tororichclub

tororichclub

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

รู้จัก "มะขามเทศ" หรือเปล่า??...

มะขามนั้นถือเป็นต้นไม้ท้องถิ่นของบ้านเรา มีปลูกไปทั่วทั้งประเทศ และยังมีมะขามหลายชนิด ทั้งมะขามหวานกินอร่อยช่วยขับถ่าย มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงช่วยป้องกันหวัด และสำหรับ "มะขามเทศ" ก็เป็นมะขามอีกหนึ่งชนิดที่กินอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน
       
       "มะขามเทศ" นั้นเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ส่วนที่เรานำมากินกันนั้นก็คือผลของมัน ที่อยู่ในฝักโค้งเป็นวงกลม รสชาติของมะขามเทศจะออกหวานมัน ผสมรสฝาดนิดๆ กินอร่อยชุ่มคอ และยังมีประโยชน์ตรงที่เป็นผลไม้ไทยที่มีวิตามินอีสูงเป็นอันดับสองรองจากขนุนหนัง และให้วิตามินซีสูงเป็นอันดับสี่ รองจากฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เมล็ด และมะขามป้อม ทั้งยังมีแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ทั้งยังมีเส้นใยสูง ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง ไม่เป็นโรคท้องผูกอีกด้วย


       นอกจากนั้นแล้ว มะขามเทศยังถือเป็นพืชสมุนไพร คนโบราณมักนำเอาเปลือกมาต้มกับเกลือป่นแก้โรคปากเปื่อย ส่วนเปลือกต้นใช้ต้มน้ำเคี่ยวรวมกับเปลือกข่อยและเกลือแกง ใช้อมแก้ปวดฟัน เปลือกใช้ทำยาย้อมผม และยาสระผมได้อีกด้วย
...................................................................................

ผัดไทยวุ้นเส้นกุ้งสด


          ใกล้เที่ยงแล้ว หาอะไรอร่อยๆ ทานกันดีกว่า แต่ถ้าใครพอมีเวลามาดูสูตรกันเผื่อจะอยากทำทานกันเองที่บ้าน...

ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่)
วุ้นเส้น 200 กรัม 
กุ้งสดปอกเปลือก ลวกสุก 40 กรัม 
น้ำมันพืชสำหรับผัด 1/4 ถ้วย 
เต้าหู้เหลืองหั่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ 1/4 ถ้วย 
กระเทียมสับ 1 ช้อนชา 
หอมแดงสับละเอียด   2 ช้อนชา 
หัวผักกาดหวานสับหยาบๆ 2 ข้อนโต๊ะ 
กุ้งแห้ง   2 ช้อนโต๊ะ 
ไข่ไก่ 2 ฟอง 
ถัวงอกดิบ 1 ถ้วย 
ใบกุยช่ายหั่น   1/4 ถ้วย 
ถั่วลิสง พริกป่น มะนาว ปริมาณตามชอบ    
ส่วนผสมน้ำปรุงรส  
ซอสปรุงอาหารตราแม็กกี้หรือน้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ 
น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ 
น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ 

วิธีการทำ
1. ทำน้ำปรุงรสโดยนำน้ำปลา ซอสปรุงอาหารแม็กกี้ น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก ผสมเข้ากันตั้งไฟให้เดือด นำลงพักไว้
2. ทอดเต้าหู้ให้เหลืองแล้วตักขึ้น เสร็จแล้วทอดกุ้งแห้งต่อ นำลงพักไว้
3. แช่วุ้นเส้นในน้ำให้นิ่มนำขึ้นสะเด็ดน้ำ พักไว้ 
4. ผัดหอมแดง กระเทียม หัวผักกาด ในน้ำมันให้เข้าด้วยกันจนหอม
5. ใส่กุ้งแห้ง วุ้นเส้น เต้าหู้ทอด ผัดให้เข้ากันแล้วตามด้วยน้ำปรุงรส ผัดจนเกือบแห้ง
6. ใส่ไข่ ตีไข่ให้เป็นแผ่นรอให้สุก ใส่กุ้งที่ลวกสุก ผัดให้เข้ากัน
7. ดับไฟก่อนจึงใส่ใบกุยช่ายให้เข้ากัน ตักเสิร์ฟ
8. เสิร์ฟพร้อมถั่วงอก ถั่วป่น พริกป่น มะนาว ผักสด

Tkank : goodfoodgoodlife
.........................................................................................

“หญ้าปักกิ่ง” แค่หญ้า หรือ ยาวิเศษ...

“หญ้าปักกิ่ง”
             เกิดเป็นต้นหญ้าใครว่าไร้ค่า ไม่มีประโยชน์ ขอเถียงสุดใจขาดดิ้น เพราะต้นหญ้าที่หลายคนมองข้ามบางทีก็อาจจะเป็นยาวิเศษ ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้เช่นกันอย่างเช่น “หญ้าปักกิ่ง” นี่อย่างไร
       
         หญ้าปักกิ่ง หรือในชื่อภาษาจีนว่า เล้งจือเช่า หรือ หญ้าเทวดา เป็นไม้ล้มลุก ใบ หนาเรียวคล้ายใบไผ่ ฉ่ำน้ำดอกเล็ก ๆ ออกที่ปลายต้น สีบานเย็น กลีบขาวแกมม่วง มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้แถบสิบสองปันนา เป็นยามีรสจืด เย็น มีสรรพคุณในการยับยั้งโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในคอ มะเร็งตับ มะเร็งมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
       
         การตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บพบว่า ลำต้นหญ้าปักกิ่งมีสารกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ เป็นสารต้านมะเร็งระยะต้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคภูมิแพ้ โรคความดันและเบาหวาน สามารถใช้รักษาร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ ช่วยลดอาการข้างเคียงจาการฉายแสง ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉายแสง
       
         ในชาวจีนสมัยโบราณใช้หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรรักษาโรคมาเป็นเวลาหลายพันปี ใช้บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลย์ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การกินหญ้าปักกิ่งมีหลากหลายวิธีแต่ที่ง่ายสุดก็คือ กินหญ้าปักกิ่งสดๆ หรือปรุงเป็นอาหารจิ้มน้ำพริกกินก็ได้ แต่ต้องล้างให้มั่นใจว่าสะอาดจริงๆและข้อควรระวังไม่ควรกินของแสลง ซึ่งมีผลให้ฤทธิ์การรักษาโรคของหญ้าปักกิ่งอ่อนลง เช่น ฟักแฟง แตงกวา มะระ หัวไชเท้า
....................................................................................

ขนมปังโอสวีตไมโลเย็น


ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
ไมโลผง   5 ช้อนชา 
นมสดไขมันต่ำ   5 ช้อนชา 
นมข้นหวาน   5 ช้อนชา 
น้ำแข็งบด   1 ถ้วยตวง 
เนสท์เล่คอร์นเฟลกส์ หรือ โกโก้ครั้นช์ 2 ช้อนโต๊ะ 
ขนมปังโฮลวีต   2 แผ่น 

วิธีการทำ
1. ตัดขนมปังโฮลวีตเป็นชิ้นพอดีคำ วางลงบนถ้วยสำหรับเสิร์ฟ
2. เตรียมไมโลเย็น ใส่นำแข็งลงในเครื่องปั่น ตามด้วยไมโลผงและนมข้นหวาน ปั่นให้เข้ากันจนได้เกล็ดละเอียด แล้วตักใส่บนขนมปัง ราดด้วยนมสด แล้วตกแต่งด้วยซีเรียลเนสท์เล่คอร์นเฟลกส์ หรือ โกโก้ครั้นช์

Tkank : goodfoodgoodlife
.....................................................................................

ราดหน้าทรงเครื่อง...


ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่)

กุ้งล้างแกะเปลือก        120   กรัม 
ปลาหมึกล้างแล้วบั้ง        120   กรัม 
ปูอัด                        120   กรัม 
แครอท                        100   กรัม 
คะน้า                        150   กรัม 
ข้าวโพดอ่อน        100   กรัม 
กระเทียมสับ                20      กรัม 
แป้งข้าวโพด                20      กรัม 
พริกไทยเล็กน้อย  
เส้นใหญ่ผัดพอสุก         200   กรัม 
ซอสปรุงอาหารตราแม็กกี้ 1       ช้อนโต๊ะ 
ซอสหอยนางรมตราแม็กกี้ 1       ช้อนโต๊ะ 
น้ำเปล่า                         3       ถ้วยตวง 
เต้าเจี้ยว                                 1       ช้อนโต๊ะ 
น้ำมันพืช                 3       ช้อนโต๊ะ 

วิธีการทำ
1. ใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟพอน้ำมันร้อนใส่กระเทียมเจียวให้หอม ใส่ปลาหมึก ปูอัด เนื้อปลา ผัดพอสุก ใส่คะน้า แครอต ข้าวโพดอ่อน เติมน้ำลงไปต้มพอเดือดด้วยไฟแรง
2. ปรุงรสด้วยซอยปรุงอาหารตราแม๊กกี้ ซอสหอยนางรมตราแม๊กกี้ น้ำมันหอย เต้าเจี๊ยว และพริกไทย ชิมรสตามชอบ 
3. พอเดือดละลายแป้งข้าวโพดในน้ำเปล่าเล็กน้อย ค่อยๆ ใส่ลงในกระทะคนให้เข้ากันและพอสุกข้น ปิดไฟจัดรับประทานโดยตักราดลงเส้นก๋วยเตี๋ยวที่เตรียมไว้

Tips
1. เมนูอาหารจานเดียวที่เด็กๆ ชอบรับประทานอุดมไปด้วยเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสมอง
2. ควรผัดผักด้วยไฟแรง แล้วเติมน้ำลงไปต้มให้เดือด ใส่แป้งข้าวโพดในขั้นตอนสุดท้าย 
3. ส่วนเส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อสัตว์หรือผักสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบ

Tkank : goodfoodgoodlife
...................................................................................

น้ำมะพร้าว มีคุณค่ากว่าเครื่องดื่มเกลือแร่...

ผลวิจัยชี้ว่า น้ำมะพร้าวมีคุณค่าสูงกว่าเครื่องดื่มเกลือแร่ตามท้องตลาด
          บ่อยครั้งที่เวลาออกกำลังกายนั้นมักทำให้คุณเสียเหงื่อและกระหายน้ำอย่างมาก การเลือกดื่มน้ำเกลือแร่ จึงเป็นอีกทางที่ช่วยคืนความกระปรี้กระเปร่า สดชื่น และเพิ่มพลังงาน แต่คุณรู้ไหมครับว่าตอนนี้มีเครื่องดื่มจากธรรมชาติอีกหนึ่งอย่าง ที่ผ่านการวิจัยแล้วว่าให้คุณค่ามากกว่าเครื่องดื่มเกลือแร่อีกนะ 

          โดยจากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์อินเดียน่า (Indiana University Southeast) ที่ได้นำเอาเครื่องดื่มเกลือแร่ 2 ชนิด มาทำการทดสอบร่วมกับน้ำมะพร้าว แล้วพบว่าน้ำมะพร้าวมีปริมาณของโพแทสเซียมในจำนวนที่มากกว่าเครื่องดื่มเกลือแร่อีก 2 ชนิดถึง 5 เท่า ซึ่งโพแทสเซียมนั้นเป็นสารประกอบที่มีประโยชน์อย่างยิ่งซึ่งช่วยไม่ให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตะคริว ทำให้กล้ามเนื้อขยายตัว และช่วยให้เหนื่อยน้อยลง โดยน้ำมะพร้าวนั้นมีปริมาณโพแทสเซียม 1,500 มิลลิกรัมต่อลิตร ในขณะที่เครื่องดื่มเกลือแร่อีก 2 ชนิด มีปริมาณโพแทสเซียมอยู่ที่ 300 มิลลิกรัมต่อลิตร


 
          อีกด้านหนึ่ง เครื่องดื่มเกลือแร่อีก 2 ชนิด มีปริมาณโซเดียมอยู่ที่ 600 มิลลิกรัมต่อลิตร มีมากกว่าน้ำมะพร้าวที่มีปริมาณโซเดียม 400 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งโซเดียมเป็นเกลือแร่สำคัญที่ร่างกายต้องการ ในเวลาที่เราออกกำลังกายอย่างหนัก แล้วเสียเหงื่อเป็นจำนวนมาก

          อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวนั้นมีคุณค่าเทียบเท่าหรือมากกว่าเครื่องดื่มเกลือแร่เสียด้วยซ้ำ แถมผู้ที่ไม่ออกกำลังกายก็สามารถดื่มได้ตามปกติด้วย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่พบว่า ชาวอเมริกันที่ทานอาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำและมีโซเดียมสูง มีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจมากกว่าปกติถึง 2 เท่า และยังเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราควรหันมาดื่มน้ำมะพร้าวแทนดีกว่า แถมมาจากธรรมชาติอีกด้วย จริงไหมครับ

Thank : k@pook
.......................................................................................

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

การรักษาศีลมีผลต่อหน้าตา


          ศีลจะมีส่วนช่วยปรุงแต่งหน้าตาให้ดูดีจริงๆต่อเมื่อสะอาดหมดจดในข้อหนึ่งๆ 
          ต้องจาระไนกันด้วยความรู้สึกยามเมื่อตาเห็น ศีลแต่ละข้อจะก่อให้เกิดความรู้สึกทางใจดังนี้ 

          ๑) อยากปกป้องชีวิตสัตว์ ทำให้หน้าตาใจดี เห็นแล้วสงบเย็น 

          ๒) ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ทำให้หน้าตาน่าไว้ใจ เห็นแล้วเชื่อถือ 

          ๓) ซื่อสัตย์กับคู่ครอง ทำให้หน้าตามีเสน่ห์ชวนอบอุ่นใจ เห็นแล้วอยากเป็นคู่ด้วย 

          ๔) ไม่คิดปั้นคำลวง ทำให้หน้าตาใสซื่อ เห็นแล้วนึกเอ็นดู 

          ๕) ไม่เกลือกกลั้วสิ่งเสพย์ติดมึนเมา ทำให้หน้าตาดูเป็นคนมีสติปัญญาดี 
เห็นแล้วเชื่อว่าไม่ใช่พวกคิดอ่านฟุ้งซ่านเหลวไหล 

ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสม่ำเสมอ 
จะมีความสะอาดผุดผ่องออกมาทางผิว 
ศีลจะตกแต่งให้เนื้อหนังบางส่วนหนาขึ้นหรือบางลง 
เห็นแล้วดูสมส่วนขึ้น และจิตที่สงบไม่เดือดร้อนกระวนกระวาย 
จะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าผ่อนคลาย จึงดูดีที่สุดเท่าที่โครงหน้าจะอำนวย 

ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต 
ชาติใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาสมส่วนหมดจด 
มองจากมุมไหนก็ดูดีไปหมด แบบที่เรียกกันว่างามไร้ที่ตินั่นเอง 

หากละเมิดศีลเป็นอาจิณ หน้าตาและผิวพรรณจะดูคล้ำหมอง 
เว้นแต่อำนาจศีลแต่หนหลังมีพลังแรงมาก ช่วยค้ำพยุงไว้ได้ระยะหนึ่ง 
หรืออาจใช้วิทยาการทางความงามในปัจจุบันช่วยทำให้ผุดผ่องก็มีสิทธิ์ 
แต่จะประคับประคองได้ไม่นาน ในที่สุดความเสื่อมโทรมแบบแก่ก่อนวัยต้องถามหาอยู่ดี 

และกรรมที่เกิดจากการละเมิดศีลเป็นอาจิณนั้น 
จะมีผลให้ชาติถัดมามีความไม่สมส่วน 
แม้ใบหน้าสวยหล่อด้วยการทำทานอย่างมีศรัทธา 
จุดอื่นในร่างกายก็จะไม่สมส่วน เช่นขาสั้นไปบ้าง หลังยาวไปบ้าง 

ที่มา: http://www.dhammathai.org/karma/dbview.php?No=71
.......................................................................................

อาหาร ล้างพิษ...

อาหาร 6 อย่างที่ช่วยล้างพิษ ต่อไปนี้เป็นอาหารที่แนะนำที่ช่วยให้สุขภาพดีโดยธรรมชาติ 
1.สูตรผสมน้ำผัก : น้ำดื่มจากผักที่มีชีวิตมีค่าความเป็นด่างสูง สูตรผสมน้ำผักคุณภาพสูง ๆ หาซื้อได้ในร้านขายอาหารในท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะมีส่วนผสมต่าง ๆ อย่างเช่น อัลฟัลฟ่า, ใบข้าวบาร์เล่ย์, วีทกราส, สไปรูไลน่า และคลอเรลล่า สุดยอดอาหารเหล่านี้ใช้กันมากในโปรแกรมล้างพิษ รวมไปถึงใช้ในการกำจัดโลหะหนักด้วย

2.น้ำมันมะพร้าว : เป็นที่ทราบกันว่าเป็นอาหารพื้นเมืองชั้นยอด ประโยชน์หลักที่มีต่อสุขภาพก็คือมันอุดมด้วยกรดลอริค (lauric acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดสายโซ่ยาวปานกลาง (medium-chain triglyceride) ที่มีพลังในการช่วยระบบภูมิคุ้มกัน, ป้องกันไวรัส, แบคทีเรีย และจุลชีพอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดโรค น้ำมันมะพร้าวไม่เหมือนกับน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันคาโนล่า คือมันไม่มีไขมันทรานส์ที่เป็นอันตราย หรือผ่านกระบวนการผลิตโดยใช้สารละลายเฮ็กเซน (hexane) ที่เป็นอันตราย

3.ผักใบเขียวเข้ม : ผักปวยเล้ง, ผักกาดใบหยิก, บ็อคซอย และใบบีทรูทอุดมด้วยสารอาหารและคลอโรฟิล ซึ่งเป็นรงควัตถุของพืชที่คอยควบคุมพลังงานจากแสงอาทิตย์ คลอโรฟิลมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย รวมไปถึงมีความสามารถในการจับเข้ากับโลหะหนัก อย่างเช่น สารปรอท และขับออกจากร่างกาย ให้เลือกผักใบเขียวที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ (ออร์แกนิค) รับประทานสด ๆ หรือนึ่งสักเล็กน้อย



4.กระเทียม : มีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ อุดมด้วยสารประกอบซัลเฟอร์ และช่วยตับกำจัดพิษ

5.เครื่องดื่มเวย์โปรตีน : เวย์โปรตีนคุณภาพสูงจะให้อะมิโน แอซิด ชนิดเส้นสายที่แตกแขนง (branch chain anino acids) ซึ่งต้องการสำหรับรักษามวลกล้ามเนื้อและสะสมกลัยโคเจนไว้ในกล้ามเนื้อเพื่อใช้เป็นพลังงานต่อเนื่อง อะมิโน แอซิด ชนิดเส้นสายแตกแขนง เช่น ลิวซีน (leucine), ไอโซลิวซีน (iaolwuxinw) และแวลีน (valine) เป็นอะมิโน แอซิด ที่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ ดังนั้นเราจึงต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น อาหารที่จำกัดแคลอรี หรือการอดอาหารจึงทำให้เกิดการทำลายของกล้ามเนื้อลงได้

6.เปลือก Psyllium : ให้กากใยชนิดที่ละลายได้ในน้ำ ช่วยทั้งการดูดจับและขับของเสียออกไปทางลำไส้ใหญ่ มักจะใช้ ½ ถึง 2 ช้อนชา ละลายกับน้ำหนึ่งถ้วย ส่วนผลิตภัณฑ์ล้างพิษที่มีส่วนประกอบของมะขามแขก (senna) ควรหลีกเลี่ยงเพราะมันจะไปกระตุ้นทางเดินอาหารมากเกินไป

ที่มา: อาหาร&สุขภาพ
....................................................................................

ปวดฉิ่งฉ่อง ... อย่าอั้น

ตอนเช้ารถก็ติด มาถึงออฟฟิศห้องน้ำก็คนเยอะ กลางวันก็แสนยุ่ง และกลับบ้านหลังเลิกงานก็เจอรถติดอีก ปัญหาเหล่านี้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็ประสบพบเจอกันอยู่ทุกวัน และเชื่อว่าแทบทุกคนจำใจต้องอั้นฉิ่งฉ่อง เพราะติดปัญหามากมายที่ทำให้ไปเข้าห้องน้ำไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็จะเกิดอาการปวดฉิ่งฉ่อง แต่ฉิ่งฉ่องไม่ออกหรือหากออกมาก็อาจจะเป็นเลือดได้ นั่นแสดงว่า เรากำลังเจอปัญหาที่มาพร้อมกับการอั้นฉิ่งฉ่องนานๆ นั่นเอง

อาการที่มาพร้อมกับการกลั้นปัสสาวะ
ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย หากปวดฉิ่งฉ่องแล้วไม่ยอมไปเข้าห้องน้ำ กลั้นเอาไว้จนนาทีสุดท้าย นานไปก็จะลืมว่าเคยปวดฉิ่งฉ่อง ก็นิ่งนอนใจคิดว่าไม่เป็นอะไร สุดท้ายแล้วก็จะส่งผลให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการกลั้นปัสสาวะตามมาจนได้ โดยจะเริ่มอาการเจ็บป่วยตั้งแต่ระดับเบาๆ ถึงขั้นเทพ

จากระดับเบาๆ คือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือกระเพาะปัสสาวะยืดขยายจนกลับมาปัสสาวะอีกทีก็ลำบาก (เหมือนตอนที่เราอั้นฉิ่งฉ่องตอนนอน ตื่นเช้าขึ้นมา กว่าจะฉิ่งฉ่องได้ก็ใช้เวลานานมากนั่นเอง) ต่อมาความดันโลหิตก็จะขึ้น หัวใจเต้นเร็ว และขั้นรุนแรงก็จะเป็น กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ ปวดมาก ฉิ่งฉ่องไม่สุดจนกระทั่งเลือดออกได้ หรือ กรวยไตอักเสบ อันนี้อันตรายมาก อาจถึงขั้นไตวายหรือช็อคได้ทีเดียว รวมทั้ง ความดันโลหิตขึ้น และในผู้ใหญ่ที่มีความดันสูงอยู่แล้วไม่ดีแน่ๆ เดี๋ยวเส้นเลือดแตก

แต่หากเป็นถี่ๆ บ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ จะเจอกับขั้นเทพที่หนักกว่านี้ อาทิ นิ่วในท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต ความผิดปกติที่ตัวทางเดินปัสสาวะเอง เช่น ท่อไตมีปัญหาหรือว่าตัวไตผิดปกติแต่กำเนิด การคาสายสวนปัสสาวะไว้หรือในกรณีที่สอดกล้องส่องเข้าไปในท่อปัสสาวะก็ทำให้อักเสบได้ ในคนที่ภูมิต่ำ เช่น เบาหวาน ผู้สูงวัย หรือผู้ติดเชื้อเอชไอวี ต้องระวังไว้ด้วย และอย่างสุดท้ายคือ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

          วิธีการป้องกันไม่ให้อาการกระเพาะปัสสาวะมีปัญหามาสร้างความร้าวฉานให้ชีวิต
หลายคนบอกว่า ใครเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบแล้ว หรือมีอาการฉิ่งฉ่องขัดๆ แล้ว จะเป็นตลอดไม่หาย ซึ่งจริงๆ แล้วหากเรารู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของมัน เกิดมาจากพฤติกรรม หรือเหตุอะไร เราก็จะไม่เป็นอาการที่เราเคยเป็นอีก แต่ก่อนที่เราจะเป็นนั้น เราควรที่จะมีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นจะดีกว่า โดยสิ่งที่ต้องทำก็คือ

1. ไม่อั้นฉิ่งฉ่องนานเกินไป ถ้าเผอิญมีเหตุจริงๆ ให้รีบหาห้องน้ำเข้า แล้วรีบดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อล้างตั้งแต่กรวยไตไปถึงท่อปัสสาวะ
2. ดื่มน้ำผลไม้รสเปรี้ยว ฝรั่งบอกว่าให้ดื่มแครนเบอรี่ ครั้นจะไปหาแครนเบอรี่ก็แลดูจะลำบาก ของไทยๆ ของเราก็มี นั่นก็คือ "กระเจี๊ยบแดง" ดื่มแทนกันได้เลย ให้ดื่มบ่อยๆ เพราะกรดผลไม้ ทำให้ปัสสาวะไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อท่อปัสสาวะอักเสบ
3. ดื่มน้ำเปล่า ดีที่สุดคือน้ำเปล่า อย่างน้อยวันละ 2 ลิตรหรือ 2 ขวดใหญ่ เทคนิคคือ ตั้งใจเอาขวดน้ำวางไว้หน้าโต๊ะทำงาน แล้วบอกตัวเองว่าจะกินให้หมดในวันนี้
4. ไม่จำเป็นอย่าใช้สายสวนปัสสาวะ หรือคาสายสวนไว้ เพราะจะได้เชื้อแถมเข้าท่อฟรีๆ 
5. ก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรดื่มน้ำให้มากๆ แล้วปัสสาวะทิ้งเป็นการล้างท่อภายในได้ดีทีเดียว

วิธีการรักษา หากใครกำลังประสบปัญหานี้อยู่
หากไม่เป็นแล้วไม่ต้องเป็นกังวลไป เรามีหนทางพอที่จะมาเยียวยาได้ โดยเริ่มจากการหานาทีทองของการปัสสาวะ รู้สึกปวดเมื่อไหร่อย่าอั้น เข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา อย่ากลั้นนานเกินไป เช่นเป็นชั่วโมง ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงหรือน้ำส้มเป็นประจำ เลี่ยงอาหารรสจัดและเผ็ดเพราะปัสสาวะออกมาจะแสบ ยิ่งไประคายเคืองท่อปัสสาวะ

และระวังเรื่องการรับประทานยาล้างไตที่ซื้อตามร้านหรือยาที่ผ่านไตจะทำให้ไตทำงานหนักเพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อระบบอื่นๆ ตามมาภายภาคหน้า และสุดท้ายฝึกออกกำลังอุ้งเชิงกรานโดยการทำ "คีเกล เอ็กเซอร์ไซส์" หรือการฝึกขมิบเป็นระยะเพื่อความแข็งแรงของหูรูด แต่ถ้าไม่หายจริง ก็มียาที่ช่วยรักษาเกี่ยวกับโรคนี้โดยตรง อยู่ที่คุณหมอสาขาที่เรียกว่า "ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ" ที่รักษาเองไม่ได้ ต้องพึ่งคุณหมอก็งานนี้นี่แหละ

เมื่ออาการฉิ่งฉ่องขัดหรือฉิ่งฉ่องออกมาเป็นเลือดครั้งหน้า ลองทำตามการรักษาแบบอายุรวัฒน์ที่สามารถรักษาเองได้ด้วยตัวเองดูก่อน แล้วก็ปรับพฤติกรรมการเข้าห้องน้ำเสียใหม่ เท่านี้ก็คงพอที่จะทำให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ต้องเจ็บปวดจิตใจและร่างกาย ได้หายจากอาการที่มาพร้อมกับการอั้นฉิ่งฉ่องนานๆ ได้แล้ว

 สัญญาณอันตราย ที่เฉยไม่ได้หากเกิดขึ้นเมื่อกลั้นปัสสาวะ
มีไข้ หนาวสั่น ฉิ่งฉ่องขัด ไม่สุด หรือมีเลือดปน ปวดหลัง ฉิ่งฉ่องไม่ออก หรือออกน้อยผิดปกติ ซึ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณของโรคอันตราย อย่าง กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ กรวยไตอักเสบ ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งในทางเดินปัสสาวะได้

ที่มา: women.thaiza.com
............................................................................................

เรื่องที่ผู้หญิงเปลี่ยนผู้ชายไม่ได้...


10 เรื่องที่ผู้หญิงเปลี่ยนผู้ชายไม่ได้...
ไม่ว่าคุณจะรักเขาแค่ไหน หรือพยายามแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนผู้ชายได้ในหลาย ๆ เรื่องที่คุณไม่ชอบใจ เพราะฉะนั้นทำใจให้อยู่กับมันให้ได้เสียดี ๆ เถอะ!
     1. เขาจะโกหกคุณ อย่าเพิ่งกรี๊ด ไม่ใช่เรื่องเรื่องโกหกใหญ่โตที่รับไม่ได้หรอก แต่เป็นการโกหกเล็กๆ น้อยๆ ที่จริงๆ ก็มีจุดประสงค์ของนะ หลักๆก็เพื่อทำให้คุณรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง และทำให้เขาไม่ต้องเดือดร้อน ฉะนั้น ถ้าคุณถามเขาว่าชุดนี้สวยไหม หรือเขาไปจ่ายบิลค่าไฟฟ้าหรือยัง หรือเขาอยากเจอพ่อแม่ของคุณหรือเปล่า เขาก็จะตอบรับอย่างหนักแน่นเสมอไป ถึงแม้เขาจะคิดเป็นอย่างอื่นก็ตามที ทำไมน่ะหรือ? อ้าว ก็การตอบอย่างอื่นมันเจ็บปวดเกินกว่าจะรับได้ไม่ใช่หรือไง
     2. เขาจะแอบมองผู้หญิงอื่นเสมอ คุณอาจคิดว่าคุณเป็นสาวคนเดียวที่เขามีสายตาไว้จับจ้อง แต่รับประกันได้เลยว่าเขาต้องแอบมองผู้หญิงอื่นอย่างน้อยก็วันละไม่ต่ำกว่า 10 คนหรอก บางคนอาจทำให้เขาอดคิดไม่ได้ด้วยว่า ถ้าได้แอ้มสักทีจะเป็นยังไงบ้างน้า... แต่อย่าเพิ่งสติแตกไปเลย ในท้ายที่สุดเขาก็จะตระหนักได้เสมอว่า สิ่งที่เขามีอยู่นั้นดีที่สุดแล้วและผู้หญิงอื่นก็อาจจะน่าเบื่อได้เช่นกัน
     3. เขาจะพูดถึงคุณเสมอ คิดว่าเรื่องตลกๆ น่าอายระหว่างคุณกับเขาจะรู้กันอยู่แค่สองคนเหรอ? ไม่มีทาง... ไม่ว่าคุณจะกำชับแค่ไหนว่า "อย่าบอกใครเรื่องนี้นะ" มันก็จะเป็นเรื่องแรกที่เขาเอาไปเล่าให้เพื่อนฟังเวลาดื่มเหล้ากันเสมอ แหม...เขาก็แค่อยากเช็คว่าเรื่องแบบนี้มันปกติหรือเปล่า? แล้วก็หาเรื่องหัวเราะคุณนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นแหละ
     4. เขาจะไม่มีวันใส่ใจเรื่องแต่งตัวได้มากเท่าคุณ ผู้ชายทั้งแท่งส่วนใหญ่ไม่แคร์เรื่องแฟชั่นเลยจริงๆนะ ถึงเขาจะอยากดูดีเหมือนกัน แต่การช้อปปิ้งไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับผู้ชายเท่าไหร่ ทำให้เขาพลอยไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการแต่งตัวตามไปด้วย ถ้าคุณอยากให้เขาแต่งตัวดีขึ้นก็ได้เลย ซื้อเสื้อผ้าดีๆ ที่คุณอยากให้เขาใส่มาให้ได้เลย แต่อย่าคาดหวังว่าเขาจะพยายามแต่งตัวให้ดีขึ้นด้วยตัวเองเพื่อคุณเลย
     5. เขาจะไม่มีวันหยุดดูกีฬา ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบดูกีฬา และในขณะที่เขาเข้าใจดีว่าคงได้ดูน้อยลงถ้าเกิดอยู่บ้านเดียวกับคุณแล้ว แต่ก็อย่าได้หวังเชียวว่าเขาจะเลิกโดยเด็ดขาด ถ้าคุณไม่ให้เขาดูในบ้าน เขาก็จะไปหาดูที่อื่น อย่างเช่น ตามผับหรือบาร์ที่มีให้ดู แล้วก็อย่าบ่นล่ะถ้าเขาจะขอครองจอทีวีในช่วงฟุตบอลโลก ก็แหม...สี่ปีมีหนเดียวเองนะ
     6. เขาจะไม่พูดถึงความรู้สึกตัวเองแน่นอน ในขณะที่ผู้หญิงอยากจะพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง สำหรับผู้ชายแล้ว มันเป็นเรื่องทรมานใจมาก เขาก็รู้ดีอยู่หรอกว่ามันมีประโยชน์ในการเปิดใจกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องชอบด้วยนี่นา
     7. เขาจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องรอคุณแต่งตัวนานๆ ถึงแม้เขาจะอยู่กับคุณนานแค่ไหน หรืออยู่ในบ้านที่มีพี่น้องผู้หญิงหลายคนและเจอเรื่องนี้มามากแค่ไหน ก็อย่าได้หวังเลยว่าเขาจะทำใจได้ ต่อให้เขาไม่แสดงออกก็รู้เถอะว่าเขาแอบหงุดหงิด
     8. ทัศนคติเรื่องเซ็กส์ของเขาแตกต่างกับคุณเสมอ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักคิดเรื่องเซ็กส์ในแบบที่แตกต่างกับผู้ชาย ในขณะที่คุณให้คุณค่ากับร่างกายของคุณ และต้องการความรู้สึกสนิทเสน่หากันก่อนที่จะมีเซ็กส์กับใครสักคน ผู้ชายจะสามารถมีเซ็กส์ตอนไหนก็ได้!
     9. เขาจะไม่มีวันสื่อสารได้ดีเท่าคุณ ขณะที่ผู้หญิงขยันส่งการ์ดขอบคุณ การ์ดวันเกิด การ์ดปีใหม่ สารพัดการ์ดทุกเทศกาล รวมถึงเขียนอีเมลล์ โทรศัพท์คุยกับคนโน้นคนนี้ ผู้ชายจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอกรู้ไว้เถอะ โดยเฉพาะเรื่องเขียนเนี่ยแหละ
     10. เขาจะไม่มีวันบอกว่าคุณอ้วนขึ้น ถึงแม้คุณจะไม่คิดรีรอที่จะชี้ไปที่พุงของเขาและบอกว่า "ต้องลดแล้วนะ" แต่ผู้ชายจะไม่มีวันยกเรื่องเซลลูไลต์ที่ต้นขาของคุณขึ้นมาพูดเด็ดขาด เขาไม่ได้แคร์มันขนาดนั้นหรอก และตอนที่ได้เห็นมัน เขาก็ได้แอ้มคุณอยู่ เรื่องอื่นสำคัญกว่าเยอะ

Thank : Lisa
.....................................................................................

ขนมจีนน้ำยาไก่สูตรโคราช ...


ขนมจีนน้ำยาไก่
ขนมจีนน้ำยาไก่สูตรนี้เป็นสูตรทางโคราช คล้ายแกงเผ็ดไก่ของภาคกลาง แต่สูตรโคราชจะใส่เครื่องในไก่ ไม่ใส่มะเขือและโหระพาเวลาทำจะเคี่ยวไก่กับกะทิให้เปื่อยนุ่ม น้ำแกงใสไม่ข้นมาก รสชาติเค็มเผ็ดปานกลาง

ส่วนผสมของน้ำยาไก่
กะทิ 2 ถ้วย
หางกะทิ 6 ถ้วย
ตะโพกไก่ติดน่องสับชิ้นพอคำ 3 ขีด
ตีนไก่ 3 ขีด
เลือดไก่หั่นชิ้นพอคำ 2 ขีด
น้ำปลา เกลือ
ขนมจีน

เครื่องแกงสำหรับน้ำยาไก่
พริกแห้งเม็ดใหญ่ 10 เม็ด
เกลือ 1 1/2 ช้อนชา
ข่าแก่หั่นละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้ซอย 3 ต้น
ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
กระเทียมแกะเปลือก 1/4 ถ้วย
หอมแดง 4 หัว
กะปิ 2 ช้อนชา


วิธีทำน้ำยาไก่
1. ทำน้ำพริกแกงโดยใส่เครื่องแกงทั้งหมดโขลกให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย พักไว้
2. เคี่ยวกะทิ 1 ถ้วยในกระทะด้วยไฟกลางจนเดือด ใส่น้ำพริกแกงที่โขลกพักไว้ ผัดให้หอมและให้แห้ง ใส่หางกะทิ 1 ถ้วย คนให้ทั่ว เคี่ยวให้เดือด ใส่ไก่และตีนไก่ เคี่ยวสักครู่
3. ใส่หางกะทิ 3 ถ้วย เคี่ยวต่อจนตีนไก่นุ่มสุก ใส่เลือดไก่ และหางกะทิที่เหลือ ปรุงรส ด้วยน้ำปลาและเกลือ ชิมรสให้พอดี พอเดือดอีกครั้ง ปิดไฟ จะได้น้ำยาไก่รสแซบ
4. ตักใส่ขนมจีนใส่จาน ตักน้ำยาราด เสิร์ฟกับผักสด และไข่ไก่ต้ม
........................................................................................

จะอยู่ยังไง...ถ้าไม่แต่งงาน?...

จะอยู่ยังไง...ถ้าไม่แต่งงาน?...
          มีหลายคนชักสงสัยว่า "ทำไมทุกคนต้องมีแฟน?"..."ไม่มีแฟน จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ไหม?" 

          คนที่ถามส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นคนที่ยังไม่มีแฟน หรือมีแล้วแต่อกหัก เลิกกันไปแล้ว กำลังอยู่ในช่วงทำใจ แต่ก็ยังคิดมากอยู่ เหมือนพยายามใช้ชีวิตอยู่ให้ได้โดยปราศจากเขา

          สำหรับคนที่ยังไม่มีแฟน แล้วมองเห็นคู่รักผ่านสายตาไปหลาย ๆ คู่ ข้อสงสัยนี้มักเกิดจาก อาการอิจฉาริษยาเขา ในใจลึก ๆ ก็อยากมีกับเขาบ้าง แต่ไม่มี ก็เลยพยายามคิดว่า ถ้าเกิดเราไม่มีแฟน เราควรจะใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ แต่จะอยู่ยังไง แก่ไปจะเป็นยังไง จริง ๆ แล้วอยู่ได้จริงหรือไม่ นั่นคืออาการไม่แน่ใจ ลังเลใจ

          ถ้าถามฉัน แล้วฉันตอบว่า "อยู่ได้" หลายคนก็อาจจะคิดว่า มันเป็นการปลอบใจชัด ๆ เหมือนให้กำลังใจตัวเองว่า ไม่มีก็ไม่เป็นไร เราก็มีความสุขดีอยู่นี่ ใช้ชีวิตให้สุขกับสิ่งอื่นได้อีกถมเถไป ครอบครัว การงาน เพื่อนฝูง หรือมีความสุขกับการท่องเที่ยว งานอดิเรก สัตว์เลี้ยงต้นไม้ มันก็มีความสุขอยู่ในแต่ละวันได้ แม้จะเป็นรักที่ต่างกัน แต่ถ้าพูดถึงอนาคตไกล ๆ ล่ะ

          ถ้าถามฉัน แล้วฉันตอบว่า "อยู่ได้...แต่อย่าไปคิดมาก อย่าเห็นคนอื่นมีครอบครัวแล้วมาเปรียบเทียบกับตัวเองแล้ทุกข์ อย่าเหงา...แล้วจะอยู่ได้" คงมีคนขำ และถ่มน้ำลายใส่ฉัน "ใครจะไปทำอย่างนั้นได้วะ? ไม่ใช่พระใช่ชีนี่ ถึงทำใจได้ มันก็ต้องคิดกันบ้างล่ะ" นี่แหละ...คือคำตอบของปัญหาข้างบน

          "อาการอยู่ได้หรือไม่? มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำตอบของฉันหรอกนะ มันขึ้นอยู่กันว่า คุณเข้าใจตัวเองมากน้อยแค่ไหน? คุณทำใจ และคุณมั่นใจในสิ่งที่คุณเป็นมากน้อยแค่ไหนต่างหาก จะอยู่ได้หรือไม่? ต้องถามใจคุณดู"

          ถ้าคุณเชื่อในตัวเอง มั่นคงในตัวเอง ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ไม่ใช้ชีวิตโดยยึดติดกับมาตรฐานสังคมมากนัก คุณก็ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ขอเพียงคุณยอมรับได้ในสภาพที่คุณเป็นอยู่ แน่นอนว่า...เมื่อผ่านพ้นวัยหนึ่งไปแล้ว อะไรหลาย ๆ อย่างที่คุณเคยมีเวลาทุ่มเทให้มัน มันจะหายไป คุณต้องเผื่อใจไปกับการวางแผนว่า...เมื่อช่วงเวลาเหล่านั้นเกิดช่องว่าง

          คุณจะทำอะไร? เช่น ช่วงเวลาที่คุณเคยมีกิจกรรมกับเพื่อน ๆ วันหนึ่ง เพื่อนคุณก็จะมีครอบครัวกันไป หรอกงานอดิเรกบางอย่าง คุณก็จะไม่สามารถทำมันได้อีก ในวัยที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย คุณจะใช้เวลาเหล่านี้ทำอะไร ช่วงเวลาที่ครอบครัวสุขสันต์ คุณจะอยู่กับอะไรได้บ้าง ต่อให้คุณเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวใคร คุณก็ไม่สามารถเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขาได้อย่างสมบูรณ์ พี่น้องคุณก็ต้องมีครอบครัวของเขา พ่อแม่คุณวันหนึ่งเขาก็ต้องจากคุณไป คุณจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร และอยู่อย่างไร นี่คือสิ่งที่คุณต้องคิด

          ถ้าคุณมีการวางแผนและมีคำตอบให้ตัวคุณเอง คุณก็ไม่ต้องกลัวเหงา มันมีบ้างที่เรารู้สึกโดดเดี่ยว แต่ถ้าคุณยังมีความสุขกับสิ่งรอบข้างและตัวคุณเองอยู่ มันจะสามารถทดแทนกันได้ แม้จะไม่สมบูรณ์เสียทีเดียวก็ตาม เพราะความรักในแต่ละรูปแบบ มันต่างการกระทำเสมอ มันไม่สามารถแทนกันได้จริง แต่มันสร้างกำลังใจให้ชีวิตได้เหมือนกัน ถ้าคุณให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากพอ


          ฉันไม่อยากได้คำตอบว่า "อยู่ได้" ของฉัน ทำให้หลาย ๆ คนมองข้ามความรัก จากใครบางคนไป เพราะถึงยังไง ฉันก็ยังถือว่า..."การมีชีวิตคู่ มันมีความอิ่มเอมกว่าอยู่ดี" ไม่เช่นนั้น... ทำไมมนุษย์ถึงต้องมีสองเพศ? และการถือกำเนิดชีวิตใหม่...ถึงต้องใช้คนสองคน? (ตอนนี้มีหลายเพศ แต่เรากำลังพูดถึงการแต่งงาน จึงขอละไว้ก่อนนะ)

          ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย หลายคนเมื่อเจอปัญหาคู่ของคนอื่น ก็มักจะเปรย ๆ กับตัวเองว่า "ไม่แต่งดีกว่าปัญหาเยอะ" หรือไม่ก็ประเภทที่แต่งไปแล้วมีปัญหา ก็มักจะบ่น ๆ ว่า "รู้อย่างนี้เป็นโสดจนตายดีกว่า" ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้ ฉันว่ายังไงเขาก็ยังเลือกที่จะแต่งงานอยู่ดี!

          การได้ใช้ชีวิตร่วมกับใครอีกคน ซึ่งถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเราในตอนแรก เพราะเราไม่รู้จักกันมาตั้งแต่เกิด มันเป็นสีสันหนึ่งของชีวิต มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าสงสัยสำหรับชีวิตมนุษย์ ต่อให้มีความทุกข์ หรือปัญหาเกิดขึ้น มันจะทำให้ชีวิตมีมิติมากขึ้น มีความลึก มีการเรียนรู้ มีการเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนแปลง จะเป็นด้านบวกหรือลบ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนตัวของแต่ละคู่ ว่าจะจัดการกับเรื่องของตัวเองยังไง?

          มันเหมือนกับการเล่นเกม หลายคนชอบเพราะอยากเอาชนะมัน เมื่อเล่นแล้วก็ต้องเล่นให้ชนะ ชีวิตถูกส่งมาให้เราเล่นต่างกันตรงต้องคิดให้มากขึ้นกว่าเกมปกติ เพราะเล่นใหม่ไม่ได้ คงต้องไปเกิดใหม่ ตัวเราเป็นตัวเดินเรื่อง มันคงจะดีถ้าเรามีผู้ช่วยเก่งๆ มาช่วยเราใช้ชีวิต บางคนเลือกผิด ทำชีวิตเราพังก็มีบางคนเลือกถูก ก็พาชีวิตเราเดินไปได้ตลอดรอดฝั่ง

          ทุกคนล้วนถูกส่งผู้ช่วยมาให้เลือกกันทั้งนั้น ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ขัง คนที่มักพูดว่า "เดินคนเดียวดีกว่า" จริง ๆ แล้วเขาก็เลือก แต่ดันเลือกผิด คงไม่มีใครหรอกที่มีให้เลือกแล้วไม่เลือก ส่วนคนที่บอกว่า "ฉันไม่เห็นได้เลือกเลย ไม่เห็นเขาส่งใครมาให้ฉัน"

          ถ้าคุณมองให้ดี ๆ ลองทบทวนอีกที อาจจะมีบางช่วงเสี้ยววินาทีที่คุณเดินอยู่ มีใครบางคนที่คุณคิดว่าไม่น่าไว้ใจผ่านมา คุณแค่ประเมินด้วยหางตา แล้วคุณก็รีบเดินห่าง ๆ หรือรีบผ่านเขาไป โดยไม่กล้าแม้จะเหล่ตามอง ได้เฉียดใกล้เขาไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำ คนคนนั้น อาจเป็นอัศวินขี่ม้าขาว ที่จะช่วยคุณออกมาจากถ้ำมังกร ถ้าเพียงคุณให้เวลากับเขามากกว่านี้

          อย่าบอกนะว่า...คุณไม่เคยเดินสวนกับใครมาก่อนเลยในชีวิต!

Thank : k@pook
........................................................................................

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ระวัง! เชื้อโรคใน "ตู้เย็น"...

       "ตู้เย็น" เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่แทบทุกบ้านจะต้องมีไว้ใช้ เพราะตู้เย็นช่วยให้เรามีน้ำเย็นๆ ดื่มแก้กระหาย มีน้ำแข็งไว้ให้เราดับร้อนเวลาที่อุณหภูมิพุ่งสูงปรี๊ด และประโยชน์ที่สำคัญอีกอันหนึ่งของตู้เย็นก็คือไว้ใช้เก็บอาหารให้ได้นานขึ้น ทั้งอาหารสดประเภทเนื้อสัตว์ และผักสดต่างๆ และอาหารสำเร็จรูปที่อาจยังกินไม่หมด ก็สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อยืดระยะเวลาการบูดเน่าได้
       
       แต่บางบ้านเห็นตู้เย็นเป็นที่ขังลืม แช่ข้าวของต่างๆ ไว้มากมายจนหยิบออกมาใช้ไม่ทั่วถึง ผักสดบางอย่างก็เริ่มเน่าหรือราขึ้นบ้าง อาหารบางอย่างก็เริ่มเน่าเสีย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะจะทำให้เกิดแบคทีเรียร้ายในตู้เย็น หรือแบคทีเรียลิสเทอเรีย (Listeria) ที่สามารถเจริญได้ดีที่อุณหภูมิตู้เย็น โดยเฉพาะเมื่อมีการเก็บรักษาอาหารไม่ถูกวิธี ก็จะทำให้แบคทีเรียยิ่งเจริญเติบโต และหากแบคทีเรียนั้นเข้าสู่ร่างกายคนก็จะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตถึง 30 เปอร์เซ็นต์
       
       ดังนั้นหากไม่อยากให้เกิดแบคทีเรียมาปนเปื้อนกับอาหารที่เรากินเข้าไป ก็จะต้องระมัดระวัง โดยหากเป็นผักสดควรเก็บไว้ประมาณ 3-4 วัน เนื้อสัตว์สดเก็บได้ประมาณ 5 วัน และหากจะนำมาประกอบอาหารก็ต้องล้างให้สะอาดก่อน ส่วนอาหารที่ปรุงสุกแล้วควรกินให้หมดไม่ควรแช่ตู้เย็น แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องปิดฝาให้เรียบร้อยแล้วจึงนำเข้าตู้เย็น ที่สำคัญก็คือต้องทำความสะอาดตู้เย็นเป็นประจำ อย่าให้มีของเหลือค้างเป็นดีที่สุด
........................................................................................

ไข่ขาว ดูดสิว!!...

เชื่อหรือไม่ ไข่ขาว ดูดสิวได้ดีเยี่ยม...

           ไข่ขาวมีประโยชน์ต่อผิวหน้า โดยเฉพาะถ้าต้องการขจัดสิวสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำ แบบใบหน้าไม่ต้องช้ำด้วยมือกด หรือใช้มือบีบให้ผิวช้ำ 

           เริ่มต้นด้วย การล้างหน้าให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วใช้แผ่นสำลีไม่หนาหรือบางจนเกินไป ชุบไข่ขาว แล้วนำมาแปะบนใบหน้ายกเว้น รอบดวงตาและริมฝีปาก แล้วนอนรอ

           เมื่อสำลีที่ชุบไข่ขาวบนใบหน้าแห้งสนิทดีแล้ว (ต้องแห้งจริง ๆ ) จึงลอกออก สังเกตสำลีที่ถูกลอกจะเห็นสิวหัวดำติดออกมา และหัวสิวขาว ๆ เหลืองออกมาเต็มเลย จากนั้นใช้น้ำอุ่นเช็ดใบหน้า และล้างออกด้วยน้ำเย็น เพื่อปิดรูขุมขน


           ถ้าเป็นคนหน้ามัน และสับปะรดยังเหลืออยู่อีก ก็หั่นสับปะรดบาง ๆ วางบนใบหน้า หรือจะใช้ส้อมยีให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก็ได้ แต่มันจะทำให้หกเลอะเทอะ ทว่าได้ผลในการดูดซึมได้ดี ทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเปล่าสะอาด ผิวหน้าจะเนียนนุ่ม สดใส และช่วยลดความมัน

           แค่สับปะรดที่ซื้อมาสัก 2 เสี้ยว หรือ 1 ลูก และไข่ไก่ซึ่งมีติดคู่ครัวอยู่แล้ว เพียงแค่นี้ก็สวยทั้งข้างในและข้างนอก !!!

Thank : ภาพยนตร์บันเทิง
...................................................................................

เหตุผล ที่ทนอยู่...

        ถามว่าเจอผู้ชายร้าย ๆ แล้วทำไมผู้หญิงยังทนอยู่....
        ก่อนคบกันก็สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะถอดเขี้ยวเล็บ จนใคร ๆ ต่างพากันชื่นชมว่าผู้หญิงแสนดีอย่างคุณสามารถปราบเสือให้อยู่หมัดได้ แต่จริง ๆ แล้วเขี้ยวเล็บที่ถอดออก เขากลับแอบเอาไปซุกไว้ในกระเป๋าซ้าย-ขวา แล้วค่อย ๆ ล้วงออกมาใส่ตอนคุณเผลอน่ะสิ แม้คุณจะจับสัญญาณได้ว่าเขายังไม่เลิกเจ้าชู้ แต่คำว่า "รัก" ก็ดึงคุณไว้เสมอ แถมพอมาเจอลูกอ้อนของเขาหน่อยเดียว คุณก็ยอมให้อภัยเขาแต่โดยดีแล้ว เป็นแบบนี้มาหลายครั้งหลายคราแต่คุณก็เลิกไม่ได้ซะที แม้คนรอบข้างจะเตือนอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดคุณได้ มันเกิดอะไรกับผู้หญิงแสนดีอย่างคุณล่ะเนี่ย!? ถ้าอยากรู้ว่าเพราะอะไร ก็ตามเข้าไปหาคำตอบกันเลย...

  1. กลัวความเหงา
          ก็ร้องเพลงโสดมาตั้งนาน พอมีคนรักให้ควงแขนเดินเล่น ซบไหล่ตอนดูหนังทั้งที จะปล่อยให้เขาไปง่าย ๆ ได้อย่างไร คุณก็เลยต้องกล้ำกลืนฝืนทน ยอมเช็ดน้ำตาดีกว่าปล่อยให้เขาไปกับคนอื่น ถึงแม้ตอนที่อยู่กับคุณ เขาโทรศัพท์คุยกับสาวอื่นคุณก็ยอม แล้วก็งัดเหตุผลต่าง ๆ นานามาอ้างกับคนรอบข้างว่าเขาดีอย่างนู้นอย่างนี้ เพื่อจะได้เลิกแอนตี้เขาซะที หรืองัดไม้ตายสารพัดเพื่อไม่ให้เขาเดินจากไป นั่นเพราะว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนกลัวความเหงาจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณอีกครั้ง ส่วนหนึ่งนั้นมาจากผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะติดอยู่กับความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ จึงต้องการคนมาดูแลหัวใจน้อย ๆ ในความเป็นจริงคุณยังมีเพื่อน มีครอบครัวอยู่นะ และอย่าลืมว่าโลกนี้ก็ไม่ได้มีผู้ชายคนเดียวซะหน่อย

  2. สถานะการเงินของตัวเองไม่มั่นคง
          อย่างที่รู้ ๆ กันทั่วไปว่าเมื่อแต่งงานออกเรือนกันไปแล้ว ผู้ชายจะต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว ส่วนผู้หญิงก็อยู่บ้านทำกับข้าว รอสามีกลับมาทานข้าวพร้อมกัน ฉะนั้น เมื่อเธอเจอใครคนนั้นที่มีความพร้อมทางฐานะ ที่สามารถดูแลเธอได้แล้ว ต่อให้เขาร้ายแค่ไหนเธอก็ทนได้ และถ้าพร้อมทางด้านหน้าตาด้วยแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็จะถือเป็นโชคสองชั้นของเธอเลยทีเดียว แบบนี้มีเหรอเธอจะจากไปง่าย ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็มีศักยภาพเท่ากันหมด อยู่ที่คุณต่างหากว่าเลือกใช้ชีวิตแบบไหน ที่สำคัญเดี๋ยวนี้มีผู้หญิงเกือบจะ 100 % ชอบออกมาทำงานนอกบ้านแทนการเป็นแม่บ้านแล้วนะ

  3. หลงใหลไปกับเพอร์เฟคท์ชั่นนิสต์
          ทั้งรูปร่างหน้าตาเหมือนถอดแบบออกมาจากนิตยสาร หน้าที่การงานก็มั่นคง ควงกันออกงานสังคมเป็นว่าเล่น ทั้งหล่อทั้งอนาคตไกล แถมเรื่องบนเตียงก็ฮอตได้ใจขนาดนี้ ร้อยทั้งร้อยก็ดิ้นไม่หลุด ต่อให้คุณโกรธเขามากขนาดไหน สุดท้ายคุณเองนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายง้อ ใครจะว่าเสียศักดิ์ศรีก็ช่าง นาทีนี้ขอมีแค่เขาก็สุขใจแล้ว แต่แหม...ลองคิดในทางกลับกันนะ ว่าถ้าเขาแก่ตัวไปคุณจะรับเขาได้อีกไหม อย่าลืมว่าร่างกายไม่ใช่ของที่ยั่งยืน ทางที่ดีหาคนดี ๆ คบกันยืด ๆ เอาไว้ข้างกายดีกว่านะ


  4. ไม่อยากสูญเสียสถานะทางสังคม
          รู้ทั้งรู้ว่าเขาแอบไปมีผู้หญิงอื่นซุกไว้ แต่คุณก็จำยอมสะกดคำว่าอดทนทุก ๆ วัน เพราะถ้าจบกันตอนนี้จะเอาหน้าตาไปไว้ที่ไหน หรือถ้าใครถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงเลิกรา คุณจะตอบว่าอย่างไรดีถึงจะเสียหน้าน้อยที่สุด อีกทั้งกว่าจะได้ออกงานมีหน้ามีตาในสังคมคุณต้องเสียเงินไปเท่าไหร่ จะให้บอกลากันง่าย ๆ คงไม่มีทาง แต่เราอยากให้คุณคิดง่าย ๆ นะว่า การมีหน้ามีตาในสังคมเป็นแค่มโนธรรม มันทำให้มีความสุขได้จริงหรือเปล่า ทำไมไม่ลองถอดมันออกซะ เชื่อเถอะว่าความสุขอยู่แค่หลังหน้ากาก...แค่นั้นเอง...

  5. ขาดเพื่อน
           เมื่อก่อนคุณอาจจะเคยมีเพื่อนเยอะแยะ โทรศัพท์นัดกันไปไหนมาไหนไม่ว่างเว้น แต่เมื่อเขาเข้ามาก็ตัดทุกช่องทางการติดต่อ เพื่อน ๆ จะชวนไปแฮงค์เอ้าท์ที่ไหนก็ตอบปฏิเสธซะทุกครั้ง จนทำให้คุณค่อย ๆ ห่างหายจากกลุ่มเพื่อนทีละนิด พอหันซ้ายแลขวาก็เหลือเขาอยู่คนเดียว ซึ่งแรก ๆ ทุกอย่างก็สวยงาม ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ แต่พอพักหลัง ๆ คุณจะชวนเขาไปไหนก็อิดออด แถมเวลาเจอสาวสวยทีไรก็ทำท่าทางกรุ้มกริ่ม หรือแอบดอดไปมีกิ๊กบ้างบางเวลา ซึ่งคุณก็อภัยให้เขาเรื่อยมา เหตุเพราะคุณไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ จึงกล้ำกลืนฝืนทน แต่จริง ๆ แล้ว เพื่อนไม่ว่าจะห่างหายกันไปนานขนาดไหน ก็จะมีเส้นใยบาง ๆ ที่สามารถต่อติดกันได้เสมอ หรือต่อให้โกรธกันอย่างไร เพื่อนที่ดีจริงก็ย่อมอยู่ข้างเพื่อนเสมอ บอกเลิกแฟนได้แต่บอกเลิกความเป็นเพื่อนไม่ได้หรอก

  6. ครอบครัวไม่บอกให้เลิก
          ครอบครัวมีอิทธิพลในการตัดสินใจของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต และการแต่งงาน เมื่อพวกเขาบอกว่าดีคุณก็ต้องก้มหน้ายอมรับไปบอกว่าดี ทั้ง ๆ ที่ในใจแสนอึดอัด เพราะคนดีของที่บ้านคุณกลับกลายเป็นผู้ร้ายเมื่ออยู่กับคุณสองต่อสอง ที่สำคัญชอบทำให้คุณเสียน้ำตาเสมอ จะเล่าให้ที่บ้านฟังก็กลัวพวกเขาเป็นห่วง เลยปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้แหละ แต่จริง ๆ แล้วไม่ดีแน่ ๆ ขีดเส้นให้เดินกันขนาดนี้ พวกเขาไม่ได้เป็นคนแต่งงานนะ ถ้าอยู่ไปไม่มีความสุขจะทู่ซี้อยู่ทำไม จบ ๆ กันไปเลยดีกว่า

  7. ทุ่มไปแล้วทั้งกายและใจ
          หวังมัดใจให้เขามีคุณคนเดียว มีเขาอยู่ในทุกอณูความฝันของคุณ ตั้งแต่ช่วงฮันนีมูน มีลูก และครองรักกันไปจนแก่ ขาดเขาไปไม่รู้ชีวิตนี้จะเดินต่อไปทางไหนดี เหมือนคนไม่รู้ทิศทาง จึงกลัวที่จะสูญเสียเขาไปให้ใคร คงทำใจไม่ได้แน่ ๆ  ยอมให้เขามีกิ๊กมีกั๊ก บางคนอาจรู้อยู่เต็มอกแต่ก็ปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไป เห็นแบบนี้แล้วเหนื่อยใจแทนจริง ๆ ค่อย ๆ ถอนตัวออกมาดีกว่า ก่อนที่คุณจะขุดหลุมฝังตัวเองไปมากกว่านี้

  8. ความเจ้าชู้เป็นเรื่องธรรมดา
          คุณปล่อยให้เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นโดยเต็มใจ เพราะคิดว่าปล่อยให้เขาไปหาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกบ้านคงไม่เป็นไร เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เช่น เรื่องเซ็กส์...คุณคิดว่าอาจให้เขาได้ไม่พอเลยยินยอมให้เขาไปมีอะไรกับคนอื่นที่สามารถเติมเต็มให้เขาได้ แล้วเหมาว่าการทำแบบนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณดีขึ้น แต่บางครั้งอาจให้ผลตรงกันข้าม ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกเยอะแยะที่ทำให้ชีวิตคู่ยืนยาวได้ ที่สุดแล้วคุณสองคนน่าจะเป็นคนเติมเต็มซึ่งกันและกันมากกว่าให้บุคคลที่สามมาทำให้นะ

          ความเจ้าชู้กับผู้ชายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ถึงแม้ผู้ชายมากกว่าครึ่งจะเคยนอกใจ และในกลุ่มผู้ชายที่เคยนอกใจกว่า 70 เปอร์เซนต์ จะบอกว่าคู่ของเขาไม่เคยจับได้ก็ตาม แต่อย่าไปเหมารวมว่าผู้ชายทั้งโลกจะเป็นแบบนี้ เพราะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้คุณจะถูกทิ้งหรือทิ้งเขา คุณก็ยังมีเพื่อน มีครอบครัว อย่าลืมว่าก่อนมีเขาคุณก็ตัวคนเดียว แล้วทำไมจะกลับมาเป็นแบบเดิมไม่ได้ อีกอย่างผู้ชายไม่ได้มีแค่คนเดียวสักหน่อย ยังมีผู้ชายดี ๆ รอคุณอยู่มากมาย อาจจะเจอกันช้าสักหน่อยแต่ก็คุ้มกับการรอคอยไม่ใช่เหรอ อยากให้รู้ไว้นะว่า คนที่เขารักกันจริงไม่มีใครอยากให้คนรักต้องเสียน้ำตาเพราะเขาหรอก...

Thank : k@pook

Club Friday ...

           ในคืนวันศุกร์สบาย ๆ ปลายสัปดาห์ สังคมอุดมความรักบนหน้าปัดวิทยุ คลื่นกรีนเวฟ 106.5 เอฟเอ็ม แฟนคลับรายการ "คลับฟรายเดย์" (Club Friday) จำนวนมากต่างจดจ่อรอคิวจัดรายการของสองสาวศิราณี ดีเจอ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล และ ดีเจพี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา มาเม้าท์เรื่องราวความรักหลากรสในหัวข้อต่าง ๆ ที่แสนจะเจ็บจี๊ดทิ่มใจ

           โดยในแต่ละศุกร์ คลับฟรายเดย์ จะมีเรื่องราวความทุกข์จากความรักแตกต่างกันไป ซึ่งแม้ว่ากูรูความรักจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหารักของใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยทั้งสองก็ได้ส่งผ่านข้อคิดดี ๆ มากมาย จนมีแฟนรายการติดตามฟังแบบเหนียวแน่นหนึบ และไม่แน่ว่า ถ้อยคำดี ๆ จาก คลับฟรายเดย์ อาจโดนใจคุณเข้าอย่างจังบ้างก็ได้นะ....
                                                   
           1. คนที่พยายามเข้มแข็งทั้งที่ยังอ่อนแอ มักจะได้แผลที่ใหญ่กว่าเดิม
           2. อยู่กับความจริง ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเห็น อย่ามองแค่สิ่งที่เราอยากมอง อย่าฟังแต่สิ่งที่เราอยากฟัง 
           3. จบแบบเจ็บ ๆ ดีกว่า เจ็บแบบไม่มีวันจบ
           4. ก่อนจะมีรัก ให้เชี่ยวชาญการเป็นโสดเสียก่อน..
           5. ไม่รักก็อย่ากั๊กไว้ ... ถ้าไม่ใส่ใจก็อย่าให้ความหวัง
           6. หลาย ๆ ครั้ง เรามองข้ามคนใกล้ ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ...!!!... เค้าหายไป ถึงได้รู้ว่า ที่ผ่านมาเราน่าอิจฉาแค่ไหน..ที่ได้หัวใจเค้ามา...
           7. บางครั้งเราเลือกจำ และฟังในสิ่งที่เราอยากให้เป็น
           8. บางสิ่งมีค่าพอให้หยุดมอง แต่ไม่มีค่าพอให้ย้อนเดินกลับไป
           9. ความรักไม่ใช่ถั่วงอก ... ที่เพาะไม่กี่วันก็กินได้.. 
           10. ได้ยินคำเลว ๆ จากคนที่รัก ดีกว่าได้ยินคำว่ารักจากคนเลว ๆ 
           11. อยากได้แต่ไม่กล้าขอ อยากรอแต่ไม่กล้าหวัง ...ไม่มีใครไม่เคยเป็น..
           12. บางคนขาดเค้าก็กลัวเหงา ลืมดูไปว่าบ่อยครั้งอยู่ใกล้เค้ากลับเหงากว่า..
           13. ความรักไม่ใช่รางวัลของความดี อย่าคิดว่าหนูทำดีต่อเค้าตลอดแต่ทำไมเค้าไม่รัก เพราะคนดีกับคนที่รักอาจเป็นคนละคน
           14. เราเข้าใจผิดว่าเลิกทั้งที่ยังรักกัน จริง ๆ อาจมีแต่ฉันที่รักเธอข้างเดียว
           15. เจอฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน ไม่นานมันก็ต้องผ่านไป แต่ฤดูอกหัก คิดถึงทีไร แย่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน


           16. บางสถานการณ์ ความอดทนอาจจะให้ผลตรงกันข้าม ยิ่งอดทน ยิ่งแพ้หรือเปล่า ไม่ทนเสียบ้าง บางทีชีวิตอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่
           17. คนบางคนก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะเห็นแก่เรา อย่ามัวถามว่าทำไมต้องใจร้ายกับเราในวันที่เค้าอยากไปกับคนอื่นแล้ว
           18. มีบางคนบอกว่า ชีวิตนี้ไม่บอกเลิกใคร...ฟังดูดี....แต่การไม่บอกเลิกใคร เขาแค่ไม่พูด แต่เขา ทำ ..
           19. สุขทุกข์ต่างกันที่วิธีคิด แค่อย่าไปยึดติดอยู่กับความรู้สึก
           20. การถอนหายใจ ไม่ได้แปลว่าหมดกำลังใจ แต่มันหมายถึงการพ่นเอาความเศร้าเล็ก ๆ ออกจากความคิด..
           21. ถ้าคุณเจอคนที่รู้สึกว่า "ใช่" อย่าเพิ่งรีบใส่คำว่า "รัก"
           22. บางคนอยู่สวย ๆ บนหิ้ง เค้าไม่ทิ้งแต่ก็ไม่ดูแล....
           23. คนไหนเป็นของเรา จะเหวี่ยงกันไปไกลแค่ไหนก็เป็นของเรา แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้พยายามแทบตาย ก็ไม่ได้ใกล้กันซักที
           24. ความรู้สึกดี ๆ ที่มอบให้ ถ้าเขาไม่อยากได้ ,, ก็เอามาใช้เองสิ จะไปยากอะไร
           25. บางคู่สมกันจริง ๆ คนหนึ่งทำร้ายจิตใจอยู่นั่น อีกคนให้อภัยอยู่นั่น 
           26. อะไรอยู่ใกล้ไปดูไม่สำคัญ ตัวเราอยู่กับเราตั้งแต่เกิดกลับให้คุณค่าคนอื่นมากกว่าจนมองข้ามตัวเอง
           27. "เหตุการณ์" ไม่ได้ซ้ำเติมเรา แต่ "วิธีคิดของเรา" ซ้ำเติมตัวเอง.. 
           28. องค์ประกอบหนึ่งของความรักคือความใส่ใจ ถ้าส่วนนี้หายไปยังจะเรียกว่า "รัก" อยู่หรือเปล่า??
           29. เป็นแฟนไม่ได้...บางทีก็ยากทำใจจะให้เป็นเพื่อน เธอคงหาว่าฉันใจแคบ ...เอ้าาา แคบ ก็ แคบ ถ้าไม่แคบจะมีเธอยู่ในนั้นได้เพียงคนเดียวหรือ???
           30. เธอเคยฝืนใจรับใบปลิวที่แจกตามหน้าห้างสรรพสินค้า เพราะเกรงใจคนแจกมัน และบางทีอาจมีคนรับความรักของเธอไป เพราะเหตุผลอย่างเดียวกัน สุดท้าย...เขาก็ทิ้งมัน เหมือนกับที่เธอทิ้งใบปลิวนั่นแหละ
           31. บางที มันเป็นเส้นบาง ๆ ระหว่าง "เจ้ากรรมนายเวร" กับ "สามี"
           32. บางทีการที่มีคน ๆ หนึ่งบอกเราว่า "เคยรักนะ แต่วันนี้ไม่รักอีกแล้ว" มันยังเข้าใจได้มากกว่า ที่จะบอกว่า "เธอดีเกินไป" / "ฉันอยากอยู่คนเดียว"...ทำไม รู้สึกตัวตอนนี้หละ ทีตอนนั้น ไม่เห็นอยากอยู่คนเดียวเลย..
           33. การคบใครที่ดีที่สุดให้ชีวิตไม่ได้แปลว่าคบหลายๆคน แล้วค่อยเลือกให้เหลือคนเดียว เพราะถ้าเกิดเราโดนทำแบบนี้บ้างเราคงไม่ชอบเหมือนกัน
           34. คนสองคนไม่ต้องรักมาก ขออย่าเข้าใจกันยากก็พอ...
           35. คำ..."อธิบาย"ชอบเอามาใช้ในวันที่ไร้ประโยนช์

                 คำ..."ขอโทษ" ชอบเอามาใช้ในวันที่....สาย
                 คำว่า..."รัก" ชอบเอามาพูดกั๊ก...ตอนมัน "เสียดาย"
                 และคำพูด....อีกมากมาย ที่เอามาล่อให้กลับไป อยู่ในคอกควายเช่นเดิม!!

           ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงบางส่วนจากแฟน ๆ รายการ คลับฟรายเดย์ ที่รวบรวมคำพูดโดนใจเอาไว้ ส่วนใครที่ยังไม่เคยฟัง แต่อ่านแล้วถูกใจใช่เลย ก็ขอแนะนำให้ไปติดตามเรื่องราวความรักและข้อคิดดี ๆ ได้โดยตรงที่คลื่นกรีนเวฟ 106.5 เอฟเอ็ม ทุกวันศุกร์ เวลา 20.00-23.00 น. ...แล้วภูมิคุ้มกันความรักของคุณจะแข็งแรงขึ้นทีละนิด...ทีละนิด :)) และช่อง M-Cot 9 เวลา 19.00-20.00น วันเสาร์

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Club Friday
..................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

จันดารา อนาจาร หรือแค่ ศิลปะ...


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สหมงคลฟิล์ม
หม่อมน้อย ไม่ปรับเนื้อหา จันดารา ยันไม่ได้ทำอะไรผิด
หลังจากที่ น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี ได้รับร้องเรียนจากเครือข่ายเฝ้าระวังสื่อภาคประชาชน เกี่ยวกับกรณีที่ภาพยนตร์เรื่อง จัน ดารา ปฐมบท มีฉากยั่วยุมากเกินไป และกระทรวงวัฒนธรรมเอง กลับไม่มีบทบาทอะไรในเรื่องนี้ ทำให้  ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล หรือหม่อมน้อย ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เปิดแถลงข่าว เพื่อชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว

ทั้งนี้ หม่อมน้อย กล่าวว่า ตนเองและนายสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ได้พูดคุยกันว่า การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องเปิดตำรากฎหมายควบคู่ไปด้วย เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีโรติก ดังนั้น ฉากวาบหวิวจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และทางกองถ่ายเอง ก็ยึดกฎหมายเป็นหลักในการถ่ายทำ โดยพยายามหลีกเลี่ยงการทำผิดกฎหมายทุกประเภท เมื่อส่งให้กองเซ็นเซอร์ตรวจ ก็ถูกจัดเรทออกมาที่ 18+ ซึ่งทางกองก็เข้าใจว่า ผู้สร้างไม่ได้มีเจตนาส่ออนาจาร ไม่ใช่ว่ากระทรวงวัฒนธรรมเกิดเกรงใจหรืออะไร และการจัดเรท 18+ ก็ต้องไม่มีลักษณะดังต่อไปนี้ 
         1. เนื้อหาที่แสดงการมีเพศสัมพันธ์ที่เห็นอวัยวะเพศ
         2. เนื้อหาที่แสดงวิธีการก่ออาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง และอาจชักจูง หรือส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ 
         3. เนื้อหาที่แสดงถึงการเสพสารเสพติดซึ่งอาจชักจูงใจให้ผู้ชมเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ

อีกอย่างคือ กระทรวงวัฒนธรรม น่าจะไม่ได้พิจารณาเพียงข้อกฎหมายอย่างเดียว แต่น่าจะใช้หลักศีลธรรม จริยธรรม มองมาที่เนื้อหาของหนังด้วย อีกอย่างประเด็นที่ต้องการสื่อในหนังคือ ต้องการให้คนรุ่นใหม่ดู อย่าเพิ่งด่วนตัดสินคน แต่อยากให้ดูนาน ๆ ซึ่งจะเห็นในภาคต่อไปคือ ปัจฉิมบท ว่า แท้จริงแล้ว คนดีอาจไม่ดีก็ได้ อีกอย่างคือ สื่อที่ชักจูงเด็กไปในทางไม่ดี ไม่ใช่สื่อภาพยนตร์ แต่เป็นสื่ออินเทอร์เน็ตและโทรทัศน์ ที่ตอนนี้เข้ามามีอิทธิพลสูงมาก และเด็ก ๆ สามารถรับชมผ่านมือถือได้แล้ว คณะรัฐบาลควรมุ่งเน้นตรงนี้มากกว่า

เมื่อถามว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว ต้องปรับเนื้อหาในภาพยนตร์หรือไม่ หม่อมน้อยชี้แจงว่า ไม่ต้องปรับอะไร เพราะไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างเรามีคำอธิบาย ถือเป็นเรื่องดีที่ ส.ว. เปิดประเด็นนี้ เพราะทางตนเองจะได้มีโอกาสอธิบายและทำความเข้าใจให้ทราบทั่วกัน

Thank : k@pook/ข่าวสด
....................................................................................

วิตามินลดน่อง ขายเกลื่อนเน็ต ไม่ผ่าน อย.


เตือน! คุณสาวๆ ระวัง วิตามินลดน่อง ขายเกลื่อนเน็ต ไม่ผ่าน อย.
อย. เตือนผู้บริโภคระวังผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริงทางสื่อต่าง ๆ อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ หลังล่าสุดพบ วิตามินลดน่อง ขายเกลื่อนเน็ต

  พบว่าขณะนี้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าเป็นวิตามินลดน่อง ทางเว็บไซต์ต่างๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งใช้ข้อความหลากหลายในการโฆษณา อาทิ “วิตามินลดขา ลดน่อง สะโพก ไฮเกรดพรีเมี่ยม สำหรับคนที่ต้องการลดตั้งแต่หน้าท้อง สะโพก บั้นท้าย ต้นขา น่อง สลายไขมันส่วนเกิน ให้ท่อนขาเรียวงามเหมือนนางแบบ ผ่าน GMP” “ปรับปรุงสูตรใหม่ แรงกว่าเดิม Slim Pure Vitamin Japan ผ่าน GMP ผลิตที่ประเทศญี่ปุ่น” “วิตามินลดขา ลดน่อง ลดสะโพก ลดเฉพาะช่วงล่าง ขาวส้มเท่านั้น เห็นผลจริง...” “วิตามินลดน่อง ของแท้จากอเมริกา” “อาหารเสริมเพื่อเรียวขาที่สวยพร้อมดีท็อกซ์ทำความสะอาดลำไส้ พร้อมบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี......... สกัดจากพืชพันธุ์ธรรมชาติประเภทถั่วชนิดหนึ่ง......ลดกระชับสัดส่วน น่อง สะโพก ไม่มีผลข้างเคียง ปลอดภัย 100%” และมีการใช้ภาพที่แสดงผลการรับประทานผลิตภัณฑ์ เพื่อดึงดูดใจผู้บริโภค ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเม็ดแคปซูลหลากสี แบ่งขายในราคาเม็ดละประมาณ 25 บาท
      
       “อย.ขอเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อซื้อหามารับประทานเด็ดขาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย.ทำให้ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีส่วนผสมใดในผลิตภัณฑ์ อาจมีการปนเปื้อน หรืออาจลักลอบใส่ตัวยาที่เป็นอันตราย และที่สำคัญการโฆษณาในลักษณะดังกล่าวเป็นการอวดอ้างสรรพคุณ เป็นเท็จ เกินจริง หากผู้บริโภคหลงเชื่อ นอกจากจะสิ้นเปลืองเงินทองโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้ อย.จะดำเนินการกวาดล้าง และดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป” เลขาธิการ อย.กล่าว

Thank : manager.com
...........................................................................................

“กล้วยน้ำว้า” ของดีใกล้ตัว...

  ผลไม้ที่หากินกันง่ายๆ ในบ้านเรา อย่างหนึ่งก็คือ “กล้วย” โดยเฉพาะ “กล้วยน้ำว้า” ที่ก็นับได้ว่าเป็นอาหารชนิดแรกในชีวิตของคนเรา รองลงมาน้ำนม และกล้วยน้ำว้านี้ นอกจากจะกินผลสุกเป็นอาหารแล้ว ก็ยังสามารถนำไปทำขนมต่างๆ หรือจะใช้ลำต้นและใบมาใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ด้วย
       
       กล้วยน้ำว้า เป็นพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วไปในเขตร้อน คนไทยในสมัยก่อน (และในสมัยนี้เป็นบางส่วน) ปลูกไว้เป็นไม้ประจำบ้านและใช้ประโยชน์ได้สารพัด ปกติแล้วเราก็จะกินกล้วยน้ำว้าสุกกัน ซึ่งก็จะช่วยในเรื่องการขับถ่าย มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อรา แก้ท้องผูก บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง และรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร
       
       ส่วนผลดิบของกล้วยน้ำว้าก็มีสรรพคุณมากเช่นกัน คือ ช่วยป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร รักษาท้องเสียเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย โดยการหั่นผลดิบทั้งเปลือกเป็นแว่นแล้วตากให้แห้ง บดเป็นผง ปั้นเป็นเม็ดหรือใช้ชงน้ำร้อนดื่ม ใช้ครั้งละประมาณเท่ากับกล้วยครึ่งถึงหนึ่งผล หรือนำผงมาใช้โรยรักษาแผลเน่าเปื่อย แผลติดเชื้อ แผลเรื้อรัง
       
       นอกจากนี้ ส่วนอื่นๆ ของกล้วยน้ำว้าก็ยังมีคุณประโยชน์มากมาย อาทิ หัวปลี ใช้แก้โรคลำไส้ โลหิตจาง ลดน้ำตาลในเลือด แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงน้ำนม บำรุงโลหิต ยางกล้วย ช่วยสมานแผล ห้ามเลือด ใบกล้วย ใช้ต้มอาบแก้เม็ดผดผื่นคัน ใช้ใบไปปิ้งนำมาปิดแผลไฟไหม้ ราก ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ผื่นคัน
       
       เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว คงต้องกลับไปหากล้วยน้ำว้ามาปลูกที่บ้านสักสองสามต้นแล้วกระมัง
.................................................................................

อาหารช่วงเปลี่ยนฤดูหนาว...

        ไข้เปลี่ยนฤดู คือ อาการที่ร่างกายปรับตัวตามธรรมชาติไม่ทัน อากาศหนาวและความร้อนเป็นธรรมชาติของลม ฝน อากาศ แสงแดด บางเวลาร้อนมากที่สุด บางเวลาหนาวมากที่สุด แต่บางโอกาสอบอุ่นพอดี สภาวะที่ผันเปลี่ยนไปโดยที่ร่างกายเราปรับตัวไม่ทัน ความผิดปกติทางร่างกายย่อมบังเกิดขึ้น ในช่วงระยะเวลาที่อากาศเริ่มหนาวร่างกายต้องการความอบอุ่นเข้าช่วยเหลือ ดังนั้นจึงควรพักผ่อนอยู่ในที่มิดชิด มีผ้าปกปิดที่หนาๆ คลุมเพื่อให้เกิดความอบอุ่นเมื่อร่างกายเกิดความสมดุลจะรู้สึกสบาย

        จากฤดูร้อนเปลี่ยนเป็นฤดูฝน และที่ร่างกายทนได้ยากที่สุด คือ จากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูหนาวเป็นธรรมชาติที่รุนแรง หากไออุ่นภายในร่างกายไม่สมดุลกับอากาศ ร่างกายจะต้านทานอากาศหนาวไม่ได้ และขั้นรุนแรงที่สุดถึงกับเสียชีวิตได้ อากาศที่หนาวจะรุนแรงกว่าอากาศอื่นๆ ทั้งหมด หากไม่มีเครื่องกันหนาวปกปิดร่างกาย หรือสิ่งอื่นเพื่อไล่ความหนาวออกไป อาการป่วยไข้จะแทรกซ้อนตามมา จนถึงกับเสียชีวิตได้

        แพทย์แผนไทยตระหนักในความผิดปกติของธรรมชาติ จึงขอเตือนให้ทุกคนเฝ้าระวังอาการป่วยไข้ ในฤดูหนาว ซึ่งก่อให้ร่างกายผิดปกติต่างๆ กันไป เช่น ผิวหนังภายนอกแห้งแตกระแหง ผิวหนังชั้นนอกหลุดร่วงไป รู้สึกคันตามผิวหนังทั่วร่างกาย ภายในปากมักจะแตกร้าว ถ้ารุนแรง เลือดจะไหลออกจากปาก คัดจมูก เจ็บคอ แน่นหน้าอก หรืออาจจะเป็นบิด เพราะเสมหะให้โทษ รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวแต่มักไม่มีไข้ขึ้นสูง อาการต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาคืออาการของไข้เปลี่ยนฤดูที่มาคู่กันกับลมหนาว


        การเฝ้าระวังในช่วงฤดูหนาว คือ ต้องพยายามหาเครื่องป้องกันอากาศหนาว เช่น ผ้าห่ม เสื้อผ้าที่หนาๆ และอบอุ่น หรืออาจจะก่อไฟผิง แต่การผิงไฟป้องกันความหนาวหากทำมากเกินไป ก็คงไม่ดี เพราะร่างกายที่ถูกอากาศหนาวหากไปผิงไฟให้ร้อนมากร่างกายก็ปรับตัวไม่ทันอีก เหมือนเวลาที่เราออกกำลังกาย กำลังร้อนจัด เหงื่อโทรมกายแล้ว รีบอาบน้ำทันที ร่างกายจะเกิดอาการผิดปกติจนถึงกับป่วยไข้ได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาๆ อบอุ่นได้พอสบายๆ และพยายามอยู่ในที่มิดชิดควรหลีกเลี่ยงที่ลมผ่านมากๆ หรือที่กลางแจ้ง


        แพทย์แผนไทยขอแนะนำอาหารเกี่ยวกับฤดูหนาว อาหารที่กินควรเป็นอาหารที่มีรสสุขุม คือ รสไม่จัด ควรงดเว้นรสเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด หรือมันจัด โดยเฉพาะอาหารที่มีรสมันเกือบทุกชนิด สมควรงดเว้นชั่วคราวจนกว่าฤดูหนาวจะผ่านพ้นไป ควรกินอาหารที่มีรสร้อน เช่น พริกไทย พริกไทยผงหรือพริกไทยสดแก่ๆ ถ้ากินเป็นอาหารมื้อละ ๑-๒ พวง กินพร้อมกับอาหารเช้า-เย็นจะดีมากๆ หรือจะใช้พริกไทยป่นจะเป็นพริกไทยดำหรือพริกไทยขาวก็ได้ ใช้ผสมลงไปในอาหาร ที่จะกินในแต่ละมื้อ จะทำให้ร่ายกายอบอุ่นได้ดีที่สุด

        ถ้าเป็นพริกไทยป่นสมควรใช้ประมาณครึ่งช้อนชาต่อหนึ่งมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานความหนาวได้อย่างดียิ่ง รสอื่นๆ เช่น รสเปรี้ยว ใช้ประจำในฤดูหนาวก็เหมาะสมมาก แต่ไม่ควรใช้รสที่เปรี้ยวจัด ควรใช้ผักที่มีรสเปรี้ยวพอเหมาะ เช่น ผัก กระเจี๊ยบแดง ยอดส้มมะขาม ยอดหรือส้มมะม่วง จะใช้แกงเลียงหรือแกงส้มก็ได้ รสที่เปรี้ยวพอเหมาะจะช่วยทำให้เลือดซ่านกระจายและบรรเทาเสมหะในลำคอ ในทรวงอกหรือทางทวารได้ดีมาก ขอย้ำว่าอาหารที่ดีที่สุดในฤดูหนาว คือ พริกไทย ผักกระเจี๊ยบ ยอดมะขาม เป็นต้น


        อาหารที่สมควรงดเว้น คือ รสมันทุกชนิด เพราะรสมันแม้จะป้องกันความหนาวได้บ้างก็จริง แต่ไปขัดกับสมุฏฐานโรคเสมหะ เท่ากับไปเพิ่มเสมหะให้กำเริบมากขึ้น อีกประการหนึ่งบางท่านอาจจะใช้แอลกอฮอล์ดื่มป้องกันหนาว ข้อนี้ควรระวังเป็นพิเศษ ถ้าหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นได้จะดีมากๆ เพราะแอลกอฮอล์จะทำลายเลือดในขณะดื่ม ในฤดูหนาวจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่พ้นจากฤดูหนาวท่านจะพบกับความผิดหวังของชีวิต กลายเป็นนักเสพติดที่ถอนตัวไม่ได้ ขอย้ำว่าแอลกอฮอล์ คือ มหันตภัยร้ายที่เข้าใจผิด คิดว่าป้องกันตัวแต่กลับทำลายตัวเองอย่างสิ้นเชิง จึงสมควรพิจารณาดูให้รอบคอบว่าไข้เปลี่ยนฤดูมักจะมาคู่กับลมหนาว ควรระวังให้ดี ในคำว่า ไข้เปลี่ยนฤดูเสมอ

Thank : doctor.or.th
..................................................................................

ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว...

คุณรู้หรือไม่ในน้ำมันมะพร้าวช่วยขจัดคราบพลัคที่สกปรกและเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปาก ช่วยให้ปากสะอาดมากขึ้น

วิธีใช้ อมบ้วนปากครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 1 ครั้ง
กรดไขมันสายปานกลางในน้ำมันมะพร้าวจะไปเพิ่มปริมาณของแบคทีเรียดีในลำไส้ มีผลช่วยเรื่องการขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย
วิธีใช้ กินในปริมาณที่เหมาะสม ปริมาณบริโภคเมื่อรวมกับน้ำมันและไขมันในอาหารชนิดอื่นๆแล้ว ไม่เกินวันละ 3-4 ช้อนโต๊ะ (ตามคำแนะนำเพื่อสุขภาพที่ดีว่า ร่างกายควรได้รับน้ำมันและไขมันจากอาหารต่างๆไม่เกินวันละ 60 กรัม) ตัวอย่างเช่น หากใน 1 วัน ได้รับน้ำมันและไขมันจากอาหารชนิดต่างๆ 2 ช้อนโต๊ะ จะสามารถบริโภคน้ำมันมะพร้าวได้อีก 2 ช้อนโต๊ะ ก็จะสามารถเป็นประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพของเรามากเลย...


หลายปีที่ผ่านมานี้ น้ำมันมะพร้าวถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้ามาจุดประกายความหวังของสาวๆ ทั้งหลายชื่นชอบเพราะเชื่อกันว่าช่วยเรื่องการย่อยอาหารที่ดีกว่าอาหารเสริมชนิดอื่นๆ และกระตุ้นการเผาผลาญ จึงช่วยลดความอ้วนได้ แต่ด้วยการเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ในบรรดาน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูงที่ทำให้เป็นโรคอ้วน สาวน้อยสาวใหญ่จึงนำมาใช้ประโยชน์อีกมากมาย

มีคนกล่าวไว้ว่า “ตัวน้ำมันมะพร้าวเองนั้นเป็นไขมันมีกรดไขมันสายปานกลางจึงสามารถที่จะย่อยได้ง่าย โดยสามารถถูกย่อยที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ และ ดูดซึมที่ลำไส้เล็ก นอกจากนี้ยังมีข้อดีที่เผาผลาญเป็นพลังงานได้เร็ว จึงเกิดการสะสมของกรดไขมันได้น้อยกว่ากรดไขมันที่มีโมเลกุลสายยาว “นั่นหมายความว่า ต้องกินในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป โดยเมื่อรวมกับน้ำมันและไขมันในอาหารชนิดอื่นๆ ต้องไม่เกิน วันละ 3-4 ช้อนโต๊ะ เท่านั้น ส่วนการที่น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันสายปานกลาง สามารถช่วยในการเผาผลาญพลังงานสามารถช่วยระบบขับถ่ายเราได้อีกด้วย

ที่มา: variety.thaiza.com
......................................................................................

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ความหยาบกร้าน น้ำตาล ช่วยได้...

ลดความหยาบกร้านด้วยน้ำตาล

          ใครที่รู้สึกว่าผิวเริ่มหยาบกร้าน ทาครีมเท่าไหร่ก็ไม่หาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีลดความหยาบกร้านด้วยน้ำตาลมาฝาก...

           วิธีแรก เริ่มด้วยการผ่ามะนาวเป็น 2 ซีก แล้วนำมาขัดที่รอยหยาบกร้านเบา ๆ หรือจะเปลี่ยนจากมะนาวเป็นมะขามเปียกก็ได้ แค่นี้รอยหยาบกร้านก็จะค่อย ๆ หายไป ควรทำสัปดาห์ละครั้ง หรือทุกครั้งที่มีเวลา และทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลดี


           วิธีที่สอง คือ นำน้ำตาลทรายมาผสมกับเบบี้ออยล์ ทาที่ผิวหยาบกร้าน ทิ้งเอาไว้ 15 นาที หลังจากนั้นก็ใช้ใยบวบถูเป็นวงกลมเบา ๆ น้ำตาลจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกส่วนน้ำมันจะให้ความชุ่มชื่นกับผิว เสร็จแล้วอย่าลืมทาครีมบำรุงผิว โดยเลือกที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง ทาเป็นประจำ

          ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้

Thank : เดลินิวส์
.....................................................................................

“เฉาก๊วย” ดำ อย่างมีคุณค่า...

       ของหวานสีดำๆ เด้งดึงที่เคี้ยวหนึบหนับ และมีรสหวานจากน้ำเชื่อม รวมถึงความเย็นฉ่ำจากน้ำแข็งที่ใส่ผสมลงไป ทำให้ “เฉาก๊วย” นั้น กลายเป็นหนึ่งในของหวานยอดฮิตในช่วงหน้าร้อนมากๆ แบบนี้ แต่นอกจากความหวานเย็นที่กินแล้วสดชื่นขึ้นมาในทันใด เฉาก๊วยก็ยังมีสรรพคุณอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วย
       
       เฉาก๊วยแท้ๆ จะทำมาจากต้นเฉาก๊วย ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับมินต์ (พืชจำพวกสะระแหน่) พบได้มากในประเทศจีน จึงทำให้ขนมเฉาก๊วยมีที่มาจากเมืองจีน และมีชื่อเรียกเป็นภาษาจีน (แต้จิ๋ว) แต่ก็ยังมีการเรียกที่แตกต่างกันออกไปตามภาษาถิ่นอีกด้วย อาทิ ในภาษาจีนกลางจะเรียกว่า เหลียงเฝิ่น หรือ เซียนเฉ่า ที่แปลว่า หญ้าเทวดา ขณะที่ชาวมาเลย์ จะเรียกว่า จินเจา เป็นต้น ส่วนภาษาไทยเราก็เรียกว่า เฉาก๊วย ตามอย่างภาษาจีนแต้จิ๋ว
       
       ความหนึบหนับของเฉาก๊วยนั้น มาจากกรรมวิธีการผลิตที่เริ่มจากนำต้นเฉาก๊วยแห้งมาต้มกับน้ำ จนยางไม้ และแพคตินละลายออกมาได้น้ำสีน้ำตาลดำ (ปัจจุบันบางร้านอาจมีการใส่สีลงไปผสมเพิ่มเติมเพื่อความสวยงาม) จากนั้นกรองเอาแต่น้ำแล้วนำไปผสมกับแป้ง ซึ่งตามตำรับโบราณนิยมใช้แป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสำปะหลัง ตามสัดส่วน หรือตามสูตรของแต่ละคน ซึ่งจะทำให้ได้ความเหนียวหนึบนุ่มนิ่มที่แตกต่างกัน นิยมกินคู่กับน้ำตาลทรายแดง น้ำเชื่อม หรือจะใส่ส่วนผสมอื่นๆ ลงไปตามแต่ความชอบ
       
       สรรพคุณของเฉาก๊วยที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว ก็คือ ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ นอกจากนี้แล้ว ยังช่วยขับเสมหะ แก้คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ช่วยลดไข้ แก้ตัวร้อน ร้อนใน ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ลดอาการตับอักเสบ ลดอาการไขข้ออักเสบ และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หรือหากว่านำเฉาก๊วยมาต้มให้เดือดแล้วนำน้ำเฉาก๊วยมาดื่มเป็นประจำจะช่วยลดอาการโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน แต่ข้อควรระวังก็คือ น้ำตาลที่ใส่ผสมลงไปเพื่อให้มีรสชาติเพิ่มขึ้นนั้นต้องไม่มากเกินไปด้วย เพราะแทนที่จะได้ประโยชน์ อาจจะได้ผลเสียจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปได้
.....................................................................................

หมี่เวียดนามต้มยำแห้ง...

หมี่เวียดนามต้มยำแห้ง

ส่วนผสม
          หมี่ซั่ว 1 ห่อ คะน้า
          ปลาหมึก กุ้ง ตามชอบ
          ใบมะกรูด ข่า ตะไคร้ พริกขี้หนู 
          มะนาว น้ำพริกเผา กระเทียมเจียว

วิธีทำ
          ต้มน้ำลวกหมี่ให้สุก ลวกปลาหมึกและกุ้ง ลวกผัก
          จัดใส่ถ้วย ใส่ใบมะกรูด ข่า ตะไคร้ซอยละเอียด ปรุงรสโดยนำพริกเผาและมะนาว น้ำปลา น้ำตาล คลุกเคล้าหมี่ให้เข้ากัน เรียงหมึก กุ้งลงไปโรยกระเทียมเจียว และพริกขี้หนูซอย เสริฟได้
...................................................................................