ อาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย

ส่วนผสม
•มะละกอสุก 2-3 ชิ้น บดให้ละเอียด
•เกลือป่นละเอียด 5 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนง่ายๆ 
1. ล้างขาและเท้าให้สะอาด ซับให้แห้ง
2. นำมะละกอสุกที่บดแล้ว มาผสมกับเกลือ จากนั้นนำมาขัดเบาๆ ให้ทั่วขาและหลังเท้า หรือทาเฉพาะบริเวณที่มีรอยแดง รอยดำ
3. ขัดประมาณ 1 นาที จากนั้นก็นำมะละกอผสมที่เหลือ มาพอกให้ทั่วขา พอกทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
4. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง รับรองว่ารอยแผลเป็น รอยแดง รอยดำจะค่อยๆ จางลง

Thank : teenee.com
................Toro Richclub................

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"ตำนานแม่ผู้ยิ่งใหญ่".....ดูแลลูกเจ้าชายนิทรา28ปี.....

          ย้อนหลังไปเมื่อ 17-18 ปีก่อน พระเอกตุ๊กตาทอง อนาคตกำลังจะสดใส "เปี๊ยก-อโนเชาว์ ยอดบุตร" ต้องกลายเป็นพระเอกผู้อาภัพไปในชั่วพริบตา จากพระเอกที่โด่งดังสุดขีด ในยุคทองนางเอกค้างฟ้า เปิ้ล-จารุณี สุขสวัสดิ์ พลันที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง รักกันวันละนิด ที่เชียงใหม่ เมื่อปลายปี 2526 สมองเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก จนกลายเป็น "เจ้าชายนิทรา" 

          จากวันนั้นถึงวันนี้...เขามีชีวิตอยู่แต่บนเตียง ร่างกายผ่ายผอมจนเหลือแต่กระดูก ไม่มีความรู้สึก ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆทั้งสิ้น ทุกข์ทรมานเพียงใดก็ไม่สามารถจะบอกกล่าวกับใครได้ แต่ก็ยังมีอยู่อีกคนหนึ่งที่รับรู้ทุกข์นี้ร่วมกับเขาด้วยมาโดยตลอด อาจจะทุกข์มากกว่าเสียด้วยซ้ำ!! 
คนๆนี้ก็คือคุณแม่ "อำไพ ยอดบุตร" 

          ณ วันนี้แม้เรื่องราวและข่าวคราวของ อโนเชาว์จะเริ่มเลือนหายไปจากสังคม แต่ชีวิตที่หลงเหลืออย่างไม่สมบูรณ์ของลูกชายไม่เคยเลือนหายไปจากชีวิตของผู้เป็นแม่ ผู้ที่เฝ้าฟูมฟักเอาใจใส่ ทั้งๆที่แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาพูดคุยกับแม่ก็ไม่เคยมี ไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มที่เป็นกำลังใจให้แม่สู้ต่อไป แต่แม่คนนี้ก็ไม่หวั่นไหว ยังคงยืนหยัดต่อสู้กับโลกแห่งความจริงที่โหดร้ายต่อไปด้วยความเชื่อมั่น สักวัน..ต้องมีปาฏิหาริย์ !?!

          "แม่จำได้ดีไม่มีวันลืมว่า เมื่อคืนวันที่ 30 ตุลาคม 2526 เด็กที่กองถ่ายภาพยนตร์โทรศัพท์มาบอกแม่ที่บ้านว่า เปี๊ยกประสบอุบัติเหตุรถคว่ำที่เชียงใหม่ ต้องเข้าห้องผ่าตัดด่วน เพราะศีรษะด้านซ้ายแตก ซึ่งตอนแรกที่รู้ใหม่ๆ แม่ก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ก็เป็นห่วงลูกเดินกระวนกระวายไม่ได้นอนทั้งคืน พอเช้าปั๊บก็รีบจับเครื่องบินไปลงที่เชียงใหม่ทันที พอไปถึงโรงพยาบาลลานนา ลูกออกจากห้องไอซียูแล้ว พอเห็นสภาพของลูกแม่ช็อกเลย ยืนตัวเย็นแข็งนิ่งพูดไม่ออก น้ำตาแม่ไหลตลอด รู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆอยู่ที่ในอก ใจแม่ในตอนนั้นแทบสลาย สงสารลูกมาก หมอเขาใส่อะไรไม่รู้ระโยงระยางไปหมด รู้สึกมันวูบไปเลย" ...คุณแม่อำไพเล่าย้อนความหลังเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดกับลูกชาย 

          อโนเชาว์ถูกย้ายมารักษาตัวและผ่าตัดที่กรุงเทพฯในหลายโรงพยาบาล ทั้งที่โรงพยาบาลเปาโล ภูมิพล ที่สุดแพทย์ก็ให้นำตัวกลับมาพักฟื้นที่บ้าน เพราะอาการอย่างอื่นไม่มีอะไรแล้ว เพียงแต่ต้องรอให้สมองฟื้น ซึ่งคุณแม่อำไพบอกว่า แรกๆเลยก็มีความรู้สึกว่าลูกต้องหายแน่ๆ เพราะที่บ้านมีทั้งความรักและความอบอุ่นเต็มไปหมด การเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอสม่ำเสมอ การรักษาพยาบาล การทำกายภาพ บำบัด ให้ยา อาหาร และอาหารเสริม สำคัญคือเรื่องกำลังใจ ทุกคนในบ้านมีความหวังมากๆว่าต้องหายแน่ 

          คุณแม่อำไพเล่าให้ฟังถึงวิถีชีวิตในครอบครัวที่ต้องเปลี่ยนไปโดยปริยายเพราะต้องดูแลลูกชายว่า จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเพราะลูกตัวหนักมาก แม่ทำคนเดียวไม่ไหว อย่างเวลาลูกนอนอยู่บนเตียงเราต้องคอยพลิกตัวเขาอยู่เรื่อยๆ ปล่อยให้นอนเฉยๆไม่ได้เพราะจะเป็นโรคกดทับ และเวลาขับถ่ายเขาไม่รู้สึกตัว เราต้องช่วยเหลือเขาทุกอย่าง เวลาหิวหรือเจ็บปวดตรงไหนเราก็ไม่รู้ เพราะเขาจะไม่แสดงอาการ 

          "ความเป็นอยู่ประจำวันบนเตียงของลูกเปี๊ยกคือ แม่กับเด็กผู้ช่วยจะตื่นตอนตี 5 นำเขามาทำกายภาพบำบัด วันไหนมีเสมหะก็ต้องดูดออกก่อน เช็ดเนื้อเช็ดตัว และป้อนอาหารเหลวทางสายยางวันละ 5 เวลา ประกอบด้วย ไข่ไก่วันละ 7 ฟอง ปลา หมู ไก่ ผักก็มีฟักทอง มะเขือเทศ แครอท และผักใบเขียวต่างๆ นอกนั้นก็มีตับไก่ต้มจนเปื่อย บดแล้วกรองก่อนกรอกทางสายยางผ่านทางช่องจมูกสู่หลอด อาหาร ผลไม้ก็มีมะละกอ กล้วย มีน้ำส้ม โอวัลติน และมีอาหารเสริมทางการแพทย์เป็นกระป๋องอีก 3 เวลา หมอบอกว่าจะช่วยทำให้แข็งแรงขึ้น และคอยให้ยาตามที่หมอสั่ง พลิกตัวทุกครึ่งชั่วโมง วันเสาร์-อาทิตย์จะพิเศษหน่อยคือ เช้าขึ้นมาต้องจับตัวเขาใส่รถ ต้องคอยจับศีรษะเนื่องจากคอตั้งไม่อยู่ เอาออกไปสระผม ผมยาวก็ตัด อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น" 

          ถามถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพยาบาลอโนเชาว์ คุณแม่อำไพบอกว่า รายจ่ายเยอะ อย่างเวลาเขาไม่สบายต้องเรียกรถพยาบาลมารับตัวที่บ้านครั้งละ 500 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 200-300 กว่าบาท ทั้งค่ายาและค่าอาหาร เดือนหนึ่งๆตก 10,000 กว่าบาท นี่ยังไม่รวมเวลาไปหาหมอในแต่ละครั้ง 

          "อโนเชาว์ก็ไม่มีเงินเก็บค่ะ เพราะเขาเพิ่งเล่นหนังได้ไม่นาน และสมัยก่อนเรื่องหนึ่งก็ได้เงินมานิดหนึ่ง ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ แต่ก็มีพี่ๆ เขาช่วยกัน แม่มีลูก 8 คน ชาย 5 หญิง 3 เปี๊ยกเป็นลูกชายคนสุดท้อง ใครมีเท่าไรก็ช่วยกันตามที่มี แม่ดีใจที่พี่น้องรักกัน ไม่ทอดทิ้งกัน ไม่มีลูกคนไหนบ่นหรือพูดจาทำให้พ่อแม่ช้ำใจ..." 

          คุณแม่อำไพยังเล่าอีกว่า บุคคลในวงการบันเทิงหลายๆคนก็ยังไม่ทอดทิ้งอโนเชาว์ ใครรักใครสงสารก็มาเยี่ยม-นำเงินมาช่วยเหลือ อย่าง จารุณี สุขสวัสดิ์, เนาวรัตน์ ยุกตะนันทน์, ราตรี วิทวัส, ดิลก ทองวัฒนา, ธรรมศักดิ์ สุริยน ฯลฯ ก็นำเงินมาช่วย ทาง โกวิท วัฒนกุล มาเยี่ยมเห็นแล้วสงสาร ขอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่จัดหาทุนสักก้อนให้อโนเชาว์ ทราบว่าได้ไปปรึกษากับ สมพงษ์-ภัทรภร วรรณภิญโญ เจ้าของทีวีธันเดอร์ เชิญดาราน้ำใจงาม เช่น ปิยะมาศ โมณยะกุล, ไกรลาศ เกรียงไกร, กันทิมา ดาราพันธ์ มาร่วมเล่นเกมในรายการมาสเตอร์คีย์นัดพิเศษ เพื่อน ๆ ดาราเขาพร้อมใจมอบรางวัลที่ได้ทั้งหมดให้เป็นทุนรักษาพยาบาลอโนเชาว์ ซึ่งทางคุณสมพงษ์ก็มอบเงินสมทบอีก 150,000 บาท

          "สังคมยังไม่ทอดทิ้งค่ะ และต้องขอโทษที่ยังมีอีกหลายคนช่วยเหลือ แต่แม่จำชื่อไม่ค่อยได้ เวลาที่มีคนมาเยี่ยมเขา แม่ก็เรียก เปี๊ยก..เปี๊ยก.. มีเพื่อนชื่อนั้นชื่อนี้มาเยี่ยม..จำได้ไหม เป็นการช่วยกระตุ้นสมองของเขาด้วย แต่ทุกครั้งที่เรียกเขาจะผวาเล็กน้อย แล้วก็ลืมตาโพลงสงบนิ่ง ไม่มีอาการตอบรับอะไรทั้งสิ้น เราก็ไม่ทราบว่าเขาได้ยินหรือเปล่า แต่ถ้าตื่นอยู่ตาก็จะลืม ถ้าหลับเปลือกตาจะปิด" 

          ด้วยน้ำตาที่นองหน้าระคนเสียงสะอื้น คุณแม่อำไพเปิดใจต่อไปว่า เปี๊ยกเป็นลูกชายคนเล็กที่แม่รักมาก ทุกเช้าค่ำแม่จะไหว้พระสวดมนต์ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เขาหาย แม้จะไม่ปกติเหมือนเดิม เรียกแม่ได้ แม่ก็ดีใจแล้ว หากนับอายุเขาตอนนี้ก็ได้ 43 ปี ตลอดเวลาที่ลูกนอนป่วยมาเกือบ 20 ปี แม่มีแต่ความรัก และความสงสารมอบให้เท่านั้น เพราะหากไม่มีแม่ ลูกคงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อยากจะฝากถึงคนในวงการบันเทิงว่า "หากยังไม่ลืมอโนเชาว์ก็มาเยี่ยมเยียนกันบ้าง" พ่อเขาก็ขี้โรค ป่วยเป็นความดัน โรคหัวใจ ช่วยอะไรไม่ได้เพราะอายุมากแล้ว แม่เองก็เจ็บป่วย ปวดเข่า ปวดกระดูกตามประสาคนแก่ จะไปวันไหนก็ไม่รู้ "ตั้งแต่แรกเลยแม่หวังถึง 90% ว่าลูกต้องหาย แม้จะไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป พอวันเวลาผ่านไป 2-3 ปี ความหวังก็ลดลง 80% และก็หวังเพียงว่า แม้เขาจะไปแสดงหนังหรือทำงานอย่างอื่นไม่ได้ก็ช่างเถอะ..ขอให้เขาเรียกแม่ได้ ลุกขึ้นได้ เดินเหินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ก็พอแล้ว แต่เวลานี้ 18 ปีแล้ว ยอมรับว่าแม่สิ้นหวัง" 

          แต่ถึงจะสิ้นหวังก็ยังไม่สิ้นกำลังใจ... ความรู้สึกตอนนี้แม้ไม่หวังเพราะมันริบหรี่เต็มที แต่ลูกเรา..เราก็รัก ไม่อยากให้เขาเป็นอะไร ถึงจะไม่มีความหวังเราก็จะดูแลของเราอย่างดีที่สุด บางครั้งเคยคิดสลดใจ มองกลับกันว่า เอ๊ะ ! ชีวิตคนเราก็แปลกดีนะ อายุเราก็ปูนนี้แล้ว ลูกน่าจะเป็นผู้ดูแลเรายามแก่เฒ่า กลายเป็นว่าเราต้องคอยดูแลเขาเหมือนเด็กอ่อน 

          ก็ยังมีกังวลอยู่ว่าถ้าแม่ไม่อยู่แล้วใครจะมาดูแลเขาแทนแม่ แม่เป็นห่วงเรื่องนี้มาก เพราะพี่ ๆ ทุกคนเขาทำงาน มีหน้าที่ เขามีครอบครัวมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ ก็คงไม่เหมือนแม่ ภาวนาอยู่เสมอว่า ถ้าเป็นอะไรไปขอให้เป็นไปพร้อมๆกัน หรือให้เขาตายก่อนแม่ดีกว่า กลัวเขาจะลำบาก ใครจะมานั่งดูแลให้ 

          "แม่คิดว่าความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนคงไม่ต่างกัน หวังฝากผีฝากไข้ให้ลูกเลี้ยงดูแม่ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นแม่จะต้องเลี้ยงดูลูก แต่เราก็ปลงได้นะคะ ก็นึกในทางที่เป็นกำลังใจให้ตัวเองว่า เวลาอ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวจากโทรทัศน์ คนอื่นก็เป็นเหมือนเราแหละ ทำให้ปลงได้...เรื่องแบบนี้ทุกคนก็ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเรามันฝืนดวงชะตาไม่ได้ เบื้องบนเขากำหนดไว้อย่างไรก็ต้องไปตามนั้น..." 

          และไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คุณแม่อำไพของลูกชายผู้อาภัพ เจ้าชายนิทรา "อโนเชาว์ ยอดบุตร" ก็ย้ำด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าและเสียงสะอื้นจากในอกว่า... "แม้เขาจะไม่หาย ต้องเลี้ยงดูเขานานแค่ไหน ถ้าแม่มีชีวิตอยู่แม่ก็ไม่ทิ้ง...แม่จะขอดูของแม่ต่อไป" คุณแม่ผู้ที่หัวใจมิเคยหลอมละลายพ่ายแพ้ต่อชะตากรรม คุณแม่ผู้มีหัวใจแข็งแกร่งดุจเพชร........

          มาวันนี้ไม่มีแล้ว แม่ซึ่งหัวใจแข็งแกร่งดุจเพชรท่านนี้ เมื่อ นางอำไพ ยอดบุตร วัย 88 ปี มารดาของ นายอโนเชาว์ ยอดบุตร อดีตดาราดาวรุ่งชื่อดัง ได้สิ้นลมอย่างสงบแล้วด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อเวลา 23.45 น. วันที่ 14 เมษายน 2555 หลังเข้ารับการรักษาตัวนานกว่า 2 สัปดาห์ ที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ปิดฉากตำนาน “คุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่” ที่ดูแลดาราหนุ่มซึ่งตกอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทรามานานถึง 28 ปี

          นางเอื้อนจิต ยอดบุตร บุตรสาวของนางอำไพ และพี่สาวของนายอโนชา กล่าวว่า มารดามีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ แต่ปลายปี 2554 มีอาการไอเรื้อรังจนเดือนกุมภาพันธ์ 2555 แพทย์ตรวจพบว่ามารดาป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย จึงเข้ารับการรักษาเป็นระยะ ก่อนเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย มารดาบ่นกับลูกๆว่า รู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่พวกลูกๆไม่ยอมบอกว่ามารดาเป็นมะเร็งเพราะกลัวจะตกใจ จนมารดาเสียชีวิตในที่สุด

          "วันที่ 14 กรกฎาคมปีนี้ ลูกๆ ตั้งใจจะทำบุญวันเกิดครบ 89 ปี ให้แม่ แต่ก็ไม่ทัน ตอนนี้ทุกคนทำได้แต่ทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของแม่ คือ 

..."อย่าทิ้งน้อง".... 

          แม่เป็นห่วงน้องมาก ซึ่งเราทุกคนก็จะช่วยกันดูแลน้องอย่างเต็มที่ โดยจะมีพี่เอื้อมพร ยอดบุตร ที่อยู่บ้านเดียวกับอโนเชาว์เป็นกำลังหลัก เพราะคนอื่นได้แยกย้ายกันไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว แต่ก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนกันเป็นประจำ" นางเอื้อนจิต กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

          วันนี้ แม่อำไพคงได้ไปรอลูกชายที่ท่านรักมากบนสรวงสวรรค์แล้ว วันนึง...ทั้งสองคงได้มีโอกาสได้พบกัน ณ ดินแดนที่สวยงามบนฟ้านั้น ขอแสดงความนับถือ....ด้วยจิตคารวะครับ...

Thank : แนวหน้าออนไลน์ , ทีมงานวิถีชีวิต

................Toro Richclub................

จะมีใครเทียมเท่า .. แม่เราเอง

แม่...

จะก้าวล่วง บ่วงฝัน ถึงวันพรุ่ง
จะหมายมุ่ง ส่งเจ้า เข้าฝั่งฝัน
จะเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ยอมกัดฟัน
จะไม่หวั่น แม้หนทาง ยังอีกไกล

แม้แทบสิ้น แรงก้าว รวดร้าวหนัก
แม้งานหนัก ไม่มีวัน จะหวั่นไหว
แม้จะยุ่ง ไม่เคยยาก ลำบากใคร
แม้หัวใจ อ่อนแอ แต่ทรนง 

แรงใจไม่ต้องรอ .. ขอคนอื่น
คนแรกที่หยิบยื่น .. หาที่ไหน
คอยลูบหลังลูบหน้า .. ยามล้าใจ
จะมีใครเทียมเท่า .. แม่เราเอง

รักเเม่ที่สุดในโลก ♥
ลูกหิว แม่หาของให้กิน
ลูกน้ำตาริน แม่ซับน้ำตาให้
ลูกผิดหวัง แม่คอยให้กำลังใจ
ลูกเสียคนรักไป แม่บอกไม่เป็นไรยังมีแม่อยู่ทั้งคน

ไม่มีใครอีกแล้ว .. ปราถนา
มอบรักปักชีวา .. แก่เจ้า
กี่ผิดกี่น้ำตา .. ซบอก แม่เอย
มีโศกมีทุกข์เศร้า .. แม่นี้รับเอง

Thank : ฅนบ้านนอก

................Toro Richclub................

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 ที่เที่ยวยอดฮิตเมืองแม่กลอง ที่ต้องลองไปสมุทรสงคราม

          สมุทรสงคราม เมืองท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ แค่นิดเดียว แต่มีเที่ยวให้ไปเยือนมากมาย สนุก! ท่องเที่ยวที่เที่ยวยอดฮิตเมืองแม่กลอง สมุทรสงคราม มาชวนไปเที่ยววันหยุดนี้กัน

1.ตลาดน้ำอัมพวา ไปชม ชิม ชอปอาหารที่วางขายกันตลอดคุ้งน้ำ ทั้งก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย อาหารทะเลปิ้งย่าง ที่ละลานตาจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว

2.ตลาดร่มหุบ ตลาดขายสินค้าบนรางรถไฟเมื่อรถไฟผ่านมาพ่อค้าแม่ค้าจะรีบหุบร่มกันอย่างพร้อมเพรียง และเมื่อมาถึงสมุทรสงคราม ก็พลาดไม่ได้กับซื้อปลาทูแม่กลองอันแสนอร่อยและเป็นเอกลักษณ์

3.ดอนหอยหลอด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสมุทรสงคราม ที่เกิดจากการตกตะกอนของดินปนทรายมีอาณาบริเวณกว้างประมาณ 3 กิโลเมตร ยาว 5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากรุงเทพฯ แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ไปนั่งเล่นเพลินๆ ได้แล้ว

4.อาสนวิหารแม่บังเกิด ความยาวนานกว่าร้อยปีและการก่อสร้างประดับตกแต่งอย่างอลังการ ทำให้อาสนวิหารพระแม่บังเกิด ที่บางนกแขวกได้ชื่อว่าเป็นวัดที่สวยงามและเก่าแก่ที่สุดของชาวคาธอลิกในประเทศไทย

5.ตลาดบางนกแขวก คือแหล่งการค้าที่คึกคักเมื่อย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ปัจจุบันวิถีชีวิตแบบเดิมนั้นยังคงอยู่ แม้จะไม่คึกคักเหมือนครั้งวันวาน แต่ก็ยังคงมีอาหารคาวหวานมากมาย เช่น ผัดไทยกุ้งสด ก๋วยเตี๋ยวปู ขนมหวาน กาแฟโบราณ ผลไม้ต่างๆ ออกมาขายให้กับนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ

6.ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ทำประโยชน์เล็กๆ ด้วยการปลูกป่าให้กับโลกใบนี้ของเรา หากใครสนใจจะพักค้างคืนบนกระเตงเพื่อหาประสบการณ์แปลกใหม่ที่นี่เค้าก็มีให้บริการอีกด้วย

7.ค่ายบางกุ้ง นมัสการหลวงพ่อนิลมณี โบสถ์ปรกโพธิ์ หนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ซึ่งมีต้นไม้ 4 ชนิดปกคลุม ได้แก่ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง แวะสักการะรูปปั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินเพื่อเป็นสิริมงคลได้อีกด้วย

8.พระพุทธไสยาสน์ 9 นิ้วแห่งวัดเขายี่สาร  อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์มีนิ้วพระบาท 9 นิ้ว เล่ากันว่านิ้วที่ 10 อยู่ที่ วัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบุรี นอกจากนี้พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ยังประดิษฐานอยู่บนยอดเขาเพียงลูกเดียวของจังหวัดอีกด้วย

9.ตลาดน้ำบางน้อย ย้อนกลับไปกว่าร้อยปีก่อน ที่เรือพายนับร้อยลำทยอยกันออกมาจากที่โน่นที่นี่เพื่อมาติดนัดที่นี่ ในอดีตนัดที่คลองบางน้อยเคยเป็นนัดที่คึกคักมาก พ่อค้าแม่ค้าจะมาจองที่จอดเรือกันตั้งแค่คืนก่อนวันนัด คนซื้อก็เริ่มพายเรือออกมาเลือกของกันอย่างคึกคัก ปัจจุบันเป็นตลาดโบราณ มีของกินให้เลือกซื้อมากมาย

10.วัดบางแคน้อย มหัศจรรย์กับโบสถ์ไม้แกะสลัก พื้นโบสถ์สร้างด้วยไม้ตะเคียนเพียง 7 แผ่น ณ วัดบางแคน้อย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

Thank : itplaza
................Toro Richclub................