tororichclub

tororichclub

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

6 อันดับ อาหารเช้า ที่มีประโยชน์มากที่สุด

 อันดับ 6 น้ำเต้าหู้ + ปาท่องโก๋

สำหรับเมนูอันดับสุดท้าย อย่างน้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋นี้ คุณหมอฟันธงออกมาให้เราทราบกันชัดๆเลยว่า ปาท่องโก๋นั้น ถือเป็นอาหารที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้คุณอ้วนได้ง่าย เพราะทานแล้วหิวเร็ว ส่วนน้ำเต้าหู้นั้น ถือเป็น “อาหารล้างบาป” ให้กับปาท่องโก๋ที่คุณทานเข้าไป

ถ้าคนเราทานปาท่องโก๋ วันละ 1 คู่ ทุกวัน ภายในเวลา 1 ปี น้ำหนักจะขึ้นเป็นกิโลกรัมเลย เพราะปาท่องโก๋เป็นอาหารที่มีแป้ง แต่น้ำเต้าหู้ เป็นตัวล้างบาปที่ดี นี่คือภูมิปัญญาของคนไทย เพราะน้ำเต้าหู้ มันมีสารอาหารที่ช่วยเรื่องสุขภาพ ทั้งโปรตีน แอนตี้ออกซิแดนท์ เปปไทด์ หรือถ้ายิ่งเป็นน้ำเต้าหู้ใส่ธัญพืช ก็จะมีไฟเบอร์ ที่ช่วยไล่ไขมันในปาท่องโก๋ได้

อีกสิ่งที่ต้องระวังจากตัวปาท่องโก๋คือ มันอาจจะมีสารตัวหนึ่งที่ก่อมะเร็งได้ ซึ่งจะเกิดในพวกของทอด อาหารที่ต้องทอดด้วยน้ำมันชุ่มๆ และอาหารทอดซ้ำ ดังนั้นถ้าเราจะทานปาท่องโก๋ ก็ต้องพยายามเว้นวันบ้าง อย่าทานทุกวัน หรือควรจะทานน้ำเต้าหู้ที่มีธัญพืชเยอะๆ ร่วมด้วย จะได้ช่วยไม่ให้แป้งในปาท่องโก๋ ดูดซึมเร็วเกินไป จนทำให้หิวง่าย


อันดับ 5 ข้าวเหนียว+ หมูปิ้ง

เมนูอับดับห้านี้ แม้จะอร่อย ทานง่าย แถมพกพาสะดวก ทว่าก็ต้องระมัดระวังเลือกร้านที่ไว้ใจได้ และเลี่ยงทานส่วนที่ “มัน” ไว้ด้วย

ในเรื่องของพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหาร เราอาจได้รับแคลอรี่ เยอะอยู่ แต่ถ้าเทียบกับโจ๊กแล้ว ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็เป็นตัวที่สลับกันทานกับโจ๊กได้ เพราะอย่างน้อยในข้าวเหนียว ก็จะมีกลูเตน หรือไฟเบอร์เยอะกว่าข้าวขัด จะดีขึ้นมาระดับหนึ่ง และถ้ายิ่งได้ทานหมูปิ้งกับข้าวเหนียวดำ มันก็จะมี โอพีซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อยู่ในข้าวเหนียวดำด้วย

ส่วนหมูปิ้งมีเทคนิคการทานคือ ให้เลือกหมูปิ้งในส่วนที่มีมันค่อนข้างน้อย เพราะเมื่อไหร่ไขมัน ไปสัมผัสกับความร้อน มันจะเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดสารก่อมะเร็งขึ้น ดังนั้นให้เลือกมันน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมันที่แทรกอยู่ในเนื้อหมู หรือมันที่ติดอยู่โคนไม้เหล่านี้ก็ต้องเลี่ยง นอกจากนี้เรื่องถ่านที่ปิ้งหมู ก็ต้องระวังเรื่องของสารปนเปื้อนที่มาจากถ่านที่ไม่ได้คุณภาพด้วย เพราะไม้พวกนี้เขามีการพ่นปลวก พ่นสารเคมีเอาไว้ อาจจะทำให้เราได้รับสารเคมีได้


อันดับ 4 โจ๊กหมู

โจ๊กหมู จะมีปลายข้าว รำข้าว ถ้าเยอะไปก็ทำให้หิวเร็วได้เช่นกัน เพราะมันคือ แป้งที่ทำให้เราหิวเร็วได้ ส่วนสิ่งที่ควรจะทานคู่กับโจ๊กหมูคือ ขิง และต้นหอม เพราะขิงจะช่วยระบบเผาผลาญในร่างกาย และทำให้ไม่รู้สึกเลี่ยน ต้นหอม ช่วยในเรื่องลดไขมัน และควบคุมน้ำตาล

ส่วนประโยชน์นั้น หากเราเลือกโจ๊กที่ทำจากปลายข้าวแท้ๆ แล้วผสมจมูกข้าวลงไปด้วย มันจะทำให้เราได้วิตามินอี และ แกมมา ออริซานอล ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีในข้าว หรือรำข้าว และถ้ายิ่งได้โจ๊กที่ทำจากข้าวกล้องงอกจะยิ่งดีมาก เพราะมันจะมี กาบา ที่ทำให้สมองร่าเริง ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกซื้อโจ๊กที่ใช้ข้าวที่มีประโยชน์เหล่านี้ แต่ถ้าหาซื้อลำบาก หาได้เป็นโจ๊กข้าวขาวธรรมดา ก็ไม่ต้องซีเรียส ลองพยายามลดความเสี่ยงจากการได้แป้ง กับน้ำตาลเยอะ โดยเน้นทานผักเยอะๆ และไม่ต้องปรุงรสให้หวานขึ้น หรือเค็มขึ้น

ข้อควรระวังคือ อย่ากินโจ๊ก คู่กับปาท่องโก๋ เพราะนั่นคือการนำแป้งมาจิ้มแป้ง และหากโจ๊กนั้นใส่หมูสับแล้ว ก็ไม่ต้องใส่เครื่องในหมูเข้าไปอีก เพราะเครื่องในเป็นแหล่งของกรดยูริค ที่ทำให้เกิดเก๊าท์ และในตัวโจ๊กก็ทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริคมากอยู่แล้ว หากเราใส่เครื่องในเข้าไปอีกมันก็จะได้กรดยูริคมากเกินไป แถมยังได้คอเลสเตอรอลมากเกินไปด้วย เพราะหมูสับก็มีคอเลสเตอรอลอยู่แล้ว หากใส่เครื่องในอีกก็อาจจะทำให้เราได้คอเลสเตอรอลในมื้อนั้นมากเกินไป

อันดับ 3 ขนมครก + กาแฟ

ขนมครกนั้น จะมีปัญหาตรงที่มันมีแป้ง ถ้าเจ้าไหนใส่แป้งเยอะ ก็ไม่ต่างจากปาท่องโก๋เท่าไหร่ ดีกว่านิดหน่อยตรงที่มันใช้การปิ้ง เป็นการทำให้สุกด้วยความร้อนแทนการทอด แต่ข้อดีของมันคือ มีกะทิ ซึ่งกะทิเป็นไขมันดี เป็นกลุ่มของไขมัน มีเดียม-เชน ไตรกลีเซอไรด์ (Medium-chain triglycerides) เป็นไขมันที่ร่างกายขับออกได้ดี ก็เลยไม่ค่อยถูกเก็บสะสมในร่างกาย ซึ่งเรามักเข้าใจว่ากะทิก่อให้เกิดอันตราย แต่จริงๆ แล้ว กะทิถือเป็นของดีเลย อันนี้เป็นอีกหน้าฉากหนึ่งและในมะพร้าวก็ยังมีวิตามินอี ที่ช่วยบำรุงผิวด้วย และส่วนใหญ่แล้ว หน้าของขนมครก ก็จะเป็นหน้าเพื่อสุขภาพ คือโรยด้วยเผือก, ต้นหอม, ข้าวโพด, ก็จะมีวิตามินเอ ซึ่งวิตามินเอ ต้องอาศัยไขมันจากกะทิ ในการดูดซึมดังนั้นก็เข้ากันพอดี

ยิ่งทานขนมครกกับชา หรือกาแฟ ก็ถือว่าเหมาะสม เพราะในกาแฟจะมีคาเฟอีน (Caffeine) เยอะ ซึ่งถ้าเราได้ อาหารอย่างขนมครกเข้าไปรองท้องก็จะดี เพราะร่างกายจะได้ไม่ต้องดูดซึมคาเฟอีนเข้าไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งมันอาจจะมากเกินไปสำหรับร่างกาย ดังนั้นขนมครกก็ไม่ถึงกับเป็นอาหารเช้าที่เลวร้ายนัก แต่ก็ต้องระวังไว้นิด เพราะบางเจ้าอาจมีการใส่น้ำตาลเยอะ รสหวานเกินไป อันนี้ก็ต้องระวังไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะได้รับน้ำตาลมากเกินไปเหมือนกัน”

อันดับ 2 ขนมปัง + ไข่ดาว

สำหรับอับดับสองเป็นเมนูอาหารเช้าทำง่าย…ทานง่าย อย่าง ขนมปัง-ไข่ดาว ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ยกให้เป็นอาหารเช้าเปี่ยมประโยชน์ที่เหมาะนักสำหรับหนุ่มสาววัยทำงาน และน้องๆ วัยเรียน จะต้องเป็นขนมปังโฮลวีท (whole wheat) และไข่ดาวน้ำ หรือไข่ต้ม (ที่ไร้น้ำมัน) นะคะ

ในช่วงเช้า สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ (office) ที่ต้องไปทำงาน หรือเด็กในวัยเรียน การเพิ่มอาหารจำพวกโปรตีนเข้าไปก็ถือว่าเหมาะมาก เพราะโปรตีนจะกระตุ้นให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ดังนั้นการทานอาหารที่มีโปรตีนอย่าง ไข่ ก็เป็นอาหารเช้าที่ดีมาก ราคาไม่แพง และมีโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นสมองด้วย สำหรับไข่ทอดอาจจะมีปัญหาเรื่องของน้ำมัน ดังนั้นหากทานเป็นไข่ต้มได้ก็ยิ่งดี โดยอาจทานไข่ต้ม, ไข่ลวก, ไข่ดาวน้ำ โรยซีอิ้วขาว โรยพริกไทยก็ยิ่งดี เพราะพริกไทยช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และลดไขมันได้ด้วย

หรือไข่ต้มอย่างเดียวอาจไม่อิ่ม การทานคู่กับขนมปังโฮลวีท ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะขนมปังโฮลวีท เป็นแป้งที่มีคุณภาพ คือ แป้งมีกาก มีธัญพืชทั้งหลาย โดยอาจนำขนมปังขนมปังโฮลวีท มาทำเป็นแซนวิช (sandwich) ไข่ เพิ่มผักอีกสักหน่อย ก็ยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ทานกับนมอีกนิดเพอร์เฟค (perfect) เลย เพราะนมก็มีโปรตีน และกรดอะมิโน (Amino acid) ที่ช่วยกระตุ้นสมอง ถ้าผู้ใหญ่บางท่านแพ้นมวัว ทานแล้วท้องเสีย ก็สามารถทานโยเกิร์ต (Yoghurt) แทนได้ เพราะโยเกิร์ตคือ นมที่ย่อยแล้ว และไม่ทำให้ห้องเสีย ถือว่าเป็นอาหารชูกำลัง แทนที่เราจะกระตุ้นด้วยกาแฟ เรากระตุ้นด้วยอาหารชูกำลังอย่าง นม หรือโยเกิร์ตดีกว่า”


อันดับ 1 ต้มเลือดหมู

เมนูอันดับหนึ่ง คุณหมอผู้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-Aging ยกนิ้วให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพสุดๆ ทว่าจะให้ทานแล้วดีต่อร่างกายอย่างแท้จริง…ก็ต้องมีเทคนิคในการทาน

ต้มเลือดหมูเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าเป็น perfect combination หรือเป็นคู่ที่สมกันมากเลย เพราะในเลือดหมูมีธาตุเหล็ก และในผัก เช่น ใบตำลึง จะมีวิตามินซีเยอะ ธาตุเหล็กต้องมีวิตามินซี มันถึงจะดูดซึมได้ดี เช่นเดียวกับที่วิตามินซี ก็ต้องมีธาตุเหล็กมันถึงจะดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ดี ฉะนั้นมันเป็นคู่ที่เพอร์เฟคเลย

แต่สิ่งที่ควรระวังคือ หากใครเป็นเก๊าท์ ต้องระวังหน่อย เพราะน้ำซุปต้มเลือดหมูทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริค (Uric Acid) เยอะ ส่วนเครื่องในก็มีกรดยูริคสูงเหมือนกัน อันนี้อาจต้องระวังสักนิด นอกจากนี้คนอีกกลุ่มที่ต้องระวัง คือ คนที่เป็นธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เพราะคนที่เป็นธาลัสซีเมีย ไม่ควรกินธาตุเหล็กเยอะ แต่ต้มเลือดหมู มีทั้งเลือดหมู, เครื่องใน, ใบตำลึง เหล่านี้มีธาตุเหล็กทั้งนั้นเลย แต่ถ้าในคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นธาลัสซีเมีย ต้มเลือดหมูคือต้มที่ดี เป็นต้มที่เปี่ยม คอลลาเจน (Collagen) เพราะในเลือดหมูมีคอลลาเจน ในน้ำต้มกระดูกก็มีคอลลาเจน ทั้งยังมีผักเขียวที่มีวิตามินซี ก็ยิ่งทำให้คอลลาเจน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีอีกด้วย

ดังนั้นต้มเลือดหมู ถือว่าเป็นซุปสวยได้เลย เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีชนิดหนึ่ง ผมว่าดีกว่าปาท่องโก๋จิ้มนมนะ แต่มันจะกลายเป็นอาหารที่ไม่สุขภาพไปได้ เช่น หากเราใส่กระเทียมเจียวเยอะๆ ใส่หมูติดมัน หรือบางเจ้าใส่หมูสามชั้น หรือหมูกรอบเข้าไป แล้วปรุงให้รสจัดเกินไป หรือหวานไป

ก็ทราบกันไปแล้ว ถึง 6 เมนู สุดยอดมื้อเช้าที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด และอย่างที่ทราบกันดีว่า อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญ สำหรับการทำงานของร่างกาย เพราะฉะนั้นการเลือกเมนูมื้อเช้า ด้วยเมนูที่เป้นประโยชน์ ก็จะช่วยเสริมให้อาหารมื้อเช้าของเรานั้น ทรงคุณค่าและสำคัญมากๆ มากขึ้นไปอีก รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมเลือกทานข้าวเช้ากันนะคะ

Thank : Mthai
................... Tororichclub ....................

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ฉู่ฉี่ปลาทู


เครื่องปรุง
- ปลาทูสด 3-5 ตัว
- มะพร้าวขูด 300-400 กรัม
- ใบมะกรูดซอย 1 ช้อนโต๊ะ
- ผักชีเด็ดเป็นใบ 1 ต้น
- น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปิ๊บ 2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกง (ขั้นตอนนี้สามารถใช้เครื่องแกงสำเร็จรูปก็ได้)
-พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด
- หอมแดงซอย 7 หัว
- กระเทียม 10 กลีบ
- ขาหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
- ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
- ผิวมะกรูดหั่นละเอียด ½ ช้อนชา
- รากผักชีหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- กะปิ 1 ช้อนชา

วิธิทำ
1.นำพริกแห้งเม็ดใหญ่ หอมแดงซอย กระเทียม ข่าหั่นละเอียด กระเทียม ตะไคร้ซอย ผิวมะกรูด รากผักชีหั่นละเอียด เกลือป่น กะปิ รวมทั้งหมดแล้วทำการโขลกเข้าด้วยกัน
2.ให้ล้างปลาทู คลักไส้ดำออกมา ใช้มีดสับหัวออก สไลด์เฉียงสองด้าน พักให้สะเด็ดน้ำ
3.คั้นมะพร้าวเอาน้ำใส่น้ำ 2 ถ้วย คั้นกะทิออกมา 3 ถ้วย
4. เทหัวกะทิ 1 ถ้วย เคี่ยวให้แตกมันด้วยไฟกลาง จากนั้นนำน้ำพริกแกงข้อ 1 ทั้งหมดเทใส่ให้หมดผัดให้หอม แล้วทำการใส่กะทิที่เหลือลงไป รอเดือด
5.ใส่ปลาลงไป พอสุกปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา
6.ใส่ชาม นำใบมะกรูดมาโรยหน้า ผักชี

Thank : thaiza


.................... Toro rich club ....................

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หัวหอมใหญ่ยาครอบจักรวาล


ทราบหรือไม่ว่า...การทานหัว หอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร แล้วจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ และไขมันอุดตัน ซึ่งในปัจจุบันการทานอาหารมีวิธีการทานที่จะต้องแข่งกับเวลาซะเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันจึงไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง งั้นคุณลองหันมาทาน "หัวหอมใหญ่" ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ ดีกว่าค่ะ

หอมหัวใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพร มีสารสำคัญคือ ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซึ่งมีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งถ้าเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังช่วย "ลดไขมันในเลือด" ได้อีก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

น่าสนใจมากที่ปัจจุบัน นิยมนำหอมหัวใหญ่มาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เราเรียกกันว่า การบำบัดแบบ "อโรมาเทอราปี" โดยหอมหัวใหญ่ที่สุกจะมีน้ำมันหอมที่ชื่อว่า "อัล ลิลิก ไดซัลไฟด์ (Allilic disulfides)" ซึ่ง มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ถ้าสูดดมมากๆ จะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ บรรเทาอาการหวัด และลดเสมหะได้ หรือน้ำคั้นจากหอมหัวใหญ่ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบบวม หรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเส้นเลือด เนื่องจากหอมหัวใหญ่มีธาตุฟอสฟอรัสที่สูง จึงช่วยทำให้ความจำดีขึ้นอีก และยังสามารถนำหอมหัวใหญ่ไปใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้แก้พิษแมลงกัดอาการปวดบวมตามข้อ หรือทาแก้สิวได้ด้วย

           หอมหัวใหญ่ คนไทยนำมาประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ยำต่างๆ ข้าวผัด สลัด ไข่เจียว ซุปหรือสตูต่างๆ ซึ่งถ้ารับประทานกันแบบสดๆ จะมีรสชาติกรอบ เผ็ดร้อน แต่ถ้านำไปปรุงอาหาร หรือถูกความร้อนก็จะมีรสชาติหวาน เนื่องจากสารที่ชื่อ "อัลลิลโปรบิลซัลไฟต์" ระเหย ไประหว่างที่ถูกความร้อนและได้สารที่มีรสหวานมาแทน ว่ากันว่า...ถ้ารับประทานหอมหัวใหญ่วันละครึ่งหัวทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยลดอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดได้


แทบ จะเรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณทราบกันแล้วว่าหัวหอมดีอย่างไร อย่าลืมทุกครั้งที่ทำอาหาร ให้คุณลองเติมเมนูที่มีหอมหัวใหญ่ไปด้วย เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรัก



Thank : sanook

                      ........................ Toro Rich club ........................




วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ชาวต่างชาติชี้ ไทยน่าอยู่สุดในทุกด้าน


ผลสำรวจชาวต่างชาติชี้ ไทยน่าอยู่สุดในทุกด้าน
          เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานว่า ไทยมาเป็นอันดับ 1 ในผลการสำรวจประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในทุกๆ ด้านสำหรับชาวต่างชาติ ของเอชเอสบีซี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องการเริ่มต้นตั้งถิ่นฐาน การปรับตัว และการหาเพื่อน โดยมีบาห์เรนมาเป็นอันดับ 2 และจีนในอันดับที่ 3 ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีสิงคโปร์อยู่ที่อันดับ 6 มาเลเซียอันดับ 20 อินโดนีเซีย อันดับ 31 และเวียดนามอันดับที่ 32     
          ผลสำรวจนี้ซึ่งจัดทำขึ้นปีนี้เป็นปีที่ 6 แล้ว รวมรวมข้อมูลจากการสอบถามชาวต่างชาติมากกว่า 7,000 คนจากเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก
          ในส่วนของประเด็นทางเศรษฐกิจนั้น ไทยมาเป็นอันดับที่ 4 ขณะที่อินโดนีเซียอยู่ที่อันดับ 6 และสิงคโปร์อยู่ในอันดับ 9 อย่างไรก็ตาม ค่าครองชีพที่ต่ำกว่าและความเป็นไปได้ที่จะมีรายได้สูงทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายเหมาะสมที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ ขณะที่หากเป็นเรื่องโอกาสที่จะได้ประกอบอาชีพที่ดีนั้น อินโดนีเซียกับเวียดนามมีอันดับสูงกว่า
          ผลสำรวจระบุว่า แม้ว่าเอเชียจะไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่ที่สุดในโลกจากสาเหตุว่ายังมีสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอและกฎระเบียบในหลายๆ เรื่องยังคงสลับซับซ้อน ทว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้ถูกมองว่าน่าอยู่มากขึ้น จากการเป็นสถานที่ที่ชาวต่างชาติได้รับค่าจ้างมากที่สุดในโลก โดยมีอัตราส่วนของชาวต่างชาติที่มีรายได้มากกว่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,700,000 บาท) ต่อปี อยู่ในอินโดนีเซีย 22 เปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่น 13 เปอร์เซ็นต์ และ จีน 10 เปอร์เซ็นต์
          นอกจากนี้ ไทยยังมาเป็นอันดับ 1 ในหัวข้อเป็นสถานที่ที่หาเพื่อนง่ายที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากระบุว่า เป็นเรื่องง่ายมากที่จะปรับตัวเข้ากับอาหารและวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทยได้ โดย 60 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าการใช้ชีวิตในประเทศไทยทำให้สามารถรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้
          นอกจากนี้ไทยยังอยู่ในอันดับสูงสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการจะพัฒนาสถานภาพทางการเงิน โดยเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ที่ถูกสำรวจระบุว่า มีรายได้ที่สามารถนำไปใช้จับจ่ายใช้สอยได้เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ประเทศไทย


 Thank : schau-thai


...................... Toro Rich Club ......................

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์ที่คุณไม่รู้ของ "ชะอม"

“ชะอม” สมุนไพรไทยสารพัดประโยชน์...ลดจุกเสียดแน่นท้อง
หากพูดถึง “ชะอม” เชื่อว่าคงเป็นผักที่หลาย ๆ ครัวเรือนนิยมรับประทานกัน ทั้งในแบบสดจิ้มกับน้ำพริก และนำมาประกอบอาหารรับประทานหลากหลายเมนู ซึ่งนอกจากความหอมอร่อยที่ติดใจใครหลายคนแล้วชะอมยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เคล็ดลับสุขภาพดีวันนี้มีเกร็ดความรู้ และคุณประโยชน์ของชะอมมาฝากผู้ที่ชื่นชอบรับประทานชะอมกันด้วย

ลักษณะของต้นชะอม เป็นไม้พุ่มขนาดย่อม ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลม ใบมีสีเขียวขนาดเล็ก มีก้านใบแยกเป็นใบอยู่ 2 ทาง ลักษณะคล้ายใบกระถิน หรือใบส้มป่อย ใบเรียงสลับกัน ใบย่อยออกตรงข้ามกัน ใบย่อยรูปรีมีประมาณ 13-28 คู่ ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม โดยใบจะหุบในเวลาเย็นและแผ่ออกรับแสงแดดในเวลากลางวัน ใบอ่อนจะมีกลิ่นฉุนคล้ายกลิ่นลูกสะตอ ส่วนดอกมีขนาดเล็ก ออกที่ซอกใบ มีสีขาวหรือขาวนวล ซึ่งจะเห็นเกสรตัวผู้มีลักษณะเป็นเส้นฝอย ๆ ได้ชัด ผลออกเป็นฝักและมีขนาดเล็กกว่าฝักกระถิน เป็นพรรณไม้ที่ปลูกง่ายและสามารถปลูกได้ทุกจังหวัดของประเทศไทย ขยายพันธุ์ได้โดยการตอนหรือปักชำ โดยชะอมจะออกยอดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนจะออกมาก

วิธีการนำชะอมมาปรุงเป็นอาหารทำได้หลากหลาย ได้แก่ รับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก โดยการลวกหรือนึ่งให้สุก หรือใช้ยอดอ่อน ใบอ่อน เด็ดเป็นชิ้นสั้น ๆ แล้วชุบกับไข่ นำไปทอดรับประทานกับน้ำพริกกะปิ หรือนำไปใส่ในแกงส้ม ชาวเหนือนิยมรับประทานกับส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ หรือนำไปทำเป็นแกงแค  แกงลาว เป็นต้น ส่วนชาวอีสานมักนำไปต้มเป็นอ่อมหรือแกงกับปลา ไก่ เนื้อ กบ หรือเขียด

ชะอมเป็นผักที่มีสรรพคุณทางยา เพราะในชะอมประกอบไปด้วยสารอาหารมากมาย อาทิ เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 อีกทั้ง ใบอ่อนของชะอมยังสามารถช่วยลดความร้อนในร่างกาย ส่วนรากหากนำมาต้มจะช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ กรด จุกเสียดแน่นท้องและขับลมในกระเพาะอาหาร  ข้อควรระวังในการรับประทานชะอมคือ ผักชะอมในช่วงหน้าฝน จะมีรสเปรี้ยว กลิ่นฉุน บางครั้งหากรับประทานเข้าไปอาจทำให้ปวดท้องและสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนไม่ควรรับประทาน เพราะจะทำให้น้ำนมแห้งได้

ถึงแม้ชะอมจะเป็นผักที่มีกลิ่นแรงไปนิด แต่เมื่อได้ลิ้มรสและได้รู้ถึงคุณประโยชน์มากมายของชะอมแล้ว รับรองได้เลยว่าเรื่องกลิ่นกลายเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวไปเลย

Thank : toptenthailand

................Toro Richclub................



วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

เห็ดสามอย่างช่วยชะล้างสารพิษในร่างกาย

หลายคนอาจเคยทราบมาก่อนแล้วว่าถ้านำเห็ดอย่างน้อย 3 ชนิดใดก็ได้เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร ความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นและเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ให้ทั้งความอร่อยและสุขภาพนั่นคือ "เมนูเห็ดล้างพิษ" จะเป็นเห็ดสด หรือ เห็ดแห้งก็ได้โดยนำมาปรุงอาหารแล้วกินได้ทั้งเนื้อเห็ดและนํ้าต้มเห็ดแล้วจะได้โปรตีนจากเห็ดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์

ประโยชน์ของเห็ด 3 อย่าง เมื่อนำมารวมกันปรุงอาหาร คือ
สามารถช่วยล้างพิษที่สะสมในตับ ทั้งจากอาหารและสารเคมี เช่น พิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์
สารเคมีจากเครื่องสำอาง (ลิปสติกสีสด ยาย้อมผม)สามารถช่วยให้การทำงานของตับแข็งแรงขึ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงดีส่งผลทำให้อารมณ์ดี

สามารถช่วยล้างพิษพวกอนุมูลอิสระ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง อัลฟาท็อกซิล ไวรัสตับอักเสบ สเก็ดเงิน
สามารถช่วยล้างไขมันในตับ

วิธีการปรุง
นำเห็ดที่ทานได้อย่างน้อย 3 อย่าง เช่น เห็ดหูหนูต่างๆ เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดโคน เห็ดเข็มทอง

ปรุงเป็นอาหาร เช่น ยำ ใส่ในแกงจืด แกงเลียง แกงส้ม ไข่ตุ๋น

ต้มน้ำดื่มจะผสมใบมะตูม ใบเตยหรือเพิ่มน้ำตาลกรวด

**ข้อควรหลีกเลี่ยง การผัดกับน้ำมันพืช

Thank : toptenthailand

................Toro Richclub................

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

แป้งฝุ่นกับประโยชน์ที่คุณอาจไม่รู้...

ทราบหรือไม่ ว่าแป้งฝุ่นที่เราใช้กันอยู่นั้น นอกจากจะใช้ทาตามร่างกายได้แล้วยังมีประโยชน์ในการทำอย่างอื่นได้อีกมาก

ช่วยทำให้ใส่ถุงมือพลาสติกได้ง่าย
ถุงมือพลาสติกมีประโยชน์ โดยเฉพาะคนที่ผิวค่อนข้างแพ้ง่าย ถุงมือจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการแพ้สารเคมี เช่น น้ำยาล้างจานหรือจากการล้างขัดห้องน้ำ แต่การใส่ถุงมือพลาสติกนั้นทำให้รู้สึกเหนียวหนืดน่ารำคาญ มีวิธีแก้ คือ เมื่อใช้เสร็จทุกครั้งให้ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำ และนำไปตาก โดยใช้ไม้หนีบส่วนที่เป็นนิ้วไว้กับราว เมื่อถุงมือแห้งให้โรยแป้งฝุ่นในถุงมือก่อนจะเก็บ เมื่อนำมาใช้ในครั้งต่อไปถุงมือก็จะสวมใส่ได้สบาย ไม่เหนียวหนืดสร้างความรำคาญอีก

ช่วยทำความสะอาดแว่นตา
ให้โรยแป้งทาตัวลงที่กระจกแว่นตาด้วยแล้วค่อย ๆ เช็ดถูด้วยผ้านุ่มๆ ในส่วนของซอกแว่นให้ใช้สำลีพันก้านชุบน้ำอุ่นที่เจือเมทิลแอลกอฮอล์สักหน่อย แว่นตาใสแจ๋วน่าใช้ขึ้นอีกมาก

ขจัดคราบไขมันบนเสื้อผ้า
เวลาที่เสื้อผ้าเปื้อนคราบไขมัน เช่น น้ำมันปรุงอาหาร น้ำมันใส่ผม วิธีการแก้อย่างง่าย ๆ คือ โรยแป้งตรงบริเวณรอยเปื้อน จากนั้นรีดด้วยเตารีดอุ่น ๆ หลาย ๆ ครั้ง ใช้แปรงปัดแป้งออกรอยคราบจะถูกแป้งดูดติดออกมาไม่เห็นรอยบนผ้าอีก

................Toro Richclub................

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

เปลว ก๋วยเตี๋ยวต้มยำโบราณ

“เปลว ก๋วยเตี๋ยวต้มยำโบราณ” แซ่บ!! อร่อย!! คุ้ม!!

          วันนี้พามาอร่อยข้างทางกับร้านนี้ที่ต้องยกให้ในเรื่องของรสชาติ และราคาจริงๆ ร้านนี้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำโบราณ สูตรนครปฐม อยู่แถวห้วยขวาง หน้าร้านไม่มีป้ายชื่อ แต่สอบถามจากลูกค้าที่มากินกันขาประจำ บอกว่าร้านชื่อ “เปลว ก๋วยเตี๋ยวต้มยำโบราณ” ถ้าเห็นหน้าร้านลูกค้าเยอะๆ รอต่อคิวกันอยู่ ก็รู้ได้เลยว่าคือร้านนี้








          ร้านนี้มีบะหมี่ต้มยำสูตรโบราณ ต้องขอบอกว่ารสชาติไม่เหมือนร้านอื่นๆ รสชาติเข้มข้น เผ็ด เค็ม เปรี้ยว และออกหวานหน่อยๆ ไม่ได้เผ็ดมากรสชาติกำลังพอดี  ตามสูตรของนครปฐม ไม่ต้องปรุงเลย อร่อยอยู่แล้ว อีกทั้งดูเครื่องของเขาสิ ทั้งหมูสับเด้งเนื้อนิ่ม ชิ้นโตๆ หลายชิ้น ของทะเลก็มีลูกชิ้นปลา กุ้ง ปลาหมึกสดใหญ่ เต็มชามดีจริงๆ เรื่องรสชาติไม่ผิดหวังกับหน้าตาของก๋วยเตี๋ยวเลย อร่อยจริงๆ

ที่ตั้ง : ถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ (ตรงข้ามห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ ห้วยขวาง) เขต ห้วยขวาง , กรุงเทพมหานคร , กรุงเทพมหานคร 10310

เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 18.00 – 23.00 น.

ที่จอดรถ : สามารถจอดรถได้ริมถนนหน้าร้าน

การเดินทาง : จากถนนรัชดาภิเษกเลี้ยวเข้าถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญที่แยกห้วยขวาง ไปตามป้ายบอกทางไปโรงเรียนจันทร์หุ่นบำเพ็ญร้านอยู่เยื้องกับโรงเรียน ใกล้ประชาราษฎร์บำเพ็ญซอย 25

Thank : TNEWS


................Toro Richclub................

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

5 ร้านอร่อยครบเครื่องคาวหวานที่ เยาวราช

เยาวราช ถนนสายนี้ไม่เคยหลับใหล ไม่เคยร้างไร้รถรา นอกจากเป็นแหล่งธุรกิจค้าทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแล้ว ยังเป็นแหล่งของกินชั้นเลิศที่หลายคนต้องหาโอกาสแวะมาชิม ร้านอาหารในเยาวราชมีให้เลือกมากมายกว่า 100 ร้าน ตั้งแต่ร้านรถเข็นข้างทางจนถึงภัตตาคารหรูชื่อดัง

แต่สีสันและแรงดึงดูดให้ใครต่อใครพากันมาลิ้มชิมของอร่อยนั้นคือร้านรถเข็นและแผงลอยที่ตั้งเรียงรายอยู่สองฟากฝั่งถนนยามพลบค่ำราวหกโมงเย็นเป็นต้นไป ใครที่เลือกไม่ถูก "นายรอบรู้" มีมาแนะนำ 5 ร้านอร่อยเด็ด

1. ร้านเท็กซัสสุกี้
ร้านหอยทอดเจ้าเก่าซึ่งขายมานานกว่า 70 ปีอย่างหอยทอดเท็กซัสเยาวราช ตั้งอยู่ตรอกไทร หอยทอดเจ้านี้มีทีเด็ดครองใจลูกค้าด้วยหอยแมลงภู่และหอยนางรมสดๆ เนื้อหวาน สั่งตรงมาจากอ่างศิลา จ.?ชลบุรี และตัวแป้งกรอบนอกนุ่มใน กินคู่ซอสปรุงรสตำรับพิเศษของร้าน บอกได้คำเดียว "อร่อยเลิศ"


2. กวยจั๊บนายอ้วน
เป็นร้านแผงลอยหน้าโรงหนังไชน่าทาวน์รามา กวยจั๊บน้ำใสร้านนี้เหมาะสำหรับคนชอบความเผ็ดร้อนของพริกไทย เพราะเขาใส่พริกไทยแบบไม่มีกั๊ก ได้น้ำซุปรสร้อนแรงถึงใจ เส้นกวยจั๊บก็เหนียวนุ่มกำลังดี เครื่องเคราทั้งกระเพาะหมู ตับ ปอด ก็สดสะอาดไม่มีกลิ่นคาว ทางร้านยังมีปาท่องโก๋ตัวจิ๋วเคี้ยวกรุบกรอบกินอร่อยเข้ากันดีให้สั่งด้วยถ้าสู้ความเผ็ดร้อนของพริกไทยไม่ไหว ให้เลือกมาร้านกวยจั๊บนายเอ็ก ตั้งอยู่ปากซอยเยาวราช 9 น้ำซุปร้านนายเอ็กใสกว่าเพราะเหยาะพริกไทยไม่มากอย่างเจ้าแรก แต่เครื่องในล้วนสดสะอาดและต้มได้เปื่อยนุ่มกำลังดีเหมือนกัน ใครชอบหมูกรอบ ร้านนี้หมูเขากร๊อบ...กรอบได้ใจ

3. ร้านมังกรขาว
ตั้งอยู่ปากซอยเยาวพานิช หน้าร้านทองฮั่วเซ่งเฮง บะหมี่เกี๊ยวกุ้งเจ้านี้ใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ นำมาปรุงเองทำเองแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่ไข่เส้นเหนียวนุ่ม เกี๊ยวกุ้งเนื้อแน่นเต็มคำที่ใช้กุ้งโอคัก หมูย่างหอมๆ เนื้อนุ่ม ใช้เนื้อส่วนสันคอมาหมักก่อนย่างด้วยฟืน ส่วนน้ำซุปรสกลมกล่อมก็ต้มเคี่ยวโดยใส่กระดูกหมูส่วนสันหลังที่มีเนื้อติดมากหน่อย

 4. ขนมปังปิ้งเจ้าอร่อยเด็ดเยาวราช
ตั้งอยู่หน้าธนาคารออมสิน บริเวณหน้าร้านมีลูกค้ายืนออจนมองไม่เห็นรถเข็น ทางร้านจึงมีบัตรคิวเป็นใบจดออร์เดอร์ด้วย ชอบแบบไหน แบบกรอบ แบบนุ่ม หรือแบบกรอบนอกนุ่มในที่ขายดีที่สุด ก็จดสั่งกันไปเลย

ส่วนหน้าขนมปังมีให้เลือกตามความชอบถึง 9 อย่าง สนนราคาไม่แพง เพียงชิ้นละ 10-15 บาท ลุงจินเจ้าของร้านบอกว่า เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การใช้เตาถ่านปิ้ง จึงได้ขนมปังปิ้งกรอบๆ หอมๆ อย่างนี้

5.ร้านเช็งทึงกระทะทองเหลือง(บางคนเรียก)
มีเต้าทึงหรือเช็งทึงที่ใส่เครื่องอุดมด้วยสารอาหาร มีรากบัว เม็ดบัว เก๋ากี้ ลำไยอบแห้ง เกาลัด พุทราจีน แปะก๊วย แป๊ะฮะ เห็ดหูหนูขาว ร้านที่เราพาไปชิมนี้ไม่มีชื่อร้าน บางคนเรียกร้านเช็งทึงกระทะทองเหลือง เพราะทางร้านใช้กระทะทองเหลืองใส่เครื่องต่างๆ วางเรียงละลานตาให้เลือกสั่ง

Thank : sanook
................Toro Richclub................


วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

5 วิธีแก้ พฤติกรรมติด facebook

          เคยสงสัยไหม? ทุกครั้งที่ล๊อคอินเข้ามาใน facebook  ต้องเจอบางเฟรนด์ที่อัพเดทอยู่ ไม่ว่าจะเข้ามาช่วงไหน? เช้ามืด สาย ดึก ดึกมาก  24 ช.ม. ก็ยังคงเห็นบางเฟรนด์ที่ว่า
อัพเดทชีวิตตัวเองอยู่ หล่อนแชร์ ภาพ วิดีโอ สาระ ไร้สาระ บ่นงึมงำ และมักเป็นผู้คอมเม้นท์ลำดับต้นๆ ของสเตตัสเพื่อนๆ เฟสบุ๊กที่ไม่เคยหลับไหล เพื่อนที่ไม่เคยมาตามนัดในชีวิตจริง  … “อิผีเฟสบุ๊ก!!”
          ในขณะที่กำลังสงสัยถึงพฤติกรรมผีเฟสบุ๊ก คุณเองก็มีเอี่ยวกับอาการติดงอมแงมเฟสบุ๊ก หลังตามติดพฤติกรรมของผีเฟสบุ๊กมาได้สักพัก ความจริงพฤติกรรมนี้ เป็นอาการติดโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คชนิดหนึ่ง ลำดับการเยียวยาไม่ได้ยากเย็นอะไรมาก ลอง 5 วิธีการหักดิบ เหล่านี้ไปใช้ดูสิ !!

1. ให้คนที่คุณไว้ใจช่วยดูการเข้าเฟสบุ๊กของคุณ
          หลายครั้งที่คุณตั้งปฏิญาณอะไรไว้ แล้วสุดท้ายต้องจบด้วยการทำผิดซ้ำซาก อันเกิดมาจากความเคยชินส่วนตัว ลองทิ้งอีโก้ที่ว่าทุกอย่างข้าเอาอยู่เอาไว้  แล้วให้คนที่คุณไว้ใจได้มีส่วนในการทักท้วง และแก้ปัญหา .
          ในกรณีนี้เดินไปบอกกับคุณพ่อคุณแม่ที่รัก สารภาพกับท่านว่า “ หนูติดเฟสบุ๊ค!! “  อธิบายให้พวกท่านฟังถึงอาการปวดร้าวบริเวณทรวงอก  ที่ต้องละสายตาออกจากคอมพิวเตอร์ พวกเค้าจะมาพร้อมมาตรการแจ้งเตือน  เลิก /เล่น เฟสบุ๊ก เป็นเวลาที่ได้ผลจริง 


2. ชัตดาวน์การเข้าถึงอินเตอร์เนต
          หากต้องใช้คอมพิวเตอร์แล้ว กลัวจะอดใจจากเฟสบุ๊กไม่ได้ ให้จัดการปิดการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตทุกๆ ทางซะ .

3. ปิดแอพเฟสบุ๊กบนมือถือ
           เทคโนโลยีสมาร์ทโฟน ช่วยสนับสนุนการเข้าถึงเฟสบุ๊กผ่านแอพพลิเคชั่น จงทำให้แน่ใจว่าปิดแอพพลิเคชั่นเหล่านั้นไปแล้ว  หรือถอดการติดตั้งออกไปเลยดีกว่า .

4. ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง
          หากิจกรรมทำร่วมกับเพื่อนๆ เพื่อลืมเรื่องเฟสบุ๊กไปจากสมองบ้าง .

5. เตือนตัวเองงว่าเล่นเฟสบุ๊กเป็นอะไรที่เสียเวลา
           เฟสบุ๊ก อาจช่วยให้การติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูง ญาติสนิท มิตรเลิฟ ที่ห่างหาย กันได้อย่างง่ายๆ แต่เชื่อเถอะว่ามันเทียบไม่ได้สักเศษเสี้ยว กับการพูดคุยพบปะกันในชีวิตจริง และยิ่งติดมากขึ้น ก็ลดโอกาสการพบเจอเพื่อนๆ มากขึ้น
          เพื่อนในเฟสบุ๊กคุณอาจขึ้นหลักร้อยหลักพัน แต่ในความเป็นจริง คุณควรรู้ว่าใครคือเฟรนด์ที่สำคัญในชีวิตคุณ ปิดเฟสบุ๊กและออกไปเจอกับพวกเค้าตัวเป็นๆ ซะบ้างเถอะ 
............................ Toro Rich club ............................ 


วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เอาสูตร แจ่วฮ้อน มาฝาก...

สูตรแจ่วฮ้อน อร่อย แซ่บ จัดจ้านแน่นอน!!
การทำน้ำซุป
1.การเตรียมนำซุปใส นำกระดูก วัว หมู โครงไก่ เคี่ยวในน้ำเดือดฝรั่งเรียกน้ำสต๊อกนั่นแหละ เคล็ดลับมันอยู่ตรงกระดูกของสัตว์ทั้ง 3 ประเภทนี่ ที่ทำให้มันกลมกล่อมจนคุณต้องตะลึง ค่อยๆตักฟองมันออกตอนแรกให้ใช้ไฟแก่ แล้วค่อยๆลดไฟลงมา เป็นกลาง และไฟอ่อนๆเคียวไปเรื่อยๆจนอร่อยหวานน้ำต้มกระดูก (ช่วงนี้อย่าปิดฝาหม้อ เพราะน้ำมันจะขุ่น และมีกลิ่นคาว)

เคล็ดลับ : กระดูกทั้ง 3 ชนิด และ ไม่ปิดฝาหม้อ

2.นำกระเทียมดอง พริกชี้ฟ้า หอมแดง กระเทียมสด ผิวมะกรูด ใบโหรพา นำมาปั่นให้ละเอียด หรือสับให้ละเอียด ผิวมะกรูดนั้นต้องการดับกลิ่นคาวและหอมเล็กน้อยเท่านั้น 

เคล็ดลับ : ใบโหระพา และผิวมะกรูดทำให้ดับคาวของเนื้อ ดีนัก

3.นำน้ำซุปใสมาตั้งหม้อให้เดือด ใส่เครื่องตุ๋นยาจีนลงไปควรใช้เครื่องตุ๋นที่มีคุณภาพหน่อย เค้าขายเป็นชุดๆ ประมาณ 20 บาท บางทีหาไม่ได้ก็หาเครื่องตุ๋นพะโล้ 5 บาท 10 บาท ตามแผงก็ได้ต่างกันนิดหน่อย ควรมัดในห่อผ้าด้วย แล้วก็นำวัตถุดิบจากข้อ 2 มาใส่ลงไปให้รสชาติประมาณว่าจะปรุงแกง นำเศษเนื่อติดมันหรือเนื้อที่ใช้ต้มมาสับ ให้ละเอียดสัดส่วนก็เท่าๆกับเราจะทำต้มจืดหมูสับ (อย่าใส่ผ้าขี้ริ้วหรือเครื่องใน มันจะกลายเป็นรสต้มแซ่บทันทีไม่เข้ากับยาจีน) นำลงหม้อคนให้เข้ากันเคี่ยวไฟไปเรื่อยๆจน นานขนาดไหนจนกว่าเนื้อที่เราใส่ลงไปจะเป็นเนื้อเปื่อย

เคล็ดลับ : ความหอมของเครื่องเทศประเภทเครื่องตุ๋นยาจีน จะหมดไปอย่างสิ้นเชิงถ้าท่านใส่ตะไคร้ หรือข่าลงไป และการปรุงรส ต้องใช้ซ้อสถั่วเหลือง น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว เกลือเท่านั้น อย่าให้เค็ม! และต้องเคี่ยวเนื้อให้เปื่อยจริง ถ้าน้ำแห้งก็เติมน้ำซุปใสที่เตรียมใว้

4.แกะกระเทียมเป็นกลีบๆลอกเปลือกออกให้ขาวบุบพอแตกซักกำมือควรเป็นกระเทียมหัวใหญ่ๆนั่นแหล่ะโยนลงไปในหม้อที่เคี่ยวเนื้อและเครื่องในข้อ 2 จนได้ที่ นำข้าวคั่วต้องเป็นข้าวเหนียวคั่วเท่านั้นอันนี้อนุโลมเป็นข้าวอื่นไม่ได้เลย เทลงไปในหม้อ คนด้วยไม้พายหรือทับพีให้เข้ากัน เติมน้ำซุปใส คนไปเรื่อยๆจนข้าวคั่วกลายเป็นโจ๊กเอาขนาดนั้น น้ำแจ่วฮ้อน ของเราก็จะมีสีน้ำตาลเข้ม มีมันของเนื้อปนอยู่กลิ่นหอมน่ารับประทานอย่างยิ่ง (เก็บใว้ในตู้เย็นได้เป็น 2 อาทิตย์เลยนะ ถ้า Pack อย่างดี)

เคล็ดลับ : อย่าให้ข้าวคั่วติดกระทะควรใช้ไฟอ่อนและคนด้วยไม้พายจะดีกว่าเพราะไม่ครูดกับหม้อ

เครื่องปรุง น้ำจิ้มแจ่วฮ้อน
1.สูตรเปรี้ยว ผสมน้ำมะนาว 2 ลูก พริกป่น 1 ช้อนชา น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา คนให้เครื่องปรุงทุกอย่างเข้ากัน 

2.สูตรขม น้ำดีวัว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ พริกป่น 1 ช้อนชา เกลือป่น 1 ช้อนชา ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ หอมแดงซอย 3 หัว ตะไคร้-ใบมะกรูด หั่นซอย ตามใจชอบ

เครื่องประกอบแจ่วฮ้อน
เนื้อ (ส่วนที่อร่อยที่สุดเค้าเรียกเนื้อขาลายก่อนหั่นควรน็อกโดยการเช่เกือบแข็งจะได้หั่นง่ายหน่อยและเวลาลวกเนื้อจะกรอบไม่เหนียว) หั่นตามขวางให้เป็นแผ่นบาง ๆ ตับ ผ้าขี้ริ้ว ไส้ ผักกะหล่ำปลี ผักบุ้ง ใบโหระพา และวุ้นเส้นมีเท่านี้ค่ะ วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ลองทำทานกันดู...

Thank : อร่อยแบบบ้านๆ

................Toro Richclub................

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แก้ผิวด่างดำด้วย "มะละกอสุก" ...



ปัญหา แผลเป็น รอยดำ เวลาอยากจะใส่กระโปรงสั้นหรือกางเกงขาสั้นในวันที่อากาศร้อนๆ ทีไร ก็อายขาลายๆ ของตัวเอง สุดท้ายก็ต้องหยิบกางเกงขายาวมาใส่ปกปิด 

เรามีวิธีช่วยลบรอยแผลเป็นแบบโฮมเมด นั่นคือการใช้ มะละกอสุก ที่ หาได้ตามตลาดบ้านเรา ลองหันมาใช้วิธีการบ้านๆ แบบไม่ต้องเปลืองเงิน เปลืองแรงอะไรเลย เพียงแค่ใช้เวลาก่อนอาบน้ำเพียงห้านาทีเท่านั้นเอง

ขอเตือนว่า ใครที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ไม่เหมาะกับวิธีการนี้นะคะ และที่สำคัญ ห้ามใช้สูตรนี้กับใบหน้าเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผิวหน้าบาง จนทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ซึ่งก่อให้เกิดฝ้า กระ ตามมาได้ และที่แย่ไปกว่านั้นคือ อาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย

ส่วนผสม
•มะละกอสุก 2-3 ชิ้น บดให้ละเอียด
•เกลือป่นละเอียด 5 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนง่ายๆ 
1. ล้างขาและเท้าให้สะอาด ซับให้แห้ง
2. นำมะละกอสุกที่บดแล้ว มาผสมกับเกลือ จากนั้นนำมาขัดเบาๆ ให้ทั่วขาและหลังเท้า หรือทาเฉพาะบริเวณที่มีรอยแดง รอยดำ
3. ขัดประมาณ 1 นาที จากนั้นก็นำมะละกอผสมที่เหลือ มาพอกให้ทั่วขา พอกทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
4. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง รับรองว่ารอยแผลเป็น รอยแดง รอยดำจะค่อยๆ จางลง

Thank : teenee.com
................Toro Richclub................

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"ตำนานแม่ผู้ยิ่งใหญ่".....ดูแลลูกเจ้าชายนิทรา28ปี.....

          ย้อนหลังไปเมื่อ 17-18 ปีก่อน พระเอกตุ๊กตาทอง อนาคตกำลังจะสดใส "เปี๊ยก-อโนเชาว์ ยอดบุตร" ต้องกลายเป็นพระเอกผู้อาภัพไปในชั่วพริบตา จากพระเอกที่โด่งดังสุดขีด ในยุคทองนางเอกค้างฟ้า เปิ้ล-จารุณี สุขสวัสดิ์ พลันที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง รักกันวันละนิด ที่เชียงใหม่ เมื่อปลายปี 2526 สมองเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก จนกลายเป็น "เจ้าชายนิทรา" 

          จากวันนั้นถึงวันนี้...เขามีชีวิตอยู่แต่บนเตียง ร่างกายผ่ายผอมจนเหลือแต่กระดูก ไม่มีความรู้สึก ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆทั้งสิ้น ทุกข์ทรมานเพียงใดก็ไม่สามารถจะบอกกล่าวกับใครได้ แต่ก็ยังมีอยู่อีกคนหนึ่งที่รับรู้ทุกข์นี้ร่วมกับเขาด้วยมาโดยตลอด อาจจะทุกข์มากกว่าเสียด้วยซ้ำ!! 
คนๆนี้ก็คือคุณแม่ "อำไพ ยอดบุตร" 

          ณ วันนี้แม้เรื่องราวและข่าวคราวของ อโนเชาว์จะเริ่มเลือนหายไปจากสังคม แต่ชีวิตที่หลงเหลืออย่างไม่สมบูรณ์ของลูกชายไม่เคยเลือนหายไปจากชีวิตของผู้เป็นแม่ ผู้ที่เฝ้าฟูมฟักเอาใจใส่ ทั้งๆที่แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาพูดคุยกับแม่ก็ไม่เคยมี ไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มที่เป็นกำลังใจให้แม่สู้ต่อไป แต่แม่คนนี้ก็ไม่หวั่นไหว ยังคงยืนหยัดต่อสู้กับโลกแห่งความจริงที่โหดร้ายต่อไปด้วยความเชื่อมั่น สักวัน..ต้องมีปาฏิหาริย์ !?!

          "แม่จำได้ดีไม่มีวันลืมว่า เมื่อคืนวันที่ 30 ตุลาคม 2526 เด็กที่กองถ่ายภาพยนตร์โทรศัพท์มาบอกแม่ที่บ้านว่า เปี๊ยกประสบอุบัติเหตุรถคว่ำที่เชียงใหม่ ต้องเข้าห้องผ่าตัดด่วน เพราะศีรษะด้านซ้ายแตก ซึ่งตอนแรกที่รู้ใหม่ๆ แม่ก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ก็เป็นห่วงลูกเดินกระวนกระวายไม่ได้นอนทั้งคืน พอเช้าปั๊บก็รีบจับเครื่องบินไปลงที่เชียงใหม่ทันที พอไปถึงโรงพยาบาลลานนา ลูกออกจากห้องไอซียูแล้ว พอเห็นสภาพของลูกแม่ช็อกเลย ยืนตัวเย็นแข็งนิ่งพูดไม่ออก น้ำตาแม่ไหลตลอด รู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆอยู่ที่ในอก ใจแม่ในตอนนั้นแทบสลาย สงสารลูกมาก หมอเขาใส่อะไรไม่รู้ระโยงระยางไปหมด รู้สึกมันวูบไปเลย" ...คุณแม่อำไพเล่าย้อนความหลังเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดกับลูกชาย 

          อโนเชาว์ถูกย้ายมารักษาตัวและผ่าตัดที่กรุงเทพฯในหลายโรงพยาบาล ทั้งที่โรงพยาบาลเปาโล ภูมิพล ที่สุดแพทย์ก็ให้นำตัวกลับมาพักฟื้นที่บ้าน เพราะอาการอย่างอื่นไม่มีอะไรแล้ว เพียงแต่ต้องรอให้สมองฟื้น ซึ่งคุณแม่อำไพบอกว่า แรกๆเลยก็มีความรู้สึกว่าลูกต้องหายแน่ๆ เพราะที่บ้านมีทั้งความรักและความอบอุ่นเต็มไปหมด การเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอสม่ำเสมอ การรักษาพยาบาล การทำกายภาพ บำบัด ให้ยา อาหาร และอาหารเสริม สำคัญคือเรื่องกำลังใจ ทุกคนในบ้านมีความหวังมากๆว่าต้องหายแน่ 

          คุณแม่อำไพเล่าให้ฟังถึงวิถีชีวิตในครอบครัวที่ต้องเปลี่ยนไปโดยปริยายเพราะต้องดูแลลูกชายว่า จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเพราะลูกตัวหนักมาก แม่ทำคนเดียวไม่ไหว อย่างเวลาลูกนอนอยู่บนเตียงเราต้องคอยพลิกตัวเขาอยู่เรื่อยๆ ปล่อยให้นอนเฉยๆไม่ได้เพราะจะเป็นโรคกดทับ และเวลาขับถ่ายเขาไม่รู้สึกตัว เราต้องช่วยเหลือเขาทุกอย่าง เวลาหิวหรือเจ็บปวดตรงไหนเราก็ไม่รู้ เพราะเขาจะไม่แสดงอาการ 

          "ความเป็นอยู่ประจำวันบนเตียงของลูกเปี๊ยกคือ แม่กับเด็กผู้ช่วยจะตื่นตอนตี 5 นำเขามาทำกายภาพบำบัด วันไหนมีเสมหะก็ต้องดูดออกก่อน เช็ดเนื้อเช็ดตัว และป้อนอาหารเหลวทางสายยางวันละ 5 เวลา ประกอบด้วย ไข่ไก่วันละ 7 ฟอง ปลา หมู ไก่ ผักก็มีฟักทอง มะเขือเทศ แครอท และผักใบเขียวต่างๆ นอกนั้นก็มีตับไก่ต้มจนเปื่อย บดแล้วกรองก่อนกรอกทางสายยางผ่านทางช่องจมูกสู่หลอด อาหาร ผลไม้ก็มีมะละกอ กล้วย มีน้ำส้ม โอวัลติน และมีอาหารเสริมทางการแพทย์เป็นกระป๋องอีก 3 เวลา หมอบอกว่าจะช่วยทำให้แข็งแรงขึ้น และคอยให้ยาตามที่หมอสั่ง พลิกตัวทุกครึ่งชั่วโมง วันเสาร์-อาทิตย์จะพิเศษหน่อยคือ เช้าขึ้นมาต้องจับตัวเขาใส่รถ ต้องคอยจับศีรษะเนื่องจากคอตั้งไม่อยู่ เอาออกไปสระผม ผมยาวก็ตัด อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น" 

          ถามถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพยาบาลอโนเชาว์ คุณแม่อำไพบอกว่า รายจ่ายเยอะ อย่างเวลาเขาไม่สบายต้องเรียกรถพยาบาลมารับตัวที่บ้านครั้งละ 500 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 200-300 กว่าบาท ทั้งค่ายาและค่าอาหาร เดือนหนึ่งๆตก 10,000 กว่าบาท นี่ยังไม่รวมเวลาไปหาหมอในแต่ละครั้ง 

          "อโนเชาว์ก็ไม่มีเงินเก็บค่ะ เพราะเขาเพิ่งเล่นหนังได้ไม่นาน และสมัยก่อนเรื่องหนึ่งก็ได้เงินมานิดหนึ่ง ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ แต่ก็มีพี่ๆ เขาช่วยกัน แม่มีลูก 8 คน ชาย 5 หญิง 3 เปี๊ยกเป็นลูกชายคนสุดท้อง ใครมีเท่าไรก็ช่วยกันตามที่มี แม่ดีใจที่พี่น้องรักกัน ไม่ทอดทิ้งกัน ไม่มีลูกคนไหนบ่นหรือพูดจาทำให้พ่อแม่ช้ำใจ..." 

          คุณแม่อำไพยังเล่าอีกว่า บุคคลในวงการบันเทิงหลายๆคนก็ยังไม่ทอดทิ้งอโนเชาว์ ใครรักใครสงสารก็มาเยี่ยม-นำเงินมาช่วยเหลือ อย่าง จารุณี สุขสวัสดิ์, เนาวรัตน์ ยุกตะนันทน์, ราตรี วิทวัส, ดิลก ทองวัฒนา, ธรรมศักดิ์ สุริยน ฯลฯ ก็นำเงินมาช่วย ทาง โกวิท วัฒนกุล มาเยี่ยมเห็นแล้วสงสาร ขอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่จัดหาทุนสักก้อนให้อโนเชาว์ ทราบว่าได้ไปปรึกษากับ สมพงษ์-ภัทรภร วรรณภิญโญ เจ้าของทีวีธันเดอร์ เชิญดาราน้ำใจงาม เช่น ปิยะมาศ โมณยะกุล, ไกรลาศ เกรียงไกร, กันทิมา ดาราพันธ์ มาร่วมเล่นเกมในรายการมาสเตอร์คีย์นัดพิเศษ เพื่อน ๆ ดาราเขาพร้อมใจมอบรางวัลที่ได้ทั้งหมดให้เป็นทุนรักษาพยาบาลอโนเชาว์ ซึ่งทางคุณสมพงษ์ก็มอบเงินสมทบอีก 150,000 บาท

          "สังคมยังไม่ทอดทิ้งค่ะ และต้องขอโทษที่ยังมีอีกหลายคนช่วยเหลือ แต่แม่จำชื่อไม่ค่อยได้ เวลาที่มีคนมาเยี่ยมเขา แม่ก็เรียก เปี๊ยก..เปี๊ยก.. มีเพื่อนชื่อนั้นชื่อนี้มาเยี่ยม..จำได้ไหม เป็นการช่วยกระตุ้นสมองของเขาด้วย แต่ทุกครั้งที่เรียกเขาจะผวาเล็กน้อย แล้วก็ลืมตาโพลงสงบนิ่ง ไม่มีอาการตอบรับอะไรทั้งสิ้น เราก็ไม่ทราบว่าเขาได้ยินหรือเปล่า แต่ถ้าตื่นอยู่ตาก็จะลืม ถ้าหลับเปลือกตาจะปิด" 

          ด้วยน้ำตาที่นองหน้าระคนเสียงสะอื้น คุณแม่อำไพเปิดใจต่อไปว่า เปี๊ยกเป็นลูกชายคนเล็กที่แม่รักมาก ทุกเช้าค่ำแม่จะไหว้พระสวดมนต์ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เขาหาย แม้จะไม่ปกติเหมือนเดิม เรียกแม่ได้ แม่ก็ดีใจแล้ว หากนับอายุเขาตอนนี้ก็ได้ 43 ปี ตลอดเวลาที่ลูกนอนป่วยมาเกือบ 20 ปี แม่มีแต่ความรัก และความสงสารมอบให้เท่านั้น เพราะหากไม่มีแม่ ลูกคงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อยากจะฝากถึงคนในวงการบันเทิงว่า "หากยังไม่ลืมอโนเชาว์ก็มาเยี่ยมเยียนกันบ้าง" พ่อเขาก็ขี้โรค ป่วยเป็นความดัน โรคหัวใจ ช่วยอะไรไม่ได้เพราะอายุมากแล้ว แม่เองก็เจ็บป่วย ปวดเข่า ปวดกระดูกตามประสาคนแก่ จะไปวันไหนก็ไม่รู้ "ตั้งแต่แรกเลยแม่หวังถึง 90% ว่าลูกต้องหาย แม้จะไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป พอวันเวลาผ่านไป 2-3 ปี ความหวังก็ลดลง 80% และก็หวังเพียงว่า แม้เขาจะไปแสดงหนังหรือทำงานอย่างอื่นไม่ได้ก็ช่างเถอะ..ขอให้เขาเรียกแม่ได้ ลุกขึ้นได้ เดินเหินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ก็พอแล้ว แต่เวลานี้ 18 ปีแล้ว ยอมรับว่าแม่สิ้นหวัง" 

          แต่ถึงจะสิ้นหวังก็ยังไม่สิ้นกำลังใจ... ความรู้สึกตอนนี้แม้ไม่หวังเพราะมันริบหรี่เต็มที แต่ลูกเรา..เราก็รัก ไม่อยากให้เขาเป็นอะไร ถึงจะไม่มีความหวังเราก็จะดูแลของเราอย่างดีที่สุด บางครั้งเคยคิดสลดใจ มองกลับกันว่า เอ๊ะ ! ชีวิตคนเราก็แปลกดีนะ อายุเราก็ปูนนี้แล้ว ลูกน่าจะเป็นผู้ดูแลเรายามแก่เฒ่า กลายเป็นว่าเราต้องคอยดูแลเขาเหมือนเด็กอ่อน 

          ก็ยังมีกังวลอยู่ว่าถ้าแม่ไม่อยู่แล้วใครจะมาดูแลเขาแทนแม่ แม่เป็นห่วงเรื่องนี้มาก เพราะพี่ ๆ ทุกคนเขาทำงาน มีหน้าที่ เขามีครอบครัวมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ ก็คงไม่เหมือนแม่ ภาวนาอยู่เสมอว่า ถ้าเป็นอะไรไปขอให้เป็นไปพร้อมๆกัน หรือให้เขาตายก่อนแม่ดีกว่า กลัวเขาจะลำบาก ใครจะมานั่งดูแลให้ 

          "แม่คิดว่าความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนคงไม่ต่างกัน หวังฝากผีฝากไข้ให้ลูกเลี้ยงดูแม่ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นแม่จะต้องเลี้ยงดูลูก แต่เราก็ปลงได้นะคะ ก็นึกในทางที่เป็นกำลังใจให้ตัวเองว่า เวลาอ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวจากโทรทัศน์ คนอื่นก็เป็นเหมือนเราแหละ ทำให้ปลงได้...เรื่องแบบนี้ทุกคนก็ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเรามันฝืนดวงชะตาไม่ได้ เบื้องบนเขากำหนดไว้อย่างไรก็ต้องไปตามนั้น..." 

          และไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คุณแม่อำไพของลูกชายผู้อาภัพ เจ้าชายนิทรา "อโนเชาว์ ยอดบุตร" ก็ย้ำด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าและเสียงสะอื้นจากในอกว่า... "แม้เขาจะไม่หาย ต้องเลี้ยงดูเขานานแค่ไหน ถ้าแม่มีชีวิตอยู่แม่ก็ไม่ทิ้ง...แม่จะขอดูของแม่ต่อไป" คุณแม่ผู้ที่หัวใจมิเคยหลอมละลายพ่ายแพ้ต่อชะตากรรม คุณแม่ผู้มีหัวใจแข็งแกร่งดุจเพชร........

          มาวันนี้ไม่มีแล้ว แม่ซึ่งหัวใจแข็งแกร่งดุจเพชรท่านนี้ เมื่อ นางอำไพ ยอดบุตร วัย 88 ปี มารดาของ นายอโนเชาว์ ยอดบุตร อดีตดาราดาวรุ่งชื่อดัง ได้สิ้นลมอย่างสงบแล้วด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อเวลา 23.45 น. วันที่ 14 เมษายน 2555 หลังเข้ารับการรักษาตัวนานกว่า 2 สัปดาห์ ที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ปิดฉากตำนาน “คุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่” ที่ดูแลดาราหนุ่มซึ่งตกอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทรามานานถึง 28 ปี

          นางเอื้อนจิต ยอดบุตร บุตรสาวของนางอำไพ และพี่สาวของนายอโนชา กล่าวว่า มารดามีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ แต่ปลายปี 2554 มีอาการไอเรื้อรังจนเดือนกุมภาพันธ์ 2555 แพทย์ตรวจพบว่ามารดาป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย จึงเข้ารับการรักษาเป็นระยะ ก่อนเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย มารดาบ่นกับลูกๆว่า รู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่พวกลูกๆไม่ยอมบอกว่ามารดาเป็นมะเร็งเพราะกลัวจะตกใจ จนมารดาเสียชีวิตในที่สุด

          "วันที่ 14 กรกฎาคมปีนี้ ลูกๆ ตั้งใจจะทำบุญวันเกิดครบ 89 ปี ให้แม่ แต่ก็ไม่ทัน ตอนนี้ทุกคนทำได้แต่ทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของแม่ คือ 

..."อย่าทิ้งน้อง".... 

          แม่เป็นห่วงน้องมาก ซึ่งเราทุกคนก็จะช่วยกันดูแลน้องอย่างเต็มที่ โดยจะมีพี่เอื้อมพร ยอดบุตร ที่อยู่บ้านเดียวกับอโนเชาว์เป็นกำลังหลัก เพราะคนอื่นได้แยกย้ายกันไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว แต่ก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนกันเป็นประจำ" นางเอื้อนจิต กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

          วันนี้ แม่อำไพคงได้ไปรอลูกชายที่ท่านรักมากบนสรวงสวรรค์แล้ว วันนึง...ทั้งสองคงได้มีโอกาสได้พบกัน ณ ดินแดนที่สวยงามบนฟ้านั้น ขอแสดงความนับถือ....ด้วยจิตคารวะครับ...

Thank : แนวหน้าออนไลน์ , ทีมงานวิถีชีวิต

................Toro Richclub................

จะมีใครเทียมเท่า .. แม่เราเอง

แม่...

จะก้าวล่วง บ่วงฝัน ถึงวันพรุ่ง
จะหมายมุ่ง ส่งเจ้า เข้าฝั่งฝัน
จะเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ยอมกัดฟัน
จะไม่หวั่น แม้หนทาง ยังอีกไกล

แม้แทบสิ้น แรงก้าว รวดร้าวหนัก
แม้งานหนัก ไม่มีวัน จะหวั่นไหว
แม้จะยุ่ง ไม่เคยยาก ลำบากใคร
แม้หัวใจ อ่อนแอ แต่ทรนง 

แรงใจไม่ต้องรอ .. ขอคนอื่น
คนแรกที่หยิบยื่น .. หาที่ไหน
คอยลูบหลังลูบหน้า .. ยามล้าใจ
จะมีใครเทียมเท่า .. แม่เราเอง

รักเเม่ที่สุดในโลก ♥
ลูกหิว แม่หาของให้กิน
ลูกน้ำตาริน แม่ซับน้ำตาให้
ลูกผิดหวัง แม่คอยให้กำลังใจ
ลูกเสียคนรักไป แม่บอกไม่เป็นไรยังมีแม่อยู่ทั้งคน

ไม่มีใครอีกแล้ว .. ปราถนา
มอบรักปักชีวา .. แก่เจ้า
กี่ผิดกี่น้ำตา .. ซบอก แม่เอย
มีโศกมีทุกข์เศร้า .. แม่นี้รับเอง

Thank : ฅนบ้านนอก

................Toro Richclub................

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 ที่เที่ยวยอดฮิตเมืองแม่กลอง ที่ต้องลองไปสมุทรสงคราม

          สมุทรสงคราม เมืองท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ แค่นิดเดียว แต่มีเที่ยวให้ไปเยือนมากมาย สนุก! ท่องเที่ยวที่เที่ยวยอดฮิตเมืองแม่กลอง สมุทรสงคราม มาชวนไปเที่ยววันหยุดนี้กัน

1.ตลาดน้ำอัมพวา ไปชม ชิม ชอปอาหารที่วางขายกันตลอดคุ้งน้ำ ทั้งก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย อาหารทะเลปิ้งย่าง ที่ละลานตาจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว

2.ตลาดร่มหุบ ตลาดขายสินค้าบนรางรถไฟเมื่อรถไฟผ่านมาพ่อค้าแม่ค้าจะรีบหุบร่มกันอย่างพร้อมเพรียง และเมื่อมาถึงสมุทรสงคราม ก็พลาดไม่ได้กับซื้อปลาทูแม่กลองอันแสนอร่อยและเป็นเอกลักษณ์

3.ดอนหอยหลอด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสมุทรสงคราม ที่เกิดจากการตกตะกอนของดินปนทรายมีอาณาบริเวณกว้างประมาณ 3 กิโลเมตร ยาว 5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากรุงเทพฯ แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ไปนั่งเล่นเพลินๆ ได้แล้ว

4.อาสนวิหารแม่บังเกิด ความยาวนานกว่าร้อยปีและการก่อสร้างประดับตกแต่งอย่างอลังการ ทำให้อาสนวิหารพระแม่บังเกิด ที่บางนกแขวกได้ชื่อว่าเป็นวัดที่สวยงามและเก่าแก่ที่สุดของชาวคาธอลิกในประเทศไทย

5.ตลาดบางนกแขวก คือแหล่งการค้าที่คึกคักเมื่อย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ปัจจุบันวิถีชีวิตแบบเดิมนั้นยังคงอยู่ แม้จะไม่คึกคักเหมือนครั้งวันวาน แต่ก็ยังคงมีอาหารคาวหวานมากมาย เช่น ผัดไทยกุ้งสด ก๋วยเตี๋ยวปู ขนมหวาน กาแฟโบราณ ผลไม้ต่างๆ ออกมาขายให้กับนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ

6.ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ทำประโยชน์เล็กๆ ด้วยการปลูกป่าให้กับโลกใบนี้ของเรา หากใครสนใจจะพักค้างคืนบนกระเตงเพื่อหาประสบการณ์แปลกใหม่ที่นี่เค้าก็มีให้บริการอีกด้วย

7.ค่ายบางกุ้ง นมัสการหลวงพ่อนิลมณี โบสถ์ปรกโพธิ์ หนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ซึ่งมีต้นไม้ 4 ชนิดปกคลุม ได้แก่ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง แวะสักการะรูปปั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินเพื่อเป็นสิริมงคลได้อีกด้วย

8.พระพุทธไสยาสน์ 9 นิ้วแห่งวัดเขายี่สาร  อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์มีนิ้วพระบาท 9 นิ้ว เล่ากันว่านิ้วที่ 10 อยู่ที่ วัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบุรี นอกจากนี้พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ยังประดิษฐานอยู่บนยอดเขาเพียงลูกเดียวของจังหวัดอีกด้วย

9.ตลาดน้ำบางน้อย ย้อนกลับไปกว่าร้อยปีก่อน ที่เรือพายนับร้อยลำทยอยกันออกมาจากที่โน่นที่นี่เพื่อมาติดนัดที่นี่ ในอดีตนัดที่คลองบางน้อยเคยเป็นนัดที่คึกคักมาก พ่อค้าแม่ค้าจะมาจองที่จอดเรือกันตั้งแค่คืนก่อนวันนัด คนซื้อก็เริ่มพายเรือออกมาเลือกของกันอย่างคึกคัก ปัจจุบันเป็นตลาดโบราณ มีของกินให้เลือกซื้อมากมาย

10.วัดบางแคน้อย มหัศจรรย์กับโบสถ์ไม้แกะสลัก พื้นโบสถ์สร้างด้วยไม้ตะเคียนเพียง 7 แผ่น ณ วัดบางแคน้อย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

Thank : itplaza
................Toro Richclub................

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พลอยถูกโฉลกเสริมดวงตามวันเกิด

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันอาทิตย์ ขอแนะนำว่าควรใช้เครื่องประดับที่ทำด้วยพลอย หรือ อัญมณีที่มีสีแดง เช่น ทับทิมโกเมน ทัวร์มารีนสีแดง เพทายสีแดง เพชรสีแดง ฯลฯ

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันจันทร์ ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีสีเหลือง เช่น บุษราคัม โทแพซสีเหลือง ซิทริน เพทายสีเหลือง อำพัน เพชรสีเหลือง

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันอังคาร ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีสีชมพู เช่น ปะการัง แซฟไฟร์สีชมพู เบริลสีกุหลาบ โทแพซสีชมพู เพชรสีชมพู

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันพุธ ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีที่มีสีเขียว เช่น มรกต หยก ทัวร์มารีนสีเขียว เพริโดต์ เขียวส่อง

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันพฤหัสบดี ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีสีส้มหรือสีแสด เช่น โอปอลไฟ หยกแดงไต้หวัน แซฟไฟร์สีส้ม โกเมนสีส้ม ปะการัง

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันศุกร์ ขอแนะนำว่าควรใช้อัญมณีสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน เช่น ไพลิน โทแพซสีฟ้า เพทายสีฟ้า อะความารีน ลาพิสลาซูรี เทอร์ควอยซ์ เพชรสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน

พลอยประจำวันเกิดของคนเกิดวันเสาร์ ขอแนะนำว่าควรใช้พลอย หรือ อัญมณีสีม่วงหรือสีดำ เช่น อเมทิสต์ แซฟไฟร์สีม่วง นิล โอนิกซ์หยกดำ สตาร์ดำ ปะการังสีดำ


................Toro Richclub................

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Good to Drink ?

          บางอย่างที่คิดว่าดีหรือปลอดภัยต่อสุขภาพ อาจไม่ดีจริงอย่างที่คุณคิด ลองดูตัวอย่างจากเบียร์กลูเตนน้อยก็ได้ เบียร์กลูเตนน้อย หรือ Low-Gluten Beers คือเบียร์สำหรับคนแพ้กลูเตน ถ้าคุณไม่แพ้กลูเตน การกินขนมปังหรือเบียร์ที่มีกลูเตนนั้นไม่เป็นปัญหานะครับ แต่สำหรับคนที่แพ้กลูเตนจะกินอะไรก็ต้องคำนึงถึงปริมาณกลูเตนด้วย โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรแพ้กลูเตนจำนวนไม่น้อยอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกานั้น จะมีทั้งขนมปังและเบียร์ชนิดกลูเตนน้อย (Low-Gluten) และชนิดไม่มีกลูเตน (Gluten-free) วางจำหน่ายอยู่ด้วย

          ปกติแล้ว ในเบียร์จะมีฮอร์ดีน (Hordein) ซึ่งเป็นกลูเตนประเภทหนึ่ง กลูเตนนั้นเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบในข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และข้าวไรย์ รวมถึงข้าวบาร์เลย์ที่เป็นส่วนผสมสำคัญในกระบวนการผลิตเบียร์ทั่วไป แต่แล้ววันดีคืนดีก็มีเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพออกมาตรวจสอบคุณภาพเบียร์
          กลูเตนน้อยที่จำหน่ายให้กับผู้บริโภค ว่า ‘น้อย’ จริงตามราคาคุยหรือไม่ ซึ่งก็ทำให้พบความจริงในช่วงปลายปีที่ผ่านมาว่า เบียร์ชนิดกลูเตนน้อย (Low-Gluten Beers) บางยี่ห้อ ไม่ได้น้อยตามฉลาก แถมยังมีระดับปกติ ซึ่งเป็นอันตรายกับผู้ที่แพ้กลูเตน (Celiac Disease หรือ CD) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารด้วย

          จากเบียร์ 60 ยี่ห้อในตลาด พบว่า 8 ยี่ห้อที่ประกาศว่าเป็นเบียร์กลูเตนน้อย ไม่มีกลูเตนเป็นส่วนประกอบจริง ส่วนหลายยี่ห้อที่ระบุว่ามีปริมาณน้อย แต่ก็ยังมีระดับกลูเตนอยู่ในปริมาณที่น่าจับตามอง และที่น่าจะเป็นอันตรายที่สุด คือ 2 ยี่ห้อที่มีกลูเตนเท่ากับเบียร์ปกติ ซึ่งไม่ปลอดภัยกับผู้ที่แพ้กลูเตนอย่างแน่นอน มองได้ว่าหน่วยงานด้านสุขภาพของเขาเข้มงวด นึกถึงสุขภาพของผู้บริโภคที่ต้องมาก่อน และยังเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่จะงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีการยืนยันคุณภาพสินค้าให้แน่ใจ

FYI
          125 กิโลแคลอรี คือ พลังงานที่เราจะได้จาก โทนิค (Tonic) ต่อการเสิร์ฟ 1 ครั้ง นั่นหมายความว่าช่วงไหนถ้าไม่อยากได้พลังงานเพิ่มเติมกลับมา น้ำเปล่าที่สะอาด คือทางเลือกที่ดีที่สุด

          • หลังจากได้ศึกษาข้อมูลนักกีฬาที่ฝึกหนักและขาดสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต พบว่า พวกเขาโหมหนัก กินแต่อาหารหรือเครื่องดื่มประเภทโปรตีน ที่ขาดผัก ผลไม้ และธัญพืชเป็นส่วนประกอบเสริม
           • น้ำผลไม้ปั่นประเภทสมูทตี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้ผสมโยเกิร์ต เบอร์รี่ หรือกล้วย และช็อกโกแลตมิลค์ น่าจะเป็นเมนูเครื่องดื่มที่ดีได้สำหรับคนที่หมั่นออกกำลังกาย เพราะให้ทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน
          • แต่ถ้าต้องการจะรับเครื่องดื่มประเภทโปรตีนผสมจริงๆ ทำไมไม่ลองใส่ส่วนผสมของคาร์โบไฮเดรตลงไป อย่างเช่นกล้วย หรือมีธัญพืชแบบแท่งไว้กินคู่กัน

Thank : GMlive

................Toro Richclub................