tororichclub

tororichclub

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พลอยถูกโฉลกเสริมดวงตามวันเกิด

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันอาทิตย์ ขอแนะนำว่าควรใช้เครื่องประดับที่ทำด้วยพลอย หรือ อัญมณีที่มีสีแดง เช่น ทับทิมโกเมน ทัวร์มารีนสีแดง เพทายสีแดง เพชรสีแดง ฯลฯ

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันจันทร์ ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีสีเหลือง เช่น บุษราคัม โทแพซสีเหลือง ซิทริน เพทายสีเหลือง อำพัน เพชรสีเหลือง

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันอังคาร ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีสีชมพู เช่น ปะการัง แซฟไฟร์สีชมพู เบริลสีกุหลาบ โทแพซสีชมพู เพชรสีชมพู

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันพุธ ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีที่มีสีเขียว เช่น มรกต หยก ทัวร์มารีนสีเขียว เพริโดต์ เขียวส่อง

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันพฤหัสบดี ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีสีส้มหรือสีแสด เช่น โอปอลไฟ หยกแดงไต้หวัน แซฟไฟร์สีส้ม โกเมนสีส้ม ปะการัง

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันศุกร์ ขอแนะนำว่าควรใช้อัญมณีสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน เช่น ไพลิน โทแพซสีฟ้า เพทายสีฟ้า อะความารีน ลาพิสลาซูรี เทอร์ควอยซ์ เพชรสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันเสาร์ ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีสีม่วงหรือสีดำ เช่น อเมทิสต์ แซฟไฟร์สีม่วง นิล โอนิกซ์หยกดำ สตาร์ดำ ปะการังสีดำ


................Toro Richclub................

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Good to Drink ?

          บางอย่างที่คิดว่าดีหรือปลอดภัยต่อสุขภาพ อาจไม่ดีจริงอย่างที่คุณคิด ลองดูตัวอย่างจากเบียร์กลูเตนน้อยก็ได้ เบียร์กลูเตนน้อย หรือ Low-Gluten Beers คือเบียร์สำหรับคนแพ้กลูเตน ถ้าคุณไม่แพ้กลูเตน การกินขนมปังหรือเบียร์ที่มีกลูเตนนั้นไม่เป็นปัญหานะครับ แต่สำหรับคนที่แพ้กลูเตนจะกินอะไรก็ต้องคำนึงถึงปริมาณกลูเตนด้วย โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรแพ้กลูเตนจำนวนไม่น้อยอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกานั้น จะมีทั้งขนมปังและเบียร์ชนิดกลูเตนน้อย (Low-Gluten) และชนิดไม่มีกลูเตน (Gluten-free) วางจำหน่ายอยู่ด้วย

          ปกติแล้ว ในเบียร์จะมีฮอร์ดีน (Hordein) ซึ่งเป็นกลูเตนประเภทหนึ่ง กลูเตนนั้นเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบในข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และข้าวไรย์ รวมถึงข้าวบาร์เลย์ที่เป็นส่วนผสมสำคัญในกระบวนการผลิตเบียร์ทั่วไป แต่แล้ววันดีคืนดีก็มีเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพออกมาตรวจสอบคุณภาพเบียร์
          กลูเตนน้อยที่จำหน่ายให้กับผู้บริโภค ว่า ‘น้อย’ จริงตามราคาคุยหรือไม่ ซึ่งก็ทำให้พบความจริงในช่วงปลายปีที่ผ่านมาว่า เบียร์ชนิดกลูเตนน้อย (Low-Gluten Beers) บางยี่ห้อ ไม่ได้น้อยตามฉลาก แถมยังมีระดับปกติ ซึ่งเป็นอันตรายกับผู้ที่แพ้กลูเตน (Celiac Disease หรือ CD) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารด้วย

          จากเบียร์ 60 ยี่ห้อในตลาด พบว่า 8 ยี่ห้อที่ประกาศว่าเป็นเบียร์กลูเตนน้อย ไม่มีกลูเตนเป็นส่วนประกอบจริง ส่วนหลายยี่ห้อที่ระบุว่ามีปริมาณน้อย แต่ก็ยังมีระดับกลูเตนอยู่ในปริมาณที่น่าจับตามอง และที่น่าจะเป็นอันตรายที่สุด คือ 2 ยี่ห้อที่มีกลูเตนเท่ากับเบียร์ปกติ ซึ่งไม่ปลอดภัยกับผู้ที่แพ้กลูเตนอย่างแน่นอน มองได้ว่าหน่วยงานด้านสุขภาพของเขาเข้มงวด นึกถึงสุขภาพของผู้บริโภคที่ต้องมาก่อน และยังเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่จะงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีการยืนยันคุณภาพสินค้าให้แน่ใจ

FYI
          125 กิโลแคลอรี คือ พลังงานที่เราจะได้จาก โทนิค (Tonic) ต่อการเสิร์ฟ 1 ครั้ง นั่นหมายความว่าช่วงไหนถ้าไม่อยากได้พลังงานเพิ่มเติมกลับมา น้ำเปล่าที่สะอาด คือทางเลือกที่ดีที่สุด

          • หลังจากได้ศึกษาข้อมูลนักกีฬาที่ฝึกหนักและขาดสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต พบว่า พวกเขาโหมหนัก กินแต่อาหารหรือเครื่องดื่มประเภทโปรตีน ที่ขาดผัก ผลไม้ และธัญพืชเป็นส่วนประกอบเสริม
           • น้ำผลไม้ปั่นประเภทสมูทตี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้ผสมโยเกิร์ต เบอร์รี่ หรือกล้วย และช็อกโกแลตมิลค์ น่าจะเป็นเมนูเครื่องดื่มที่ดีได้สำหรับคนที่หมั่นออกกำลังกาย เพราะให้ทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน
          • แต่ถ้าต้องการจะรับเครื่องดื่มประเภทโปรตีนผสมจริงๆ ทำไมไม่ลองใส่ส่วนผสมของคาร์โบไฮเดรตลงไป อย่างเช่นกล้วย หรือมีธัญพืชแบบแท่งไว้กินคู่กัน

Thank : GMlive

................Toro Richclub................

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เจ๋งสุด? เสื้อเชิ้ตถูกใจหนุ่ม ๆ ไม่เหม็น ไม่ยับ ไม่ต้องซักรีด!

          เสื้อที่ใส่ได้แบบไม่ยับ ไม่เหม็นอับ ไม่ต้องซักบ่อย ไม่ต้องรีดก่อนใส่ คงจะเป็นเสื้อในอุดมคติของหนุ่ม ๆ ที่ขี้เกียจดูแลเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แต่ในปัจจุบันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน ลองคุณใส่เสื้อผ้าไม่ซักไม่รีดดูสิ ยับยู่ยี่ไม่พอ กลิ่นยังตลบอบอวลได้ใจ ไปไหนต่อไหนรับรองว่าใคร ๆ ก็จะขออยู่ห่างแหวกทางให้คุณเดินได้สบาย ๆ (รังเกียจน่ะ)

          แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ อย่างน้อย ๆ ก็ในเดือนธันวาคม คุณก็จะมีโอกาสได้จับจองเป็นเจ้าของเสื้อเชิ้ตขั้นเทพจาก วูล แอนด์ พรินซ์ ที่มีคุณสมบัติอย่างที่เคยฝันถึงมาตลอด ตั้งแต่ไม่เหม็น ไม่ยับ แถมไม่ต้องซักรีด ซึ่งทีมผู้คิดค้นการันตีคุณภาพมาแล้วด้วยการใส่เสื้อเชิ้ตนี้ตะลุยทุกภารกิจในชีวิตประจำวันตั้ง 100 วัน มันก็ยังใส่ได้ไม่เห็นเป็นอะไร 

          เพื่อนซี้สามคน ได้แก่ แมค บิชอป, เคท เอลค์ส และ ไมค์ เมเจอร์ เป็นผู้คิดค้นเสื้อเชิ้ตไม่เหม็น ไม่ยับ ไม่ต้องซักรีดตัวนี้ขึ้นมา หลังจากต่างคนต่างเบื่อหน่ายกับข้อจำกัดของเสื้อที่ต้องใส่กันอยู่ทุก ๆ วัน ไหนจะเหม็นอับ ยับง่าย ต้องซักต้องรีดทุกครั้งหลังใส่ ซึ่งจากการทดลองของพวกเขาได้พบว่าผ้าขนสัตว์มีคุณสมบัติดีกว่าผ้าคอตตอนหลายเท่า ตั้งแต่ทนทานกว่า 6 เท่า ยับยาก และไม่ดูดกลิ่น ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติไม่ต้องเติมแต่งด้วยสารเคมีใด ๆ เลย จึงลองทำขนสัตว์มาถักทอเป็นผืน และตัดเย็บออกมาเป็นเสื้อเชิ้ตรุ่นแรก และทดสอบคุณสมบัติด้วยการใส่ 100 วันต่อเนื่องโดยไม่ซัก ทั้งใส่ไปปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย เดินกลางแดด ไปปาร์ตี้ ยัดไว้ก้นกระเป๋า ปรากฏว่าเมื่อใส่ไปจนครบ 100 วัน เสื้อเชิ้ตของพวกเขาก็ยังไม่โทรมและอยู่ในสภาพพร้อมใส่อยู่เลย นี่ไงล่ะ เสื้อเชิ้ตในอุดมคติของคุณผู้ชายได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว 

          อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ทั้งสามสหายก็กำลังระดมทุนเพื่อหาเงินมาเป็นต้นทุนในการผลิตเสื้อเชิ้ตในอุดมคติล็อตแรกภายใต้แบรนด์ วูล แอนด์ พรินซ์ ออกจำหน่าย ผ่านทางเว็บไซต์ kickstarter ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา และตอนนี้ยอดเงินที่ได้รับเกินเป้าที่ตั้งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว (คาดว่าส่วนใหญ่คงเป็นคนรสนิยมเดียวกัน แบบว่าอยากใส่เสื้อดี ๆ แต่ขี้เกียจซักแน่เลย)

          ทั้งนี้ เสื้อเชิ้ตไม่เหม็น ไม่ยับ ไม่ต้องซักรีด ล็อตแรกจะคลอดออกมาในเดือนธันวาคมนี้ สนนราคาอยู่ที่ตัวละ 98 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 2,940 บาท อาจจะราคาสูงกว่าเสื้อเชิ้ตดี ๆ ทั่วไปสักหน่อย แต่ถ้าแลกกับคุณสมบัติแบบประหยัดการดูแล แต่คุณภาพสูง ใส่แล้วถอดกองไว้ ตื่นเช้าหยิบมาใส่ต่อสบาย ๆ ได้ก็ถือว่าคุ้มนะ จริงไหมล่ะครับ :P

Thank : k@pook,ขอขอบคุณภาพประกอบจาก kickstarter,woolandprince

................Toro Richclub................

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บะหมี่ 1 ชาม

          เด็กหนุ่มคนหนึ่ง กำลังอยู่ในช่วงต่อต้านพ่อแม่ ทนไม่ได้แวลาที่แม่บ่น...รู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจตัวเองสักนิดเดียว 
          จนวันนึง เขาทะเลาะกับแม่ด้วยเรื่อง เล็กๆ น้อยๆ...โกรธแม่มาก จนหนีออกจากบ้าน ไม่ว่าแม่จะเรียกไล่ตามมาอย่างไร เขาก็ไม่สนใจหันกลับไปมอง
          เด็กหนุ่มหลับหูหลับตาเดินไปตามทางเรื่อยๆ จนเริ่มหิวและรู้ตัวว่าไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วยเลย...เดินจนมาถึงหน้าร้านบะหมี่ร้านหนึ่ง ได้แต่มองอาหาร แล้วกลืนน้ำลาย 

เจ้าของร้านเห็นท่าทางของเด็กหนุ่ม ก็สงสาร เรียกเข้ามากินบะหมี่ในร้าน

เด็กหนุ่มพูดว่า " แต่ผมไม่มีเงิน นะครับ " 

เจ้าของร้านตอบว่า " ฉันคิดว่า เธอต้องเจอเรื่องที่ไม่พอใจมาแน่เลย บะหมี่ชามนี้ ถือว่าฉันเลี้ยงแล้วกัน " 

ถึงแม้เด็กหนุ่มจะรู้สึกไม่ดี แต่ก็หิว จึงรับน้ำใจเจ้าของร้าน กินบะหมี่อย่างมูมมาม และพอกินไปได้สักพัก น้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างกลั้นไม่ไหว 
เจ้าของร้านตกใจ ถามว่า " เป็นอะไร ร้องไห้ทำไมหรือ ??? " 

เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตา...แล้วตอบว่า " คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้ ยังมีคนใจดีอย่างคุณอีก ยอมให้ผมกินบะหมี่โดยไม่คิดเงิน " 

จากนั้น...เด็กหนุ่มก็เล่าเรื่องราวที่ทะเลาะกับแม่ แล้วหนีออกมาจากบ้าน ให้เจ้าของร้านฟัง และเสียใจที่แม่ไม่เข้าใจตัวเอง 

เมื่อเจ้าของร้านฟังจบ...ก็หัวเราะจนท้องแข็ง

" มีอะไรน่าหัวเราะหรือ " เด็กหนุ่มถาม 

เจ้าของร้านตอบว่า " ฉันเพิ่งรู้จักกับเธอเมื่อสักครู่นี้เอง แล้วก็แค่เลี้ยงบะหมี่ 1 ชาม เธอยังซาบซึ้งถึงขนาดนี้ ... แต่ !!! ตั้งแต่

เล็กจนโต แม่เธอต้มบะหมี่ให้เธอกินมากี่ชาม แต่เธอกลับไม่พอใจแม่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ... นี่ยังไม่น่าหัวเราะอีกหรือ ??? " 

คำพูดของเจ้าของร้านเตือนใจเด็กหนุ่ม เขารีบกลับบ้าน และพบว่าแม่ยังรอเขากลับมา...
เขาละอาย ที่จะเดินเข้าไปหาแม่ และยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากขอโทษแม่ แม่...ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า... 

" ลู ก ต้ อ ง หิ ว แ น่ เ ล ย !!! เดี๋ยว...แม่ไปต้มบะหมี่ให้ลูกกินสักชามนะ " 


................Toro Richclub................

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

10 เรื่องที่ "ผู้หญิง" ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง "ผู้ชาย" ได้

          ไม่ว่าคุณจะรักเขาแค่ไหน หรือพยายามแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนผู้ชายได้ในหลาย ๆ เรื่องที่คุณไม่ชอบใจ เพราะฉะนั้นทำใจให้อยู่กับมันให้ได้เสียดี ๆ เถอะ!

     1. เขาจะโกหกคุณ อย่าเพิ่งกรี๊ด ไม่ใช่เรื่องเรื่องโกหกใหญ่โตที่รับไม่ได้หรอก แต่เป็นการโกหกเล็กๆ น้อยๆ ที่จริงๆ ก็มีจุดประสงค์ของนะ หลักๆก็เพื่อทำให้คุณรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง และทำให้เขาไม่ต้องเดือดร้อน ฉะนั้น ถ้าคุณถามเขาว่าชุดนี้สวยไหม หรือเขาไปจ่ายบิลค่าไฟฟ้าหรือยัง หรือเขาอยากเจอพ่อแม่ของคุณหรือเปล่า เขาก็จะตอบรับอย่างหนักแน่นเสมอไป ถึงแม้เขาจะคิดเป็นอย่างอื่นก็ตามที ทำไมน่ะหรือ? อ้าว ก็การตอบอย่างอื่นมันเจ็บปวดเกินกว่าจะรับได้ไม่ใช่หรือไง

     2. เขาจะแอบมองผู้หญิงอื่นเสมอ คุณอาจคิดว่าคุณเป็นสาวคนเดียวที่เขามีสายตาไว้จับจ้อง แต่รับประกันได้เลยว่าเขาต้องแอบมองผู้หญิงอื่นอย่างน้อยก็วันละไม่ต่ำกว่า 10 คนหรอก บางคนอาจทำให้เขาอดคิดไม่ได้ด้วยว่า ถ้าได้แอ้มสักทีจะเป็นยังไงบ้างน้า... แต่อย่าเพิ่งสติแตกไปเลย ในท้ายที่สุดเขาก็จะตระหนักได้เสมอว่า สิ่งที่เขามีอยู่นั้นดีที่สุดแล้วและผู้หญิงอื่นก็อาจจะน่าเบื่อได้เช่นกัน

     3. เขาจะพูดถึงคุณเสมอ คิดว่าเรื่องตลกๆ น่าอายระหว่างคุณกับเขาจะรู้กันอยู่แค่สองคนเหรอ? ไม่มีทาง... ไม่ว่าคุณจะกำชับแค่ไหนว่า "อย่าบอกใครเรื่องนี้นะ" มันก็จะเป็นเรื่องแรกที่เขาเอาไปเล่าให้เพื่อนฟังเวลาดื่มเหล้ากันเสมอ แหม...เขาก็แค่อยากเช็คว่าเรื่องแบบนี้มันปกติหรือเปล่า? แล้วก็หาเรื่องหัวเราะคุณนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นแหละ

     4. เขาจะไม่มีวันใส่ใจเรื่องแต่งตัวได้มากเท่าคุณ ผู้ชายทั้งแท่งส่วนใหญ่ไม่แคร์เรื่องแฟชั่นเลยจริงๆนะ ถึงเขาจะอยากดูดีเหมือนกัน แต่การช้อปปิ้งไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับผู้ชายเท่าไหร่ ทำให้เขาพลอยไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการแต่งตัวตามไปด้วย ถ้าคุณอยากให้เขาแต่งตัวดีขึ้นก็ได้เลย ซื้อเสื้อผ้าดีๆ ที่คุณอยากให้เขาใส่มาให้ได้เลย แต่อย่าคาดหวังว่าเขาจะพยายามแต่งตัวให้ดีขึ้นด้วยตัวเองเพื่อคุณเลย

     5. เขาจะไม่มีวันหยุดดูกีฬา ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบดูกีฬา และในขณะที่เขาเข้าใจดีว่าคงได้ดูน้อยลงถ้าเกิดอยู่บ้านเดียวกับคุณแล้ว แต่ก็อย่าได้หวังเชียวว่าเขาจะเลิกโดยเด็ดขาด ถ้าคุณไม่ให้เขาดูในบ้าน เขาก็จะไปหาดูที่อื่น อย่างเช่น ตามผับหรือบาร์ที่มีให้ดู แล้วก็อย่าบ่นล่ะถ้าเขาจะขอครองจอทีวีในช่วงฟุตบอลโลก ก็แหม...สี่ปีมีหนเดียวเองนะ

     6. เขาจะไม่พูดถึงความรู้สึกตัวเองแน่นอน ในขณะที่ผู้หญิงอยากจะพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง สำหรับผู้ชายแล้ว มันเป็นเรื่องทรมานใจมาก เขาก็รู้ดีอยู่หรอกว่ามันมีประโยชน์ในการเปิดใจกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องชอบด้วยนี่นา

     7. เขาจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องรอคุณแต่งตัวนานๆ ถึงแม้เขาจะอยู่กับคุณนานแค่ไหน หรืออยู่ในบ้านที่มีพี่น้องผู้หญิงหลายคนและเจอเรื่องนี้มามากแค่ไหน ก็อย่าได้หวังเลยว่าเขาจะทำใจได้ ต่อให้เขาไม่แสดงออกก็รู้เถอะว่าเขาแอบหงุดหงิด

     8. ทัศนคติเรื่องเซ็กส์ของเขาแตกต่างกับคุณเสมอ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักคิดเรื่องเซ็กส์ในแบบที่แตกต่างกับผู้ชาย ในขณะที่คุณให้คุณค่ากับร่างกายของคุณ และต้องการความรู้สึกสนิทเสน่หากันก่อนที่จะมีเซ็กส์กับใครสักคน ผู้ชายจะสามารถมีเซ็กส์ตอนไหนก็ได้!

     9. เขาจะไม่มีวันสื่อสารได้ดีเท่าคุณ ขณะที่ผู้หญิงขยันส่งการ์ดขอบคุณ การ์ดวันเกิด การ์ดปีใหม่ สารพัดการ์ดทุกเทศกาล รวมถึงเขียนอีเมลล์ โทรศัพท์คุยกับคนโน้นคนนี้ ผู้ชายจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอกรู้ไว้เถอะ โดยเฉพาะเรื่องเขียนเนี่ยแหละ

     10. เขาจะไม่มีวันบอกว่าคุณอ้วนขึ้น ถึงแม้คุณจะไม่คิดรีรอที่จะชี้ไปที่พุงของเขาและบอกว่า "ต้องลดแล้วนะ" แต่ผู้ชายจะไม่มีวันยกเรื่องเซลลูไลต์ที่ต้นขาของคุณขึ้นมาพูดเด็ดขาด เขาไม่ได้แคร์มันขนาดนั้นหรอก และตอนที่ได้เห็นมัน เขาก็ได้แอ้มคุณอยู่ เรื่องอื่นสำคัญกว่าเยอะ!

Thank : Lisa
................Toro Richclub................

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"มหิดล"วิจัยพบ"น้ำพริกตาแดง" มีสารต้าน"มะเร็ง"

"มหิดล"วิจัยพบ"น้ำพริกตาแดง" มีสารต้าน"มะเร็ง-เบาหวาน-ความดัน-หัวใจ"

          นักโภชนาการมหิดลเผยวิจัยพบสารต้านอนุมูลอิสระใน "น้ำพริกตาแดง" ชี้กินเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็น "มะเร็ง-เบาหวาน-หัวใจ-ความดันโลหิต"ได้

          เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นายเอกราช เกตวัลห์ นักวิชาการประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า อาหารไทยถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะน้ำพริกประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารติดบ้านเรือนของคนไทย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ได้มีการวิจัยคุณค่าทางอาหารในน้ำพริกตาแดง พบว่าเป็นน้ำพริกที่มีส่วนประกอบจากเครื่องเทศและสมุนไพรสดหลายชนิด ซึ่งล้วนมีสารสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ

          "จากการวิจัยได้ใช้น้ำพริกตาแดงที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ศึกษาปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง โดยใช้ 3 วิธีทดสอบทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการที่มีหลักการแตกต่างกัน พบว่าน้ำพริกตาแดงตำรับสุขภาพมีสารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) และลูทีน (Lutein) อยู่ในปริมาณสูง ซึ่งสารเหล่านี้สามารถต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้นำไปทดสอบฤทธิ์ต้านออกซิเดทีพ สเตรส (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้ และฤทธิ์ต้านการอักเสบในร่างกายของหนูทดลองที่ได้รับการเหนี่ยวนำด้วยควันบุหรี่ เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่และได้รับอาหารผสมน้ำพริกตาแดง 1 หน่วย และ 2 หน่วย เทียบกับหน่วยบริโภคของคนน้ำหนัก 50 กิโลกรัม และน้ำหนักหนู สามารถต้านสารอนุมูลอิสระ และการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกายมีค่าเพิ่มขึ้น เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างเดียว และกลุ่มควบคุม" นายเอกราชกล่าว

          จากผลการวิจัยดังกล่าว นายเอกราชกล่าวว่า สรุปได้ว่าน้ำพริกตาแดงประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถต้านอนุมูลอิสระทั้งในหลอดทดลอง และในร่างกายของหนู นอกจากนี้ ยังสามารถลดการอักเสบจากการได้รับควันบุหรี่อีกด้วย ดังนั้น หากมีการบริโภคน้ำพริกตาแดงเป็นประจำ อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระได้ อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิต หัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ ด้าน รศ.วิสิฐ จะวะสิต ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหิดล กล่าวว่า อาหารไทยมักมีส่วนประกอบพวกเครื่องแกง พริกต่างๆ ซึ่งล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น พริก มีคุณสมบัติช่วยระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้า ป้องกันการเกิดมะเร็ง กระเทียม มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ตะไคร้ มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด หอมแดง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ข่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา แบคทีเรีย และยีสต์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกมะเร็ง ผิวมะกรูด ลดความดันโลหิต เป็นต้น จึงแนะนำให้ทุกบ้านบริโภคน้ำพริกเป็นอาหารหลัก

Thank : itplaza.co.th

................Toro Richclub................

"รอยตะปู"

มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดี พ่อของเขาจึงให้ตะปู
กับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใคร
ก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไป
เด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่
ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อย
รู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
ใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่
ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุม
ตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์
ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว วันแล้ววันเล่า เด็กชาย
ก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูก
ถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับ
ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ

พ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอก
ลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิม
มันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำ
อะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการ
เอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หน
ก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ ลูกจงจำ
คำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะ
จำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขา
เขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่า
เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่น
วางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์
ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลาย
ทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง


................Toro Richclub................

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับของสังฆทาน ที่พระท่านจะได้ใช้ประโยชน์มากที่สุด

          การทำสังฆทาน นอกจากจะถวายเป็นสิ่งของแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธ

          หวังว่าข้อมูลนี้คงจะเป็นประโยชน์ ทั้งกับท่านพุทธศาสนิกชนที่มีจิตกุศลต้องการทำสังฆทาน และกับพระภิกษุสามเณร ผู้รับสังฆทาน ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก และเป็นผู้ที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาของเราต่อไป

          รายการจุดเปลี่ยนจึงได้ไปสอบถามพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง แล้วจัดอันดับสิ่งของสังฆทาน ตามความจำเป็นในการใช้งานรวม 10 อันดับ ซึ่งเรียงจากจำเป็นมากสุดไปน้อยที่สุดได้ ดังนี้ 

1. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ 
          เนื่องจากพระสมัยนี้ต้องเรียนพระปริยัติธรรม และจดกำหนดนัดหมายต่าง ๆ ช่วยจำ บางรูปท่านเป็นเหรัญญิก ดูแลค่าใช้จ่าย ยิ่งต้องใช้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครถวายเครื่องเขียนเหล่านี้ พระท่านจึงต้องไปเดินหาซื้อเองเสมอ หากเราถวายไป พระท่านจะได้ใช้อย่างแน่นอน

2. ใบมีดโกนตราขนนก (Feather) หรือยี่ห้อ Gillette ยิลเลตต์ 
          เนื่องจากพระต้องโกนผมทุกวันโกน แต่ใบมีดยี่ห้ออื่น พระใช้โกนผมแล้วเลือดสาด !!! ท่านจึงใช้ได้แค่ 2 ยี่ห้อนี้เท่านั้น อนึ่ง ใบมีดตราขนนกจะคมกว่ายินเลตต์ ใช้ในการโกนครั้งแรก ส่วนยิลเลตต์จะใช้เก็บความเรียบร้อยอีกครั้ง หากท่านใดถวายใบมีด ก็ได้ชื่อว่า ช่วยไม่ให้พระต้องเสียเลือดเนื้อทุกวันโกน ข้าพเจ้าเห็นว่าได้บุญดีกว่าให้ยาอีกนะท่าน

3. ผ้าไตรจีวร ที่มีความยาวพอที่จะนุ่งห่มได้ มีความหนาพอเหมาะสม 
          เพราะผ้าที่ติดมากับถังเหลือง มันทั้งสั้นทั้งเต่อ ทั้งบาง ทำให้พระท่านลำบากใจเวลาสวมใส่ ขาดความมั่นใจ และเสียภาพลักษณ์ที่ดีของสงฆ์ ผู้ใดถวายผ้าไตรจีวร จึงได้อานิสงส์มากนัก นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว เตรียมผ้าอาบน้ำฝนไปถวายพระกันเถอะนะ

4. หนังสือธรรมะ สารคดี นิตยสารหรือที่ให้ความรู้ด้านอื่น ๆ 
          เนื่องจากพระสงฆ์ มีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ที่แตกฉาน ทั้งทางธรรม และรู้ทันข่าวสารบ้านเมือง เพื่อจะได้สาธิตยกตัวอย่างให้ชาวบ้านเข้าใจได้แจ่มแจ้ง การถวายหนังสือเหล่านี้ จึงถือเป็นต้นทุนแห่งธรรมทาน ให้พระท่านได้นำไปต่อยอด กระจายสู่ผู้คนได้อีกมาก ทั้งยังถือเป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง แถมได้ผลตอบแทนสูง น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง 

5. รองเท้า (ยกเว้นพระนิกายธรรมยุตต์นะจ๊ะ สังเกตให้ดีล่ะว่าวัดที่เราไป พระท่านใส่รองเท้ากันหรือเปล่า) 
          พระท่านต้องเดินบิณฑบาตร, ธุดงค์, ไปเรียนหนังสือ, ไปกิจนิมนต์ตามที่ต่าง ๆ, บางรูปต้องทำงานที่ใช้แรงงานในวัด เช่น ก่อสร้าง ทำสวน สิ่งที่ต้องรับภาระหนักก็คือ 'รองเท้า' ที่มักจะขาด เสียหาย อยู่บ่อย ๆ นั่นเอง รองเท้าจึงถือเป็นอีก item หนึ่งที่มีความสำคัญอย่างสูง

6. ยาหลัก ๆ ที่จำเป็น
          ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาแก้ไอ แก้ไข้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาใส่แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอง เป็นหนองผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง 

7. ผ้าขนหนูสีสุภาพ ไม่ต้องสีเหลืองก็ได้
          เพราะผ้าขนหนูที่ติดมากับถังเหลืองมักหยาบ เล็ก และคุณภาพต่ำ จนเอามาใช้ไม่ได้ในชีวิตจริง 

8. ชุดคอมพิวเตอร์ 
          อู้วววว ไฮโซไปนิดนึง แต่ถ้าใครรวบรวมเงินได้เป็นกอบเป็นกำอย่างกฐิน ผ้าป่าก็น่าพิจารณาถวายคอมพิวเตอร์แด่วัดที่ขาดแคลน .. ถ้าเป็นวัดที่อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึงจะดีมากๆ

9. น้ำยาเช็ดพื้น 
          เหอ... งงไปเลย พระท่านจะเอาน้ำยาเช็ดพื้นไปทำอะไร ?? เฉลย ก็เอาไปผสมน้ำ ถูกุฏิ ศาลา อุโบสถ ไงจ๊ะ เพราะนอกจากจะช่วยผ่อนแรงในการทำความสะอาด สลายคราบแล้ว บางยี่ห้อยังช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในมูลนกพิราบ ฉี่หมา ฉี่แมว ฉี่หนู เห็บ หมัด ของหมาวัดได้อีกด้วย 

10. แชมพู 
          เมื่อพระท่านไม่มีผมมาปกป้องหนังศีรษะเนี่ย ทั้งความร้อน ฝุ่นละออง เชื้อโรคต่าง ๆ ก็จะเข้าถึงหนังศีรษะของท่านได้โดยตรง แถมการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของหนังศีรษะก็จะเสียไป เพราะไม่มีผมปกคลุม ทำให้หนังศีรษะของพระ มักจะแห้ง และเกิดโรคผิวหนังอยู่เสมอ เช่น ชันตุ เป็นต้น 

          สิ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ก็คือ แชมพูยา ที่มีส่วนผสมปกป้องหนังศีรษะ รักษาสมดุล สังเกตง่าย ๆ ที่ฉลากจะมีคำว่า 'Scalp' เป็นสำคัญ ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้ก็มักจะเป็นพวก แชมพูขจัดรังแค อย่างคลินิค, แพนทีน, Head & Shoulder, ไนโซรัล เป็นต้น แต่น่าเศร้าใจ ที่ไม่มีใครถวายแชมพู พระท่านจึงจำต้องใช้สบู่แก้ขัด ซึ่งทำให้ยิ่งคันหัว ศีรษะแห้งไปกันใหญ่ ดังนั้นจึงขอท่านโปรดจำไว้ ว่าเราควรซื้อแชมพูไปถวายพระ แต่ก็เลือกสูตรกันนิดนึง ให้เป็นสูตรดูแลหนังศีรษะ เพราะถ้าเกิดเราเลือกสูตร 'เพื่อผมนิ่มสลวยดำเงางาม' ไปถวายท่าน...ท่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าเราแซวได้

................Toro Richclub................

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

3 สิ่งที่พบในชีวิตประจำวัน ที่จะทำให้คุณเกิดอาการ "ลืม"

          บางทีพวกเราเองก็ไม่ทันสังเกตว่าสิ่งธรรมดาๆ ทั่วไปสามารถทำให้จิตใจคุณล่องลอย และเกิดอาการหลงลืมได้บทความจาก Reader’s Digest (adapted from Life’s Little Mysteries) โดย Natalie Wolchover ได้ให้ตัวอย่างสิ่งที่พบในชีวิตประจำวัน 3  สิ่งที่ทำให้คุณเกิดอาการ “ลืม”

ประตู
          เคยหรือไม่กำลังเดินเข้าไปในห้องโดยคิดว่าจะทำอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็เกิดลืมขึ้นมาว่า “เอ๊ะ เราจะทำอะไรหว่า ? ” มีการพบว่า ตัวประตูเองเนี่ยแหละที่เป็นต้นเหตุของการสร้างความผิดพลาดในจดจำของเรา นักจิตวิทยาจาก University of Notre Dame ได้พบว่าการที่สมองถูกกระตุ้นให้ลืมเวลาเดินผ่านประตูเรียกว่า “ผลจากการถูกสร้างขอบเขตในจิต” หรือ “The Boundary Effect” นั่นเอง ซึ่งอาการนี้ทำการกั้นชุดความจำและความคิด ณ เวลาหนึ่ง โดยข้อมูลในสมองของเราจะล้างความคิดที่คุณมีจากห้อง หรือทางเดินก่อนหน้านี้เพื่อเตรียมรับข้อมูลชุดใหม่ในสถานที่ใหม่ถัดไป

เสียงแตร หรือเสียงเตือนสั้นๆ (เสียง Beep)
          อาการที่คุณรู้สึกหงุดหงิด ไม่มีสมาธิเวลาได้ยินเสียงแตร หรือเสียงที่น่ารำคาญต่างๆ เราต้องโทษให้กับความผิดพลาดของวิวัฒนาการทางสมองของเราที่มีต่อเสียงจากการสังเคราะห์ต่างๆ โดยธรรมชาติแล้วเสียงเกิดจากการเคลื่อนที่ของพลังงาน ละค่อยๆ กระจายออก และเงียบหายไปในที่สุด ระบบการรับรู้ที่ถูกวิวัฒนาการของเราก็จะจัดการการรับรู้ว่า เสียงดังกล่าวมาจากไหน หรือกำเนิดจากอะไร แต่เสียง Beep พวกนี้ไม่ได้ทำตามธรรมชาติของเสียง คือมันไม่มีความถี่ที่น้อยลง หรือเบาลงเมื่อเวลาผ่านไป นี่เป็นสาเหตุให้สมองมีปัญหาเกิดขึ้น

พื้นที่เปิดโล่ง – กว้าง
          เมื่อเราเดินเป็นวงกลมในที่ๆ ไม่มีจุดสังเกต หรือเครื่องหมายบ่งบอกทาง เช่น ทะเลทราย เราจะคิดว่าเราเดินเป็นเส้นตรงทั้งๆ ที่เดินตีโค้งอยู่ นักวิจัยชาวเยอรมันจาก Max Planck Institute for Biological Cybernetics เผยว่าทุกๆ ก้าวที่เราเดิน จะเกิดความเบี่ยงเบนทีละน้อยเพื่อปรับการควบคุมการทรงตัวของสมอง หรือระบบการรับรู้ของร่างกาย ความเบี่ยงเบนของการควบคุมทิศทางนี้ จะรวบรวมข้อมูลและส่งให้ระบบควบคุมค่อยๆ ปรับตัวออกจากความโค้งนั้นๆ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าทิศทางที่เราเดินไป มีสิ่งก่อสร้าง และป้ายบอกทางเป็นต้น

Tkank : 3 Everyday Things That Drain Your Brain , รูปภาพ

................Toro Richclub................

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แปะก๊วย...ดาบสองคมที่ควรระวัง

          อยากบำรุงสมองต้องกินแปะก๊วย เรื่องนี้หลายท่านคงทราบโดยทั่วกัน แต่ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีสองด้านเสมอ เมื่อมีดีสุดขั้วก็ชั่ว เอ๊ย! ร้ายสุดโต่งได้เหมือนกัน ใช่ค่ะ...แปะก๊วยเองก็มีทั้งคุณและโทษอยู่ในตัวของมัน

คุณประโยชน์ของแปะก๊วย
          ใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคมะเร็ง อีกทั้งยังชะลอความแก่ได้ด้วย ฤทธิ์การยับยั้งการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ทำให้การไหลเวียนของหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดฝอยดีขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง จึงทำให้ความสามารถในการทำงานและตัดสินใจดี ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้สูบฉีดไปยังผิวหนังได้ดี มีฤทธิ์ช่วยให้ความจำดีขึ้น ยับยั้งความเสื่อมของสมอง

          ด้วยความที่รู้ว่าแปะก๊วยมีประโยชน์ต่อระบบสมอง ถึงคลั่งไคล้การกินเมล็ดแปะก๊วย ไม่ว่าจะนำมาต้มกับลำไยตากแห้ง ใส่น้ำแข็งดื่มกินเย็นชื่นใจ หรือจะนำไปเป็นส่วนประกอบในอาหารไม่ว่าจะข้าวผัด, ผัดผัก ต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ไปซื้อเมล็ดแปะก๊วยที่เยาวราช อาแปะคนขายให้ความรู้มาว่า "จริงๆแล้วเมล็ดมันไม่ได้มีฤทธิ์ช่วยขนาดนั้น ถ้ามีฤทธิ์แบบตรงจุดที่สุดคือที่ส่วนใบ" อ๋อ....นั่นสินะ ถึงได้มีสารสะกัดจากใบแปะก๊วยออกมาจำหน่ายเยอะแยะ

โทษมหันต์ของแปะก๊วย
          อย่างที่บอกว่าทุกสิ่งมีสองด้านดีและร้าย แปะก๊วยก็เปรียบเหมือนดาบสองคม หากใช้ไม่ดีก็มีโทษมหันต์เลยค่ะ เพราะมีผลไปขัดขวางการเกาะกันของเกร็ดเลือด ดังนั้นผู้ใช้ยาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด (Anti-Coagulants) เช่น ยา warfarin และคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดต้องระวังให้ดีค่ะ อีกทั้งหากรับประทานสารสะกัดแปะก๊วยมากเกินไปอาจมีผลข้างเคียงทำให้ ปวดศีรษะ, มึนงง, เวียนศีรษะ ทางเดินอาหารปั่นป่วน หรืออาจเกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง, ระบบหายใจและหลอดเลือดผิดปกติ  ง่วงซึม ระบบการนอนหลับก็ปั่นป่วนไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ทาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้ระบุข้อกำหนดในการใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย ดังนี้
          (1) ในการใช้สารสกัดแป๊ะก๊วยเป็นยาแผนปัจจุบัน จะต้องมีข้อบ่งใช้สำหรับผู้ที่เป็นโรคเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ รวมทั้งโรคของหลอดเลือดในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังผิดปกติ โดยจัดเป็นยาอันตราย ต้องขายเฉพาะในร้านขายยาแผนปัจจุบันและไม่ให้มีโฆษณาสรรพคุณต่อสาธารณะ

          (2) ในการใช้สารสกัดแป๊ะก๊วยเป็นยาแผนโบราณ ให้ขึ้นทะเบียนในลักษณะผสมกับสมุนไพรตัวอื่นๆ มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย และอนุญาตสรรพคุณของตำรับเป็นยาบำรุงร่างกาย

          (3) ในการใช้สารสกัดแป๊ะก๊วย เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะต้องได้รับใบสำคัญการใช้ฉลากอาหารและจะต้องไม่ระบุสรรพคุณใดๆในการบำบัดรักษาโรคเลย"

................Toro Richclub................

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เบาหวานแพ้กาแฟ ชนิดไร้คาเฟอีน

          วารสารการแพทย์สหรัฐฯ ระบุ ผู้ที่ดื่มชาหรือกาแฟ วันละ 3-4 ถ้วย สามารถจะป้องกันโรคลงได้ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 5 โดยแต่ละถ้วยลดความเสี่ยงโรคได้ 7%...

          คณะนักวิจัยพบหลักฐานขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นว่า ชากาแฟสามารถป้องกันโรคเบาหวานแบบที่ 2 ได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นกาแฟอย่างปลอดคาเฟอีนด้วย เพราะกาแฟไร้ คาเฟอีน กลับมีฤทธิ์แรงกว่าเพื่อน

          คณะได้พบจากการวิเคราะห์รายงานการศึกษา ซึ่งเกี่ยวพันกับคนจำนวนเกือบ 500,000 คน รวมกัน 14 เรื่อง

          วารสารวิชาการ "การแพทย์อายุรกรรม" ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รายงานผลการศึกษาแจ้งว่า ผู้ ที่ดื่มชาหรือ กาแฟ วันละ 3-4 ถ้วย สามารถจะป้องกันโรคลงได้ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 5 ในขณะที่กาแฟปราศจากคาเฟอีน กลับทำได้แรงกว่าถึง 1 ใน 3 ยิ่งกว่านั้นยังพบด้วยว่า กาแฟที่ดื่มเพิ่มมากกว่านั้น แต่ละถ้วยในแต่ละวันยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคลงได้ถึงร้อยละ 7

          โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะเป็นกับผู้ที่อยู่ในวัย 40 ปี ทั้งที่ร่างกายยังคงผลิตอินซูลินได้ หากแต่ไม่เพียงพอ หรือไม่ก็อินซูลินเหล่านั้นทำงานไม่ถึงขีด การรักษาต้องอาศัยการควบคุมอาหารและออกกำลัง นอกจากนั้นยังต้องใช้ยาหรืออินซูลินอีกแรงหนึ่ง

          หัวหน้านักวิจัย ดร.ราเชลฮักซ์เลย์ มหาวิทยาลัยซิดนีย์ของออสเตรเลีย กล่าวว่า สรรพคุณของกาแฟ คงไม่ได้มาจากคาเฟอีน เพราะในชากาแฟยังมีส่วนประกอบอย่างอื่นอีก เช่น แมกนีเซียมและสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น กรดโคลโรเกนิค "หากว่า ผลการค้นพบได้รับการพิสูจน์แล้ว หมอคงจะต้องแนะนำว่านอกจากการออกกำลังและการระวังรักษาน้ำหนักตัวแล้ว   ยังต้องพึ่งกาต้มน้ำด้วย".

Thank : http://hot.ohozaa.com/

................Toro Richclub................

ทึ่ง!! 5 อาชีพสุดแปลก กับเงินเดือนสุดแพง

          แน่นอนว่าบนโลกนี้ มีอาชีพหลากหลายมากมาย แต่เชื่อว่าเกือบ 90% หลายๆคนทำงานตรงกับสายงานที่เรียนมา แต่หนึ่งในอาชีพที่หลายๆคนอาจจะไม่เชื่อว่าจะทำรายได้ดี เรารวบรวมมาให้คุณแล้วที่นี่

1.สัปเหร่อ
          รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ $45,060 หรือประมาณ 1,400,000 บาท
อาชีพ นี้ เป็นอาชีพที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก แต่กลับมีรายได้สูงมากทีเดียว ทั้งการแต่งหน้าศพ ทำผม แต่ฟังดูแล้ว ดูเป็นอาชีพที่น่าขนลุกไม่น้อย แต่ถ้าใครใจกล้า รับรองว่ารายได้ไม่ธรรมดาจริงๆ

2.นักชิมไอศกรีม 
          รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ $56,000 หรือประมาณ 1,750,000 บาท
ฟัง ดูแล้วอาชีพนี้ น่าสนใจแถมรายได้ไม่ธรรมดาอีกด้วย เหมาะกับคนที่ชอบทานของหวาน ก็น่าจะชอบอาชีพนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าทำไมรายได้อาชีพถึงดีอย่างไม่น่าเชื่อ ก็เพราะว่าชีวิตใน แต่ละวันของนักชิมไอศกรีม ต้องพบเจอกับสารปรุงแต่งต่างๆ ที่เป็นสารเคมี มากมายนั่นเอง

3.นายแบบ นางแบบ เฉพาะส่วน
          รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ $55,000 หรือประมาณ 1,710,000 บาท
อาชีพ นี้ ถ้าใครเกิดมามีรูปร่างดี สัดส่วนดี ก็ถือเป็นโชคดีก็แล้วกัน เพราะในต่างประเทศ มักจะมีการถ่ายแบบเฉพาะส่วน เพื่อลงในนิตยสาร หรือหนังสือต่างๆ ถ้าใครมีอวัยวะสวยงามทุกส่วนของร่างกายล่ะก็ รับรองว่าเงินแน่นกระเป๋าอย่างแน่นอน

4.นักพากย์เสียง
          รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ $50,000 - 80,000 หรือประมาณ 1,500,000 - 2,500,000 บาท
นักพากย์เสียง ยิ่งถ้ามีประสบการณ์เยอะ ก็ยิ่งทำเงินได้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการสร้างรายได้ 300 $ (10,000 บาท) ภายใน 5 นาทีได้

5.นักช้อปปิ้งปริศนา
          รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ $20 - $30 ต่อครั้ง หรือประมาณ 600-1,000 บาท
คน เหล่านี้เป็นนักช้อปปิ้ง ที่บริษัทจ้างขึ้นมา เพื่อปลอมตัวเป็นลูกค้าจริงๆ เพื่อที่จะทำการประเมินคุณภาพของร้านค้า ว่าควรดูแลพนักงานของเขาอย่างไร

Thank : sanook
................Toro Richclub................

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ต้นไม้ไล่ยุง

ต้นไม้ไล่ยุง มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster)

          ต้นไม้กันยุงเป็นพันธุ์ไม้ที่ได้รับการพัฒนาโดยนักพืชสวนชาวดัทช์ Dirk van Leenen 
ซึ่งใช้ วิธีการทางพันธุ์วิศวกรรมระหว่างพันธุ์ไม้ 2 ตระกูล คือ อาฟริกัน เจอราเนียม (African Geranium) 
          และตะไคร้หอม (Citronella) ต้นไม้กันยุงจึงมีลักษณะคล้ายกับต้นเจอราเนียม 
แต่จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆของต้นตะไคร้หอม เนื่องจากน้ำมันตะไคร้หอมมีคุณสมบัติในการไล่ยุง (เป็น repellent) 
          ต้นไม้กันยุงนี้จึงสามารถ ไล่ยุงได้เช่นกัน แต่ประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับขนาดของต้นไม้และพื้นที่ที่ใช้งาน เช่น 
          ต้นไม้กันยุง อายุประมาณ 2 เดือน จะมี ความสูงจาก ผิวดินประมาณ 6 นิ้ว 
          กลิ่นน้ำมันที่ระเหยออกมาจากต้นไม้จะสามารถไล่ยุงได้ในพื้นที่ประมาณ 100 ตารางฟุต เป็นต้น 
          อย่างไรก็ตาม ใน ต้นไม้กันยุงจะมีสารอยู่สองชนิด คือ สารที่มีคุณสมบัติเป็นสารดึงดูดยุง (attractant) 
          และสารไล่ยุง (repellent) ต้นไม้กันยุงที่ยังเล็กจะมี สารดึงดูดยุงมากกว่าสารไล่ยุง 
ต่อเมื่อโตขึ้นสารดึงดูดยุงจะค่อยๆลดปริมาณลง จนสารไล่ยุงสามารถแสดงคุณสมบัติได้เต็มที่ 


ชื่อวิทยาศาสตร์      
          Pelargonium citrosum

ลักษณะ     
          เป็นไม้พุ่ม ใบแตกออกจากทั้งตายอดและตาข้าง ขอบใบหยัก

ส่วนที่ใช้     
          ใช้ทั้งต้นโดยจะปลูกเป็นไม้ประดับ ในขณะเดียวกันก็จะช่วยไล่ยุงไม่ให้เข้ามาใกล้

วิธีใช้     
          วางกระถางที่ปลูกต้นไม้กันยุงไว้ในห้อง สามารถไล่ยุงได้ตลอด 24 ชั่วโมง

          การดูแลรักษา มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster) จะเหมือนกับการดูแลรักษาต้นไม้ประดับที่ปลูกในกระถางทั่วไป คือ ช่วงตอนเช้า รดน้ำวันละครั้ง ก่อนนำต้นไม้ไปไว้ในที่มีแสงแดดส่องถึง และมีอากาศถ่ายเทสะดวก ทิ้งไว้ทั้งวัน ถึงเวลาตอนเย็นก็สามารถนำมาใช้งานได้ตามปกติ การใส่ปุ๋ย ควรใส่เดือนละครั้ง ใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 (สูตรเสมอ) โดยใส่ครั้งละครึ่งช้อนชา หรือประมาณ 15 เม็ด โรยรอบๆขอบกระถาง แล้วรดน้ำตามปกติ (*ถ้าพบว่าใบของต้นไม้กันยุงมีสีเหลืองแห้ง หรือเหี่ยวลง ควรเล็มใบนั้นออก เพื่อให้เกิดใบใหม่งอกขึ้นมาแทน)

          ต้นไม้กันยุงมีขายที่ไหน? ต้นไม้กันยุง มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster) จัดเป็นพันธุ์ไม้ที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ เหมือนกับไม้ดอกไม้ประดับทั่วๆไป สามารถหาซื้อได้ตามร้านหรือสถานที่ขายพันธุ์ไม้ทั่วไป ราคาของต้น มอสซี่ บัสเตอร์ ขึ้นอยู่กับความสูง และขนาดของพุ่ม เช่น ต้นสูงไม่เกิน 1 ฟุต ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 10-40 บาท จังหวัดเชียงใหม่หาซื้อได้ที่ตลาดคำเที่ยง ถ้าในกรุงเทพฯหาซื้อได้ที่สวนจตุจักร ตลาดวัดหลวงพ่อโต

Thank : thaihomemaster, google
.......................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เข้าใจชีวิต

          7 เรื่องต่อไปนี้ แม้คุณจะไม่ชอบ แต่ยังไงก็จะเกิดขึ้น บางเรื่องคุณอาจจะเจอแล้ว หรือไม่ก็ต้องเจอไม่วันใดก็วันหนึ่งนี่แหละ…จะดีกว่าไหม ถ้าคุณได้รู้และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเจอ แถมยังช่วยให้เข้าใจสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้ดียิ่งขึ้น… 

1. เพื่อนจะเข้ามาและจากไปเสมอในชีวิตของคุณ…
          สังเกตสิคนที่เคยคุย เคยเที่ยวเล่นกันในช่วงเวลาหนึ่ง พอย้ายที่เรียน  เปลี่ยน ที่ทำงาน ต้องแยกกันไป ก็จะกลายเป็นเพื่อนเก่าที่ค่อยๆ ห่างไป ขณะเดียวกันเพื่อนใหม่ก็จะเข้ามาแทน มีน้อยที่จะยังติดต่อกันตลอด เช่นเดียวกับเพื่อนที่คุณสนิทในตอนนี้ ก็อาจจะหายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เรา จึงไม่ควรยึดติดกับใคร เพราะต่างก็ต้องมีทางเดินของตัวเอง คอยเปิดใจรับมิตรภาพใหม่ๆ ดีกว่า เพราะมีผู้คนที่น่าสนใจอีกมากให้คุณได้รู้จักในทุกๆ ที่

2. สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นอย่างที่คุณอยากให้เป็นเสมอ…
          คุณมักไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ดันได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการใช่ไหม? ไม่มีประโยชน์เลยที่จะเครียดหรือทุกข์ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ แต่วิธีที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้นๆ คุณเปลี่ยนได้นะ

3. หลายคนรักคุณ แต่ส่วนมากจะไม่…
          ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียง ชอบทำการกุศล หรือเป็นแค่คนธรรมดา ก็จะมีคนรักคุณ แน่ๆ แต่ยังไงก็ต้องมีคนที่ไม่ชอบคุณด้วยเช่นกัน เหตุผลน่ะเยอะแยะ ไม่ว่าจะอิจฉา หรือเพียงเพราะคุณไม่เหมือนเขา ถ้าพวกเขาจะเอาแต่พูดเรื่องคุณ นั่นก็เป็นปัญหาของพวกเขานะไม่ต้องใส่ใจ จำไว้ว่าคุณดีในแบบของคุณและนับถือตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนชอบคุณ 

4. ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้นอกจากตัวคุณเอง…
          คนอื่นช่วยเหลือคุณก็ได้แค่ระดับหนึ่ง ชีวิตใครก็ต้องคนนั้นแหละที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จงเรียนรู้ที่จะยืนด้วยสองเท้าของตัวเองโดยไม่ต้องใช้คนอื่นๆ เป็นไม้เท้าค้ำยันในชีวิต เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่กับคุณไปตลอด

5. ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้…>>
          ไม่มีใครประสบความสำเร็จอย่างเดียวหรอก ยังไงก็ต้องล้มเหลวก่อน  นอกจากเรียนรู้จากบุคคลอื่นแล้ว ความ ล้มเหลวของคุณเองนี่แหละที่เป็นบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตที่จะสอนคุณ ใช้มันเป็นแรงผลักดันให้คุณประสบความสำเร็จ ดีกว่าจมปลักไม่ไปไหน

6. อาจไม่มีพรุ่งนี้…
           เราไม่มีทางรู้ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น รถชน หัวใจวาย หรือแม้แต่โลกจะแตก มันเป็นไปได้หมด เผชิญหน้ากับมันซะ ยัง ไงวันหนึ่งก็ต้องเป็นวันสุดท้ายของเรา เพราะฉะนั้นในแต่ละวันทำให้ดีที่สุด ดูแลคนที่คุณแคร์ให้มาก ไม่ต้องกังวลกับเรื่องเล็กน้อย และใช้เวลาทำในสิ่งที่คุณชอบด้วย 

7. ใครๆ ก็มีมากกว่าคุณ…
            พอมองไปก็จะเห็นแต่คนที่มีอะไรมากกว่าตัวเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงิน ตำแหน่ง หรือเพื่อน แต่รู้ไว้อย่างเพียงเพราะเขามี “มากกว่า” ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีความสุขกว่านะ อ่านประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงดู พวกเขาน่ะสนุกกับกระบวนการในการได้เงินมากกว่าตัวเงินซะอีก จงโฟกัสไปในสิ่งที่คุณรักดีกว่า เพราะมันจะตามมาด้วยความสุขที่มากกว่า        

          ชีวิตก็อย่างนี้แหละ ถ้าเข้าใจและยอมรับมัน คุณก็จะสนุกกับการใช้ชีวิต…

Thank : pattanakit.net
................Toro Richclub................

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เตือนภัย! แค่นำรถไปล้าง อาจเป็นเรื่อง

          ขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์ กล่าวได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ทางด้านการประกันภัยของตัวรถยนต์ ทางบริษัทที่รับทำประกันภัย ก็จะมีเงื่อนไขต่าง ๆ ตลอดจนข้อระบุต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวรถยนต์มากมายที่เดียว แต่บทความที่จะทำการกล่าวถึงต่อไปนี้นั้น มิได้มีการเกี่ยวข้องกับการประกันภัยแต่อย่างใด แต่จะชี้แจงในเรื่องที่ท่านเจ้าของรถยนต์ไม่ควรประมาท ยิ่งสังคมสมัยนี้มีเรื่องราวแปลก ๆเกิดขึ้นมากมายในแต่ละวันไม่เว้นแม้กระทั่งรถยนต์อย่างบทความที่จะทำการกล่าวถึงในต่อไปนี้ครับ.

          การทำความสะอาดรถยนต์ถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าจะทำความสะอาดรถยนต์ด้วยตนเอง หรือสถานีบริการทำความสะอาดรถยนต์สำหรับในกรณีที่ นำรถไปทำความสะอาดจากสถานที่รับบริการทำความสะอาดรถยนต์ ขอให้ระมัดระวังพวกมิจฉาชีพ ที่รอจังหวะท่านเจ้าของรถเผลอ จะทำตัวเหมือนบุคคลทั่วไป หากสถานที่ที่ทำความสะอาดรถยนต์นั้น มิได้ออกเอกสารการรับบริการยิ่งน่ากลัวกันไปใหญ่ การที่มิได้ออกเอกสารก็อาจจะเป็นช่องโหว่ ที่พวกมิจฉาชีพเหล่านั้น คอยหาจังหวะอยู่ก็เป็นได้

          มาทำความเข้าใจกันเลยว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน สมมุติว่านำรถเข้าไปล้างยังสถานีบริการแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ทำการรับรถเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเจ้าของรถยนต์ก็ไปทำธุระหรือ ไปทำภารกิจอื่น ที่ไกลจากตัวรถมาก พร้อมกันนั้นสถานที่แห่งนั้นก็มิได้ออกใบรับรถให้ จากนั้นพวกพนักงานก็ต่างคนต่างทำงานของหน้าที่ตนเองไป(ตามประสา) คนล้างรถก็ล้าง คนเช็ดก็เช็ด คนเก็บเงินก็คอยเก็บเงินโดยไม่สนใจเลยว่าใครจะเป็นอย่างไร อะไรทำนองนี้ แล้วจู่ ๆ มีคน (มิจฉาชีพ) มาบอกว่า "รถยนต์คันนี้เสร็จหรือยัง จะรีบไปทำธุระ " หรือ รถยนต์คันนั้น คันนี้ ลูกค้าคนนั้น คนนี้ ให้มารับรถแทน หรือ อื่น ๆ อีกมากมาย ที่พอจะทำให้ตายใจสนิทใจ พอจ่ายเงินค่าบริการเสร็จ ก็หายวับไปกับตา กว่าจะรู้ว่าถูกขโมย ต้องรอเจ้าของรถมารับรถถึงจะได้ทราบกัน เหตุการณ์ดังกล่าว ขอให้ระวังกันนะครับ ถึงแม้จะไม่มีข่าวเกิดขึ้นก็ตาม

          ทางด้านสถานประกอบการก็เช่น เดียวกัน หากได้เข้ามาอ่านแล้วก็ให้ระวังกันไว้บ้างนะครับ ต้องขอบอกเลยว่าคนที่ทำงาน (ส่วนใหญ่) ที่เป็นลูกจ้าง ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของรถกันแน่ ดังนั้น ขอให้ระวังเจ้า (พวกนั้น) ยังไงกันย่อมดีกว่าแก้ แน่ ๆ ครับ อีกกรณีหนึ่ง การที่ให้ยืมรถแก่กันและกัน ดังที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นว่า "รถยนต์เป็นทรัพย์สิน ที่เคลื่อนที่ได้" ขอให้ไตร่ตรองกันให้มากครับ จริงอยู่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรต่อไปในเวลาข้างหน้า ควรพิจารณากันไว้ด้วยนะครับ บทความที่เกี่ยวกับมิจฉาชีพมีให้อ่านอยู่ในบทความของเราอีกครับ ทางผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับประโยชน์จากบทความของเราในทุกเรื่องครับผม ท้ายนี้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน มีความสุขร่ำรวยกันถ้วนหน้าครับ

Thank : แผนก เทคนิคและฝึกอบรม บริษัท พิธานพาณิชย์ จำกัด (กรุงเทพฯ)


................Toro Richclub................

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โปรดทราบ น้ำส้มสำเร็จรูปทุกประเภทคือของปลอม!

        หนุ่มสาว ผู้รักสุขภาพย่อมมีความรู้พื้นฐานสำหรับการดูแลตัวเองว่า เมื่อผลไม้ถูกคั้นน้ำออกจากผล น้ำผลไม้สดนั้นจะคงวิตะมินและสารอาหารไว้ได้เพียง 3 ชั่วโมง แล้วน้ำ(รส) ผลไม้บรรจุขวดและกล่องจะเหลืออะไร หลังจากผ่านกรรมวิธีแสนสาหัสกว่าจะได้วางขาย

        นอกจากน้ำส้มในขวดหรือกล่องจะมีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพียงน้อยนิด รวมถึงติ่งวิตะมินซีจากความเปรี้ยว แต่เรายังคงเดินหน้ากว้านซื้อน้ำส้มกล่องและขวดกันต่อไป ด้วยเหตุผลเรื่องความสะดวกสบายเป็นหลัก ฉะนั้น ปอปขอนำเสนอเรื่องที่น่าเจ็บปวดของน้ำส้มอีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนอาจยังไม่ รู้ก็คือ
           ไม่ใช่แค่โดนหลอกว่ามันคือน้ำส้มแท้เพียงอย่างเดียว รสส้มที่คุณลิ้มชิมผ่านบรรจุภัณฑ์เหล่านั้น ก็ไม่ใช่รสส้มที่เกิดจากน้ำผลไม้จริงๆ ด้วย หากเป็นรสส้มเทียมที่มีการผสมผสานขึ้นจากน้ำมันและหัวเชื้อ เนื่องจากรสส้มธรรมชาติที่มาพร้อมกับน้ำและเศษเนื้อส้มจริงๆ ถูกกำจัดทิ้งตั้งแต่กรรมวิธีการผลิตแล้ว

ทีนี้เขาผลิตน้ำส้มเสมือนกันอย่างไร มันถึงได้ไม่เหลือรสชาติและมีสารอาหารเพียงกระจิริด

    หลังจากคั้นน้ำออกจากผล ปริมาณของเหลวทั้งหมดจะถูกเทรวมกันในถังแช่ขนาดยักษ์ และเริ่มการดูดอ็อกซิเจนออกจากน้ำ เพื่อให้ของเหลวนั้น (จะเรียกน้ำส้มก็ไม่ได้ เพราะสารอาหารก็ไม่ใช่ รสก็ไม่มี) คงชีพอยู่ได้โดยไม่เน่าเสียไปอีกหลายเดือนจนถึง 1 ปี พอรสส้มธรรมชาติหมดไป ในอเมริกาจะว่าจ้างบริษัทที่รับทำรสและกลิ่น – เหมือนบริษัททำน้ำหอมนั่นแล – เอาหัวเชื้อผสมน้ำมัน ผลิตรสเสมือนส้มเติมลงไป การผลิตกลิ่นเสมือนส้มนี้ บริษัทที่รับทำรสส้มนั้นต้องพยายามผสมให้ได้รสที่โดดเด่นและเก๋ไก๋ที่สุด ทั้งยังไม่ทิ้งความกลมกล่อมประหนึ่งน้ำส้มแท้ ส่วนพี่ไทยเรา อาจจะรวมทุกขั้นตอนผลิตเองได้หมด
    พอได้รสชาติเสมือนส้มที่ไม่เหมือนใครและอร่อยเลิศหลอกคนได้ทั้งโลกหล้า บริษัทผลิตรสส้มก็ส่งกลับไปยังบริษัทแม่ เติมกลิ่นนี้ลงไปในน้ำที่สกัดไว้แต่แรก และเพิ่มส่วนผสมนู่นนี่นั่น จนได้น้ำส้มเสมือนพร้อมเทลงบรรจุภัณฑ์ ทำการตลาด ออกโฆษณา และวางจำหน่าย ขายได้สบายกระเป๋าพ่อค้า

            เอาละ หลังจากรู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามกันไปแล้ว หันมามองดูตัวเองผู้อาศัยอยู่ในประเทศที่อุดมไปด้วยข้าวปลาอาหารและผล หมากรากไม้ จำเป็นหรือไม่ที่เราต้องพึ่งพิงเครื่องดื่มแปรรูปเหล่านั้น สำหรับคนเมืองที่เร่งรีบ บางครั้งอาจจะใช่ แต่ส่วนใหญ่ – หากยังมีเวลาเปิดเฟซบุ๊คได้เป็นล่ำเป็นสัน แนะนำให้แวะร้านน้ำปั่นคุณป้ารถเข็นย่านใกล้เคียง มันอาจจะไม่หรูหราและเย็นฉ่ำเหมือนเซเว่นอีเลฟเว่นหรือห้างสรรพสินค้า แต่ได้คุณค่าทางอาหารครบถ้วนกว่าเป็นไหนๆ

Thank : poppaganda.net
................Toro Richclub................

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

30 เรื่องจริง ที่สาวๆ ไม่กล้าเถียง...

1.ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแต่มีของ 4 อย่างที่ ผู้หญิง ต้องหยุดดู..ตุ้มหู กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้า

2.ผู้หญิงชอบกินเค้กช็อกโกแลตและชอบบ่นว่าตัวเองอ้วน

3.เวลาเธอถามว่าเธออ้วนไปหรือเปล่า? ถ้าคุณตอบว่าเปล่า เธอจะไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณตอบว่าอ้วน เธอก็จะโกรธ

4.หากจะอธิบายเรื่องเวรกรรมให้ผู้หญิงเข้าใจให้ยกเรื่องสลิปบัตรเครดิตมาเป็นตัวอย่าง

5.ผู้หญิงชอบให้คนมาจีบ แต่ไม่ได้ชอบทุกคนที่เข้ามาจีบ

6.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับครีมทาผิวและโฆษณาครีมทาผิวทุกตัวได้ผลเสมอ

7.ผู้หญิงไม่เคยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินช็อปปิ้ง และหากนับก้าวระหว่างที่เธอเดิน คุณคงไม่เชื่อในระยะทางที่วัดได้

8.เวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่มีอะไร แปลว่ามีอะไร และผู้ชายไม่รู้หรอก (เฉลยไปเลย)

9.เวลาผู้หญิงร้องไห้ เธอจะต้องการการปลอบโยน แต่ถ้าไปถาม เธอจะบอกว่า “ไม่ต้อง”

10.ผู้หญิงสนใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลายของกระเป๋าหรือตุ้มหู อย่าถามความเห็นของคุณผู้ชายเลยเพราะเขามองไม่ออกจริงๆ

11.ผู้หญิงใช้ลิปสติกไม่เคยหมดแท่ง

12. ผู้หญิง ชอบสมัครฟิตเนสและจินตนาการว่าตัวเองจะฟิตแอนด์เฟิร์มขึ้นในสามเดือนข้าง หน้า แต่หลังสมัครเสร็จเธอจะแวะไปที่ร้านกิฟท์ช็อปที่อยู่หน้าฟิตเนสและนานๆ จะมาที่นี้สักที

13.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับดอกไม้ เมื่อได้รับดอกไม้ยิ่งช่อใหญ่ยิ่งดี

14.ผู้หญิงจำวันทุกวันเก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นวันแรกที่เจอ วันแรกที่คบ วันครบรอบ วันเกิด และวันอะไรอีกมากมายและนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เธอทะเลาะกับแฟน

15.ผู้หญิงชอบอ่าน ดวง ในแมกกาซีนและบอกว่าแม่นมาก โดยที่ผู้ชายไม่ค่อยเชื่อ

16.คำขอโทษที่ดีที่สุดคือ “ไปช็อปปิ้งมั้ย?”

17.ผู้หญิงไม่รู้ว่าที่เปิดกระโปรงรถอยู่ไหน เพราะไม่รู้ว่าจะเปิดมันไปทำไม หรือถึงเปิดเป็นก็ไม่รู้จะทำอะไรกับมันดี

18.เวลาทะเลาะกัน เธอจะบอกว่าไม่ต้องโทรมาอีกแล้ว แต่หลังจากวางหู เธอจะหันไปมองโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ พอกลับมาดีกัน เธอจะต่อว่าๆ พอกลับมาดีกัน เธอจะต่อว่า ว่าตอนนั้นทำไมไม่โทรมา (อ้าว)

19. ผู้หญิงสนใจเรื่องราวของเพื่อนเรากับแฟน(ของเพื่อนเรา)มากกว่าตัวเรา(ที่เป็นเพื่อนมันจริงๆ)เสียอีก

20.ผู้หญิงกินข้าวเป็นมื้อจริงๆ น้อย กินขนมระหว่างมื้อเยอะ

21.ผู้หญิงผมตรงอยากผมหยิก ผู้หญิงผมหยิกอยากผมตรง

22.กระเป๋าถือของผู้หญิง มีน้ำหนักมากกว่าสายตาประเมิน และข้างในบรรจุของไว้มากมาย แม้เธอจะไม่ใช้ทุกอย่างก็ตาม

23.เวลากลุ่มเพื่อนผู้หญิงนัดกัน มักจะเม้าท์เรื่องของแฟนอย่างสนุกสนาน ผู้ชายรู้ดีเลยแค่ขับรถไปส่งแล้วค่อยไปรับตอนจะกลับอีกครั้ง

24.ตุ๊กตาส่วนใหญ่ไม่มีปาก เพราะมีผลการวิจัยว่า การไม่มีปากทำให้ผู้หญิงรู้สึกเหมือนว่าตุ๊กตากำลังรับฟังและเข้าใจความรู้ สึกของธอ ไม่ว่าเธอจะรู้สึก สุข เศร้า เหงา และรัก

25.ในที่ทำงาน มักจะมีเพื่อนร่วมงานผู้หญิงที่ไม่ค่อยถูกกับเพื่อนร่วมงานผู้หญิงด้วยกัน อย่างน้อยก็คู่หนึ่งละ

26.เวลาผู้หญิงนินทากันเอง แม้ผู้ชายจะทำหน้าเฉยๆ แต่ก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน

27.ผู้หญิง ทุกคนต้องมีตู้เสื้อผ้าสองตู้ขึ้นไป และเมื่อถึงสี่ตู้เมื่อไหร่จะเริ่มบริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ใช้ให้คนอื่น และตอนที่เริ่มโละของ จะมีประโยคประเภท “เสื้อตัวนี้ยังไม่ได้ใส่เลย!!!”

28.ผู้หญิงมีเคล็ดลับในการแสดงความเป็น เจ้าของ เช่น ติดรูปถ่ายคู่ไว้ในกระเป๋าตังค์ของเขา เอาตุ๊กตาไว้หน้ารถเขา วางตุ้มหูระยิบระยับไว้ที่ห้องรับแขกในบ้านเขา ถือเป็นสิ่งเล็กน้อยที่แฝงไปด้วยเทคนิคล้ำเลิศ

29.เริ่มต้นวันใหม่ด้วยประโยค “วันนี้คุณสวยจัง” จะทำให้เธออารมณ์ดีไปทั้งวัน

30.ดูเหมือนว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบช็อปปิ้ง ฝันอยากขึ้นปกแมกกาซีนและอยากรักกับพระเอกฮอลลีวู้ด แต่ความจริงคงยากที่ชีวิตจริงจะเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงทุกคนจึงมีอีกความฝันเล็กๆ อีกอันซ่อนอยู่ นั่นก็คือ การได้ทำกับข้าวเย็นให้แฟน นั่งดูทีวีด้วยกันตอนค่ำ นอนกอดกันตอนกลางคืน ตื่นมาจัดที่นอนและตื่นขึ้นมาเตรียมข้าวเช้าให้ และอยากให้เขาบอกว่า “ผมรักคุณ” และหอมแก้มหนึ่งทีก่อนไปทำงาน (คุณว่าจริงมั้ย)
..............................Toro Richclub..............................

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รู้หรือไม่? กินมันฝรั่งทอด 1 ถุง = ดื่มน้ำมันพืช 5 ลิตร!!!

          ผงะ!กันเลยทีเดียว เมื่อผลวิจัยจากประเทศอังกฤษ ระบุว่า การรับประทานมันฝรั่งทอด 1 ถุง/วัน เท่ากับการดื่มน้ำมันพืชที่ใช้ทอด ในปริมาณถึง 5 ลิตร!

          นักโภชนาการจากประเทศอังกฤษ ไมเคิล มอสส์ ได้ตีแผ่ความจริงของมันฝรั่งทอดไว้ว่า อาหารประเภทนี้ไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคอ้วนลงพุงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังก่อให้เกิดสารพัดโรค ไม่ว่าจะเป็น ฟันผุ เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง และอาจแท้งลูกได้อีกด้วย

          ทันทีที่มันฝรั่งทอดทุกแผ่น เข้าไปอยู่ในท้องนั้น มันไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายเลย เพราะมันฝรั่งเป็นผักที่เก็บไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดได้เป็นอย่างดี

          อีกทั้งตัวเกลือที่เพิ่มรสในมันฝรั่ง ก็ยังเป็นตัวสุดยอดอันตราย เพราะเกลือถือเป็นตัวเรียกรสชาติให้ติดปาก เมื่อกินมันฝรั่งทอดไปแล้ว ครั้งแรกก็จะทำให้เกิดความอยากจนหยุดไม่ได้

          เมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มาก ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคส และ อินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เป็นโรคอ้วนตามมาด้วย รวมไปถึงโรคเบาหวาน และ โรคหัวใจ

          แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยก็คือว่า การรับประทานมันฝรั่งทอดนี้ จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุในเด็ก เพราะเวลารับประทานในแต่ละครั้ง มันฝรั่งจะติดซอกฟันนานเป็นชั่วโมง และด้วยนิสัยของเด็กที่ไม่ชอบแปรงฟัน ก็ยิ่งจะทำให้เกิดเชื้อโรคสะสมในปาก และฟันผุในที่สุด

          ส่วนภัยอันตรายชิ้นสุดท้ายก็คือ หญิงตั้งครรภ์คนไหนชอบกินมันฝรั่งทอดเป็นชีวิตจิตใจ ก็จะพบความเสี่ยงในการแท้งลูก พอๆกับการสูบบุหรี่ เพราะในมันฝรั่งมีสารก่อมะเร็ง ที่เรียกว่า อะคริลาไมด์ ซึ่งมักจะได้มาจากอาหารประเภททอด ที่ใช้ความร้อนสูง เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้ว จะเข้าไปทำลาย DNA และสั่งสมองให้ทำงานช้าลงอีกด้วย

Thank : http://www.mensmile
..........................Toro Richclub..........................


น้ำมะพร้าวอ่อน"....พระเอกตัวใหม่ในวงการแพทย์...

          ในทางอายุรเวช  น้ำมะพร้าว  ถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ ที่ช่วยในการักษาและมีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น  ช่วยล้างพิษ  ดูดซับและขับของเสียออกจากร่างกายทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยสดใส  ถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  ส่วนเนื้อมะพร้าวอ่อนและแก่  ได้รับการยืนยันในทางการแพทย์ว่าช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ  ซึ่งหลายคนจะเข้าใจผิดว่าเนื้อมะพร้าวและกะทิจะทำลายสุขภาพ ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะในเนื้อมะพร้าวมีไขมันเชิงเดี่ยวเผาผลาญได้ง่าย ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานในการเผาผลาญจึงถือได้ว่า ช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่งด้วย 

          น้ำมะพร้าวอ่อน เรารู้จักกันดีว่ามีรสชาติหอมหวาน นอกจากจะใช้ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ทราบหรือไม่ว่าน้ำมะพร้าวอ่อนยังสามารถดื่มเพื่อทดแทนเกลือแร่เวลาที่เราสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย หรือขาดเกลือแร่เนื่องจากอาการท้องเสียได้ดีอีกด้วย

" น้ำมะพร้าว" ถือ เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง
          ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบนน้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิดเช่น โพแทสเซียมเหล็ก โซเดียมแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์และวิตามินบี แถมย ังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

ดื่มน้ำมะพร้าวช่วงท้อง ดีจริงหรือ ? 
          ขณะตั้งครรภ์ คุณแม่จะได้รายชื่อสารพัดอาหารบํารุงครรภ์ จากทุกสารทิศ หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้น ‘น้ำมะพร้าว’ เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มสําหรับคนท้องเลยก็ว่าได้ ด้วยสรรพคุณที่ได้ยินกันมาว่า เป็นน้ำที่สะอาด ดื่มเข้าไปแล้ว จะทําให้เด็กในท้อง ตัวสะอาด คลอดออกมาแล้วลูกจะผิวสะอาด ไม่มีไขมันติดตามตัว

ดื่มน้ำมะพร้าว ลูกในท้องตัวสะอาด 
          จากการสอบถาม นพ.อนันต์ โลหะพัฒนะบํารุง กุมารแพทย์ คุณหมอได้ให้ความเห็นในเรื่องน้ำมะพร้าวว่า “ในน้ำมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวก็มี มีทั้งสองอย่าง ซึ่งเป็นข้อดี เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดื่มน้ำมะพร้าว จะทําให้การสร้างไขตัวเด็กได้สีค่อนข้างขาว เลยอาจจะดูว่าเด็กออกมาตัวสะอาด คงไม่ใช่ออกมาแล้วเด็กไม่มีไข"

          จริงๆ แล้วไขตัวเด็กนี้มีประโยชน์มาก เพราะจะทําให้เด็กคลอดง่าย ฉะนั้นคุณแม่ที่ดื่ม
น้ำมะพร้าวบ่อยๆ อาจจะทําให้ไขตัวเด็กมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่สีจะสะอาด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร เนื่องจากเป็นธรรมชาติที่เด็กต้องมีไขมันห่อหุ้มตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิจากภายนอกด้วย” 

ในน้ำมะพร้าวมีอะไรบ้าง?
          เอ่ยถึงในแง่ธรรมชาติบําบัด น้ำมะพร้าว เป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุสําคัญต่อร่างกาย ได้แก่ โปรตีน น้ำตาล แคลเซียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส และไขมันที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แถมน้ำมะพร้าว ยังเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เหมือนใครตรงที่ มะพร้าวมีลําต้นสูง กว่าต้นมะพร้าวน้ำจะออกดอกเป็นผล มีน้ำให้ได้ดื่มกัน ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ มาแล้ว คนไทยจึงถือว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์มาก 

ประโยชน์มากมาย
          น้ำมะพร้าว สามารถดื่มเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้นิ่ว บํารุงเส้นเอ็น บํารุงกระดูก มีฤทธิ์เป็นกลาง สามารถขับพยาธิ ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสจากน้ำมะพร้าวไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายสดชื่น (ใครชื่นชอบน้ำอัดลมเพื่อดับกระหาย ลองเปลี่ยนเป็นน้ำมะพร้าวเย็นๆ สักแก้ว)

          อาหารทุกชนิดถึงแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้น อย่างคนเป็นโรคไต โรคเบาหวานไม่ควรดื่มมาก และการซื้อน้ำมะพร้าวดื่ม ควรเลือกน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นลูก ไม่ควรซื้อที่บรรจุขวดขาย ถ้าไม่แน่ใจในความสะอาด และสารฟอกขาวต่างๆ ที่สามารถฉีดใส่เข้าไปได้ (ส่วนมากพบในมะพร้าวเผา)

น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
          การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ
และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส
          น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอกเพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดีแถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย ( คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์)จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูงทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

Thank : www.stou.ac.th
.......................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โรคปวดยอดฮิตของคนทำงานออฟฟิศ

          คนทำงานออฟฟิต ใครบ้างที่ไม่เป็น? รับรองได้ว่าร้อยคน เป็นปวดหลัง 95 คน อีก 5 คนที่เหลือคือเด็กใหม่ เพิ่งเข้าทำงานไม่เกิน 3 ปี เพราะอาการเจ็บปวดจากการที่เราใช้ร่างกายผิดท่านานๆ นั้น กว่าอาการจะฟ้องให้เห็นก็ 3-5 ปีขึ้นไป คลีโอเข้าใจสาวทำงานหน้าคอมได้เป็นอย่างดี วันนี้ขอไปคุยกับ คุณอารีย์ เจริญไชยชนะ นักกายภาพบำบัดที่ยืนยันว่ารักษาอาการปวดหลังปวดไหล่ที่เกิดจากการทำงานนั้นแก้จากสาเหตุ ดีกว่ารักษาที่ปลายเหตุ และจัดท่าทางที่เหมาะสมขณะ นั่ง เดิน ยืน จะช่วยลดอาการปวดต่างๆได้แน่นอน และถ้าปล่อยให้ปวดเรื้อรังไปนานๆ อาการเลวร้ายที่สุดที่คุณจะเป็นได้คือ หมอนรองกระดูกอักเสบทับเส้นประสาท หรือกระดูกคอทับเส้นประสาท จนขาชาหรือแขนชาไม่มีแรง

          จัดท่า+จัดคอมให้ถูกช่วยได้ ว่าแล้วมาตรวจสภาพโต๊ะ เก้าอี้คอมพิวเตอร์ และท่านั่งกันด่วน

          คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค : จริงๆแล้วเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะเดินทางมากกว่าที่จะใช้งานตั้งโต๊ะเป็นประจำ ทำให้เกิดปัญหาปวดคอ ปวดไหล่ เมื่อใช้ทำงานนานเกินไป ซึ่งควรใช้อุปกรณ์เสริมเมื่อต้องนั่งทำงานนานๆ เช่น ควรต่อสายคีย์บอร์ดแยกออกมา ดีกว่าใช้แป้นพิมพ์บนคีย์บอร์ดโน็ตบุ๊ค และถ้าหากหน้าจอสูงหรือต่ำกว่าระดับสายตาเกินไป ให้ใช้แท่นรองโน้ตบุ๊ค ช่วยปรับระดับ

          หน้าจอคอมพิวเตอร์ : ตั้งให้ตรงกับสายตาและพอดีกับระดับสายตาพอดี ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะต้องก้มคอเงยคอ เอียงคอเป็นเวลานานจนทำให้เกิดอาการปวดได้ ระยะห่างของจอคอมพิวเตอร์จากตัวเรา อยู่ที่ประมาฝณ 16 นิ้ว เพราะระยะที่สายตาเราจะโฟกัสได้ดี และนั่งทำงานได้อย่างสบายตา

          คีย์บอร์ด : ระดับสูงต่ำที่เหมาะสมก็คือ ขณะที่วางมือบนแป้นพิมพ์ ไหล่ต้องไม่ยกขึ้นมา ถ้าใช้เก้าอี้ที่มีพนักแขนด้วยก็จะดีมาก ช่วยรับน้ำหนักแขนขณะที่พิมพ์งานได้ และควรหัดพิมพ์แบบสัมผัส ตาและคอจะได้ไม่ต้องก้มเงยบ่อยๆ

          เม้าส์ : เมื่อวางมือแล้วข้อมือควรขนานกับโต๊ะ และต้องไม่กระดกข้อมือมากเกินไป ลองเลือกเม้าส์ที่ไม่อ้วนหรือใหญ่เกินไปที่รองข้อมือไม่ควรใช้แบบที่แข็งแรงเกินไป ควรใช้แบบเจลจะดีกว่า

          เก้าอี้ : ความสูงของเก้าอี้เมื่อนั่งแล้วควรวางขาได้พอดี ท่านั่งที่พอดี คือ เมื่อนั่งแล้วลำตัวและต้นขาทำมุมกันได้ฉากพอดี (นั่นคือ ท่านั่งที่หลังตรง) และขณะที่ ขาและข้อพับใต้เข่านั้นก็ทำมุมฉาก 90 องศากับขาท่อนบนเช่นกัน มองไกลๆจะเหมือนภาพขั้นบันไดสามขั้น ลดหลั่นกัน

          พนักเก้าอี้ : ควรมีส่วนโค้งที่รับกับบั้นเอวพอดี หลีกเลี่ยงเก้าอี้ที่มีพนักเก้าอี้เป็นแผ่นตรงๆ กล้ามเนื้อหลังจะไม่ได้พักจะเกิดอาการล้าและอักเสบในที่สุด ควรหาหมอนมารองที่แผ่นหลังและเอว อย่างวางผิดไปรองไว้ที่ก้นจะไม่ช่วยอะไร

Thank : CLEO  , http://www.puadmens.com
.......................................................................................