tororichclub

tororichclub

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

อย.เตือนพบยาเสียสาว ‘จีเอชบี’

อย.เตือนพบยาเสียสาวตัวใหม่ ‘จีเอชบี’ ผสมเหล้าเกินขนาดถึงตายได้
          วันที่ 31 ม.ค. นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยถึงข่าวการจับยาเสียสาว จีเอชบี ที่กำลังแพร่ระบาดในสถานบันเทิงจังหวัดเชียงใหม่ ว่า จีเอชบี (GHB หรือ Gamma-hydroxybutyrate) ในยุโรปรู้จักกันในชื่อ Gamma-OH ในอเมริกาเรียกว่า GHB ไม่มีการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทั้งนี้ ในอดีตในต่างประเทศมีการใช้ จัดอยู่ในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ทางการแพทย์ใช้เป็นยาสลบ ยานอนหลับ ยารักษาภาวะง่วงหลับ ใช้สำหรับช่วยในการคลอด ตลอดจนใช้รักษาผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง นอกจากนี้ยังพบว่าได้มีการนำไปใช้เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโต (growth hormone) และกระตุ้นกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนของร่างกาย ภายหลังการใช้ยานี้แล้วทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกสบาย เกิดภาวะคล้ายผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ จึงทำให้มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด


           นพ.บุญชัย กล่าวว่า จากข้อมูลการใช้ยาในทางที่ผิดในต่างประเทศ พบว่ามีการนำจีเอชบีมาใช้ทดแทน ยาอี หรือ เอ็กซ์ตาซี่ เนื่องจากมีฤทธิ์ที่คล้ายคลึงกัน อาการอันไม่พึงประสงค์ ได้แก่ อาการ ง่วงนอน มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน เคลื่อนไหวลำบาก แต่ในขนาดยาที่สูงมากอาจทำให้เกิดการกดการทำงานของหัวใจ กดการหายใจ ชักและหมดสติ การใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น ใช้ในขนาดที่สูงมาก หรือใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์และยากดประสาทชนิดอื่น ๆ จะทำให้เกิดการชัก หมดสติ ถึงเสียชีวิตได้ จากการนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยการนำไปมอมสาวเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ อย.จึงได้ประกาศกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 1 ห้ามใช้ทุกกรณี รวมทั้งในทางการแพทย์ ผู้ผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี - 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท - 400,000 บาท ผู้เสพ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี - 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท - 100,000 บาท ขณะนี้ อย.เวียนแจ้งขอความร่วมมือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและกรมศุลกากรในการเฝ้าระวังแล้ว

          “เนื่องจากจีเอชบี ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่สามารถสังเกตหรือดมได้ ดังนั้นจึงขอเตือนให้ระมัดระวัง โดยเฉพาะหญิงสาวที่ไปเที่ยวตามสถานบันเทิงต่างๆ โดยยึดหลัก 7 ไม่ คือ


          1.ไม่ไปร่วมงานคนเดียว ควรมีเพื่อนที่ไว้ใจได้ไปด้วย

          2.ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หากต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ให้ดื่มพอประมาณ เพื่อให้มีสติอยู่ตลอดเวลา

          3.ไม่รับเครื่องดื่มจากคนที่เราไม่รู้จักดีหรือไม่สามารถเชื่อใจได้

          4.ไม่ดื่มอย่างรวดเร็ว เพราะหากเครื่องดื่มถูกใส่ยาลงไปจะได้มีเวลาที่จะระวังตัวได้ทัน

          5.ไม่ดื่มเครื่องดื่มแก้วเดียวกับผู้อื่น

          6.ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่อยู่ในภาชนะที่มีปากกว้าง เช่น อ่างใส่พันช์ เพราะง่ายต่อการถูกใส่ยาหรืออาจถูกใส่ยาไปแล้ว และ

          7.ไม่ควรละสายตาจากเครื่องดื่มของตน หากต้องเข้าห้องน้ำหรือออกไปเต้นรำ กลับมาแล้วควรเปลี่ยนแก้วใหม่ทันที ควรสังเกตภาชนะบรรจุว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยเจาะหรือรอยปิดด้วยเทปหรือผ่านการเปิดฝามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือน้ำอัดลม และเมื่อดื่มเครื่องดื่มแล้วพบว่ารสหรือกลิ่นของเครื่องดื่มเปลี่ยนไป ควรหลีกเลี่ยงการดื่มต่อ และเมื่อดื่มแล้วมีอาการแปลกๆ หรือรู้สึกเมาหลังจากดื่มไปได้เพียงเล็กน้อย ให้รีบขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ไว้ใจ ปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า เพราะอาจจะเป็นคนที่ลอบวางยาได้”นพ.บุญชัย กล่าว

Thank : มติชนออนไลน์
...........................................................................................

ม็อกเทลต้านหวัด สูตรหลวงปู่ทวด

          แน่นอนว่าอากาศหนาวๆ ร้อนๆอย่างนี้ โรคระบบทางเดินหายใจย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะหวัด โรคสามัญช่างน่ารำคาญเสียจริง ถ้าไม่อยากเป็นหวัด การหมั่นเอาใจใส่ดูแลตัวเอง อย่างการออกกำลังกายเพื่อให้ภูมิต้านทานแข็งแรง อาจไม่เพียงพอ การทานอาหารที่มีสารป้องกันเชื้อไวรัส จึงเป็นสิ่งจำเป็น

          วันนี้เรามีสูตร ม็อกเทลต้านหวัด สูตรหลวงปู่ทวด ที่มีผู้ยืนยันว่า สามารถป้องกันหวัดได้จริง มาแนะนำให้พวกเราลองนำไปปรุงทานกัน ประกอบกับการออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรง

ส่วนผสมสมุนไพรต้านหวัด สูตรหลวงปู่ทวด

           ส่วนผสมทั้งหลายต่อไปนี้ เป็นสมุนไพรไทยที่คนไทยรู้จักกันดี และได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า มีประโยชน์ในการรักษาหวัดจริง
1.หญ้าใต้ใบ
2.ฟ้าทะลายโจร
3.ตะไคร้
4.ขมิ้นอ้อย หรือขมิ้นชัน
5.มะขามป้อม
6.ใบมะรุม
7.ไพล
8.มะตูม
9.อิฐแดงชิ้นเล็ก ๆ

           วิธีการ นำส่วนผสมอย่างละ 1 กำมือ ต้มกับน้ำประมาณ 1 ลิตร ดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง ต้มกินจนยาหมด แล้วเติมน้ำต้มดื่มได้อีก 2 ครั้ง กินให้ครบ 3 หม้อ

           สมุนไพรแต่ละชนิด หาไม่ยากเลย ในยามปกติก็ใช้รักษาโรคอื่น ๆ ทั่วไปอยู่แล้ว เช่น ฟ้าทะลายโจร ก็สามารถนำมาต้มดื่มน้ำรักษาโรคหวัดได้ หรือมะขามป้อมที่มีสรรพคุณช่วยเบรรเทาอาการเจ็บคอ ไอเนื่องจากหวัดได้ หรือตะไตร้ที่มักใส่อยู่ในต้มยำ ทำให้มีรสชาติร้อนแรง ไล่หวัดได้ดี ของดี ๆ ของไทยหาง่าย และราคาถูกแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอกินยาฝรั่งแล้วล่ะ

ขอบคุณเนื้อหาข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ ตำรับ ผักสมุนไพร ต้านภัยไข้หวัด
มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

Thank : sanook
.................................................................................................

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข

บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน 
          ในแต่ละวันให้ นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่าย ๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดี ๆ และให้นึกซ้ำ ๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอ ๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ 

บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี 
          ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า ทุก ๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคตและชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า 
          โลกนี้มีสิ่งที่ดี ๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต 

บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด 
          คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมันไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำ ๆ อีก 

บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ 
          ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อย ๆ หรือได้ยินบ่อย ๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อย ๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัวหรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้ 

บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ 

โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ 
          1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตได้เรื่อย ๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน 

          2. ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกัน คือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน 

          3. สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา 

          4. ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดี 

Thank : นิตยสารเกษตรศาสตร์
...........................................................................................................

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

20 คำถามก่อนบริจาคเลือด

           แม้ว่าการบริจาคเลือดจะทำให้ผู้บริจาครู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้ทำกุศล เพราะได้แบ่งปันและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ก็ใช่ว่าทุกๆ คนสามารถไปบริจาคเลือดได้ เพราะว่าการบริจาคเลือดนั้นคุณต้องเสียเลือดในร่างกายจำนวนไม่น้อย ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพของคุณเองหลังบริจาคได้เหมือนกัน หรือในทางตรงกันข้ามหากว่าเลือดของคุณไม่สมบูรณ์และอาจมีเชื้อโรคก็อาจทำให้ ผู้ที่ได้รับเลือดของคุณติดเชื้อที่อยู่ในเลือดของคุณตามไปด้วย

           แต่เมื่อมีความตั้งใจจะบริจาคแล้ว มีคำถาม 20 ข้อ ที่คุณต้องตอบตัวเองก่อนว่าสภาพร่างกายของคุณพร้อมแล้ว หรือเลือดของคุณพร้อมที่จะมอบเพื่อต่อชีวิตผู้อื่นได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ดังนี้

1. สุขภาพสมบูรณ์พร้อมที่จะบริจาคเลือด อายุระหว่าง 17-60 ปี

2. นอนหลับเพียงพอไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง

3. มีอาการท้องเสีย ท้องร่วงภายใน 7 วันก่อนบริจาคเลือดหรือไม่ เพราะผู้บริจาคจะอ่อนแอรับประทานไป ส่วนผู้รับเลือดอาจได้รับเชื้อที่มากับเลือดได้ด้วย

4. ใน 3 เดือนที่ผ่านมา มีอาการน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากโรคเบาหวาน ธัยรอยด์เป็นพิษ เครียด วิตกกังวล ก็ไม่ควรบริจาคเลือด

5. ภายใน 3 วันก่อนบริจาคเลือด คุณรับประทานยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดข้อหรือไม่ เพราะอาจทำให้มีเกล็ดเลือดผิดปกติได้ เลือดแข็งตัวช้า บวมช้ำง่าย เลือดที่บริจาคไปก็จะไม่มีคุณภาพ

6. รับประทานยากแก้อักเสบภายใน 14 วัน หรือยาอื่นๆ หรือไม่ ซึ่งต้องระบุ ให้ทราบ เพราะผู้บริจาคเลือดที่ได้รับยาแก้อักเสบแสดงว่ามีการติดเชื้ออยู่ ซึ่งอาจแพร่เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดของผู้รับเลือดและอาจทำให้แพ้ยาได้

7. คุณเป็นโรคหอบหืด ลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง ไอเรื้อรัง วัณโรค โรคภูมิแพ้ หรือไม่เพราะการบริจาคเลือดทำให้ต้องสูญเสียเลือดอย่างรวดเร็ว อาจจะกระตุ้นให้มีการกำเริบได้ จึงไม่ควรบริจาคเลือด โรคผิวหนังบางชนิด โรคติดต่ออย่างวัณโรค ไอเรื้อรังก็ไม่ควรบริจาคเลือด

8. เคยเป็นหรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคตับอักเสบ ผู้ที่เคยเป็นโรคตับอักเสบแล้วไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นชนิดใด หรือไม่แน่ใจว่าหายขาดไม่มีเชื้อแล้วหรือไม่ ก็ควรเลื่อนการบริจาคเลือดออกไปจนกว่าจะทราบว่าเลือดของคุณปลอดเชื้อแล้ว

9. เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ไต ธัยรอยด์ มะเร็ง โรคโลหิตออกง่ายหยุดยาก เป็นต้น เพราะโรคเหล่านี้ล้วนมีผลต่อสุขภาพ ซึ่งต้องใช้ยารักษาควบคุมรักษาอย่างต่อเนื่อง และถ้าไม่ดูแลตนเองให้ดี อาจมีผลข้างเคียงของยาหรือมีโรคแทรกซ้อนที่ทำให้มีปัญหาสุขภาพได้ ควรพิจารณาดังนี้

- โรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานอนุโลมให้บริจาคเลือดได้ ถ้าใช้ยาควบคุมได้ดีอย่างอย่างต่อเนื่องและต้องเป็นเพียงโรคใดโรคหนึ่งเท่า นั้น 
- โรคหัวใจทุกชนิดต้องงดบริจาคเลือด 
- โรคไตชนิดเรื้อรังต้องงดบริจาคเลือด ถ้าเป็นชนิดอักเสบเฉียบพลัน และรักษาหายขาดภายใน 1 ปี สามารถบริจาคเลือดได้ 
- โรคธัยรอยด์ชนิดไม่เป็นพิษต้องรักษาหายแล้ว ถ้าเป็นชนิดเป็นพิษแม้รักษาหาย และหยุดยาแล้วก็ไม่ควรบริจาคเลือด 
- โรคมะเร็งทุกชนิดไม่ควรบริจาคเลือด รักษาหายแล้วก็ตาม เพราะไม่สามารถทราบสาเหตุและตำแหน่งการกระจานหรือแฝงตัวของโรค 
- โรคโลหิตออกง่าย-หยุดยาก เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ควรงดบริจาคเลือด เพราะมีโอกาสเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากและเลือดหยุดยาก 
- โรคเรื้อรังอื่นๆ ควรงดบริจาคเลือด

10. ถอนฟันภายใน 3 วันที่ผ่านมา เหงือกอาจจะอักเสบและมีบาดแผลในช่องปาก เป็นทางนำเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดได้

11. คุณหรือคู่ของคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับผู้อื่น ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์สูง โรคบางชนิดมีระยะฟักตัวนาน อาจตรวจไม่พบเชื้อ เช่น HIV

12. ได้รับการผ่าตัดใหญ่ภายใน 6 เดือนหรือผ่าตัดเล็กภายใน 1 เดือน เนื่องจากการผ่าตัดใหญ่ทำให้มีการเสียเลือดมาก ร่างกายต้องใช้เวลาและสารอาหารในการซ่อมแซม ควรงดบริจาคชั่วคราว ส่วนผ่าตัดเล็กที่เสียเลือดไม่มาก ควรรอให้แผลหายก่อนค่อยบริจาคเลือด

13. เจาะหู สัก ลบรอยสัก ฝังเข็ม ในระยะ 1 ปี มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคติดเชื้อที่มีการส่งต่อทางเลือดและน้ำเหลือง ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือดอาจติดไปด้วย

14. เคยมีประวัติยาเสพติดหรือพ้นโทษในระยะ 3 ปี มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคที่มีการส่งต่อทางเลือดและน้ำเหลือง

15. เคยเจ็บป่วยและได้รับเลือดจากผู้อื่นในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่ได้รับเลือดคนอื่นจะมีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาในระบบโลหิต ถึงแม้จะมีการตรวจหากลุ่มเลือดหลักที่เข้ากันได้ แต่กลุ่มย่อยที่ไม่สามารถหาได้ตรงกันหมด ก็ยังคงเป็นปัญหาของผู้ได้รับเลือด

16. เคยฉีดวัคซีนในระยะ 14 วัน หรือฉีดเซรุ่มในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา การฉีดวัคซีนเป็นการกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันโรคในช่วง 14 วัน จึงควรให้ร่างกายได้ทำงานเต็มที่ การฉีดเซรุ่มต้องติดตามดูโรคนั้นๆ 1 ปี

17. เคยเข้าไปในพื้นที่ที่มีเชื้อมาเลเรียชุกชุมในระยะ 1 ปี หรือป่วยเป็นมาเลเรียในระยะ 3 ปี ถ้าไม่ได้รักษาให้หายขาด เชื้อสามารถแอบแฝงอยู่ในร่างกายโดยไม่ได้แสดงอาการรุนแรง

18. คุณผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างรอบเดือน ไม่ควรให้ร่างกายมีการเสียเลือดซ้ำซ้อน ควรรอให้หมดประจำเดือนก่อน

19. คนที่คลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา จะมีการเสียเลือดมาก ร่างกายต้องการเวลาในการปรับตัวและสร้างเลือดขึ้นมาใหม่ ควรงดบริจาค 6 เดือน

20. อยู่ในระหว่างให้นมบุตรหรือตั้งครรภ์ น้ำนมผลิตขึ้นมาจากเลือด การเสียเลือดในการบริจาคจะทำให้น้ำนมลดน้อยลงหรือหมดไป

           พิจารณาจบ 20 ข้อนี้แล้ว สำหรับคุณที่ผ่านเกณฑ์ว่ามีเลือดมาตรฐานก็ยินดีด้วย แต่สำหรับคุณบางคนที่ยังไม่แน่ใจก็อย่าเสียใจที่ไม่ได้ทำกุศลยิ่งใหญ่นี้เลย เพราะยังมีอีกหลายทางให้คุณได้เผื่อแผ่บุญกุศลครับ

Thank : นิตยสาร Health Today
.......................................................................................................

ไม่ท้อ.. ไม่ทุกข์..

คนเราทุกคน.. 
ในช่วงเวลาที่เกิดความทุกข์.. 
ไม่สบายใจ..สับสน..วุ่นวาย..กับเรื่องราวต่าง ๆ 
กับปัญหาต่าง ๆ ที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิต 
เพียงมีใคร..คนหนึ่ง.. 
ที่ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา 
อดทนอีกสักนิด..แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น.. 
แต่ก็มีใครอีกหลาย ๆ คน 
พอประสบกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต.. 
ในรูปแบบแตกต่างกัน.. 
ก็มักคิดท้อแท้..กลายเป็นท้อถอยไป.. 
เพียงเพราะไม่มีความอดทน.. 
ความทุกข์.. 
มักกลัวคนที่ไม่ยอมแพ้.. 
ความทุกข์.. 
มักชอบฝังตัวอยู่กับคนอ่อนแอ.. 
คนที่ไม่ยอมแพ้ 
จะเรียนรู้ความทุกข์อย่างเข้าใจ 
เพราะคิดว่า.. 
ความทุกข์ คือ..เพื่อนสนิท.. 
ที่มาทดลอง..ฝึกให้จิตใจของเราเข้มแข็ง.. 
แต่สำหรับคนที่ท้อแท้.. 
เขาจะชอบเรียนรู้..ความสุข..ว่าเป็นอย่างไร 
มีลักษณะนิสัยอย่างไร.. 
พร้อมยินดีที่จะคบหากับความสุขตลอดเวลา.. 
หารู้ไม่ว่า.. 
ความสุข..ความสบาย.. 
คือ..ศัตรูของคนที่ท้อแท้.. 
เพราะจะให้ความสุขในเบื้องต้น.. 
แล้วจะให้ความทุกข์ในเบื้องปลาย.. 
เพราะฉะนั้น.. 
เราจงมาเรียนรู้วิธีที่จะอยู่กับความสุข-ความทุกข์ 
ในทุก ๆ เวลาที่เกิดความท้อแท้..กันดีกว่า.. 
เพื่อนสนิท.. 
ของคนที่ไม่ท้อแท้..คือ..ความทุกข์ 
ส่วนเพื่อนจอมปลอม.. 
ของคนที่ท้อแท้..คือ..ความสุข.. 
เพราะอะไร ?? 
เหตุผล..เพราะว่า.. 
เวลาที่เรามีความสุข.. 
เราก็มักจะเพลิดเพลิน..หลงใหล..ไปกับความสุข 
พอเจอความทุกข์..ก็รู้ไม่เท่าทัน.. 
แต่สำหรับคนที่ไม่ท้อแท้.. 
ไม่ว่าจะเจอความทุกข์ในรูปแบบใด 
เขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้..และอยู่กับมันได้อย่างเข้าใจ.. 
รู้สุข – รู้ทุกข์ 
แล้วปล่อยวาง..ไม่ยึดติดในสุข – ทุกข์ 
เรียนรู้และเข้าใจทั้งสุขและทุกข์ 
นั่นแหละ.. 
เราจึงจะเข้าใจถึงความรู้สึกที่ปราศจากสุขและทุกข์ 
คือ..วาง..ว่างเปล่า..นั่นเอง.. 

บทความจาก ธรรมะไทย
...........................................................................................................

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

เจ้าชู้หลายใจ ต้องชดใช้กรรม


          ความเจ้าชู้หลายใจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาอยู่ในสังคมปัจจุบัน หลายกรณีความเจ้าชู้ของคู่ครอง ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยก เกิดปัญหาสังคมต่างๆ ตามมามากมาย กรรมที่แต่ละคนทำจึงไม่เพียงมีผลต่อตนเอง และครอบครัวเท่านั้น แต่ยังมีผลไปถึงสังคมโดยรวมด้วย เหตุนี้เองพระพุทธเจ้าจึงได้พยายามพร่ำสอนให้ทุกคนมีศีล ๕ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ตราบใดที่คนในสังคมยังผิดศีลธรรมอยู่นั้น ปัญหาของสังคมย่อมไม่มีวันที่จะหมดไปได้

          เรื่องราวต่อไปนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เกิดจากความเจ้าชู้หลายใจ จนทำให้เป็นผลร้ายต่อชีวิตและสังคมตามมา เรื่องมีอยู่ว่า
          มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งชื่อว่าสมโภชน์ ชีวิตของเขานับว่าเป็นชีวิตที่ดีพอสมควร สมโภชน์จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หลังจากนั้นเขาได้สมัครเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือนมาก ชีวิตของสมโภชน์จึงเป็นอยู่อย่างสบายท่ามกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง

          ต่อมาสมโภชน์เกิดตกหลุมรักหญิงคนหนึ่ง ทั้งสองดูใจกันอยู่สักพัก จึงได้ตัดสินใจแต่งงานร่วมกันสร้างครอบครัวต่อไป ระยะแรกๆ ทั้งคู่ก็รักใคร่กันดี อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดมา ไม่มีวี่แววเลยว่าคนใดคนหนึ่งจะเจ้าชู้แอบไปมีใจให้กับคนอื่น

          หนึ่งปีผ่านไป สมโภชน์และภรรยามีลูกด้วยกันหนึ่งคนเป็นผู้ชาย หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ทั้งสองรักลูกชายคนนี้มาก วางแผนกันไว้ว่า จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกคนนี้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ และจะทำทุกอย่างที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต

          แต่ชีวิตของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความคิดความฝัน มันขึ้นอยู่กับความจริง หรือการกระทำของแต่ละคนต่างหาก ความฝันของสมโภชน์ที่วาดไว้อย่างสวยงามนั้น กำลังจะพังทลายลงเพราะการกระทำของตนเอง

          วันหนึ่งสมโภชน์ได้เจอกับหญิงสาวแสนสวยคนหนึ่ง ตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่ต่อมาเขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนี้จากการทำงานร่วมกัน วันเวลาผ่านไป ทำให้สมโภชน์เริ่มค่อยๆ มีใจออกห่างจากภรรยาของตน หันไปมีใจให้กับผู้หญิงคนใหม่

          ถึงแม้ว่าในช่วงแรกๆ เขาจะไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงคนนี้ เขายังรักภรรยาและลูกชายของเขามาก จะทำอะไรก็นึกถึงภรรยาและลูกชายอยู่ตลอดเวลา แต่อำนาจของกิเลสที่มีอยู่ในใจนั้น มันทำให้ความรักที่มีต่อภรรยาค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ มันบังตาไม่ให้เขามองเห็นผลกรรมชั่วที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

          นานวันเข้าสมโภชน์ก็ไม่นึกถึงภรรยาและลูกอีกเลย กลับรู้สึกว่า ผู้หญิงคนใหม่นี้เป็นคนดีมีน้ำใจ หน้าตาสวย อยู่ใกล้แล้วรู้สึกอบอุ่นมากกว่า เขาจึงแอบหาเวลามาพบกับผู้หญิงคนนี้อยู่เป็นประจำ จนทำให้ภรรยาเกิดความสงสัย ครอบครัวนี้จึงมีรอยร้าวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

          ภรรยาของสมโภชน์คอยติดตามดูพฤติกรรมของสามี ว่าไปมีใจให้กับคนอื่นหรือไม่ กระทั่งได้ทราบความจริงว่า สามีแอบไปมีผู้หญิงคนอื่น ทำให้เธอทั้งโกรธทั้งแค้นสมโภชน์มาก ทั้งสองคนจึงเริ่มมีปากเสียงกันหนักขึ้นทุกวัน ต่อหน้าลูกชายที่ทำตาปริบๆ นั่งมองดูพ่อแม่ทะเลาะกัน ด้วยความหวาดกลัว

          ในที่สุดทั้งคู่ก็ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน เพราะภรรยาทนรับพฤติกรรมของสามีไม่ไหว ทั้งสองได้แบ่งสมบัติกันคนละครึ่ง ส่วนลูกชายนั้นอยู่กับผู้เป็นแม่ ขณะที่สมโภชน์ แยกไปอยู่กับแฟนใหม่อย่างสุขสบายใจ

          สมโภชน์คิดว่าตนเองได้พบผู้หญิงที่ดีที่สุดแล้ว เธอเป็นคนดี มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบดี เขาจึงไว้ใจผู้หญิงคนนี้มาก หากผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรเขาก็จะหาให้ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้

          ฝ่ายหญิงสาวรู้ว่าสมโภชน์ไว้เนื้อเชื่อใจมาก จึงค่อยๆ หลอกเอาทรัพย์สมบัติของเขาทีละเล็กละน้อย จนในที่สุด สมโภชน์ยอมยกสมบัติทุกอย่างให้กับภรรยาใหม่ เพราะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดแล้ว ชีวิตของเขาที่เหลือก็ขอฝากไว้ให้ผู้หญิงคนนี้ช่วยดูแล แต่กรรมของสมโภชน์ที่เคยก่อไว้นั้น มันช่างเร็วเหมือนจรวดเหลือเกิน

          เพราะหลังจากที่ผู้หญิงคนนี้ได้ทรัพย์สมบัติจากสมโภชน์ทั้งหมดแล้ว เธอก็เริ่มออกลายให้เห็น เอาใจออกห่างจากเขา แอบไปมีแฟนใหม่ และกำลังหาทางที่จะเลิกกับเขาให้ได้ เธอจึงควงชายชู้มาให้เห็น เท่านั้นเองสมโภชน์ก็เกิดความโมโหสุดขีด เพราะความที่ตนเองทุ่มเทให้กับผู้หญิงคนนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เธอกลับทำกับเขาอย่างโหดร้าย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับที่สมโภชน์เคยทำไว้กับภรรยาคนแรกของเขาเลย

          กรรมที่สมโภชน์เคยก่อไว้ เริ่มแสดงออกมาให้เห็นแล้ว เขาถูกภรรยาใหม่ทิ้ง พร้อมกับหลอกเอาทรัพย์สมบัติไปจนหมดสิ้น ชายหนุ่มไม่เหลืออะไรเลย ชีวิตที่เคยสุขสบายจึงตกต่ำลงมาทันที ความเป็นอยู่ก็ย่ำแย่ ครั้นจะกลับไปหาภรรยาเก่า เธอก็ไม่ยอมคืนดีด้วย เพราะเจ็บช้ำใจกับสิ่งทีี่เขาเคยทำไว้กับเธอ

          สมโภชน์จึงกลายเป็นคนล้มเหลวในชีวิต ครอบครัวที่เคยวาดฝันไว้ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า นั่นก็เพราะความมักง่ายใจเร็วของตัวนั่นเอง หากเขารู้จักหักห้ามใจไม่ให้ไหลไปตามอำนาจของกิเลส ชีวิตของเขาก็คงไม่เป็นเช่นนี้

          การกระทำของสมโภชน์ไม่ได้มีผลเฉพาะกับตัวเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบไปที่ลูกชายด้วย เพราะช่วงที่เขาเลิกร้างกับภรรยาคนแรกนั้น เธอต้องเลี้ยงดูลูกอย่างลำบาก เพราะฐานะของเธอไม่ค่อยจะสู้ดีนัก และเธอก็มักทำตัวเสเพลอยู่บ่อยๆ เพื่อประชดชีวิต ทำให้ลูกชาย มีปัญหา ทะเลาะกับแม่อยู่เป็นประจำ จนเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่น ในที่สุดก็กลายเป็นเด็กเกเร และไปสร้างปัญหาให้กับสังคมส่วนรวม

           นี่คือผลจากความชั่วของสมโภชน์ เขาไม่เพียงได้รับผลของกรรมชั่วในชาตินี้เท่านั้น ในชาติหน้าเขาจะต้องตกนรกหมกไหม้อีกด้วย!!

          กิเลสตัณหาที่มีอยู่ในใจนั้น หากเราไม่รีบทำลายมันให้หมดสิ้นไป หรือไม่ทำให้มันอ่อนอำนาจลง สักวันมันจะเล่นงานเราอยู่นั่นเอง เหมือนกับสมโภชน์ที่ถูกกิเลสเล่นงานจนชีวิตต้องหมดสิ้นทั้งทรัพย์สินเงินทองและครอบครัวที่เขารัก

           หากเราไม่อยากเป็นเช่นเดียวกับเขา ก็จงพยายามทำ ความดี หาทางกำจัดกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจให้หมดสิ้นไป อย่าให้มันมีอำนาจมาชักจูงจิตใจของเราได้ หากปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือเราเมื่อใด เมื่อนั้นมันย่อมนำหายนะมาสู่ตัวเรา วิธีการประคองให้จิตใจอยู่เหนืออำนาจกิเลสที่ทำได้ง่ายที่สุด คือ รักษาศีล ๕ อยู่เสมอ หากเรายึดมั่นในศีล ไม่ล่วงละเมิดศีล ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม กิเลสก็จะทำอะไรเราไม่ได้ ชีวิตของเราก็จะพบแต่ความสุขความเจริญ ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติไหนก็ตาม

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 111 กุมภาพันธ์ 2553 โดย มาลาวชิโร)
.........................................................................................................

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

รู้ไว้ก่อนเลือกกินวิตามินเสริม

          วิตามินนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ละชนิดก็ออกทธิ์และให้คุณค่าการบำรุง ซ่อมแซมร่างกายด้วยหน้าที่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะเลือกกินวิตามินลองเรียนรู้กันสักนิดว่าวิตามินชนิดไหนเหมาะ กับร่างกายเรา หรือชนิดไหนที่ร่างกายเราต้องการในขณะนั้น 

          วิตามิน ซี – มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ไม่เพียงป้องกันการเกิดอาการหวัด แต่ยังช่วยขจัดอนุมูลอิสระที่อาจก่อให้เกิดโรคหลายชนิด นอกจากนั้นยังมีส่วนสำคัญในการช่วยดูดซึมธาตุเหล็กและการทำงานของระบบประสาท และยังช่วยในการสร้างคอลลาเจนด้วย

          เกรพซีด (Grape Seed) – เต็มไปด้วยวิตามินสำคัญๆ ทั้งวิตามิน เอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น และมีบทบาทต่อการสร้างเซลล์ใหม่ วิตามิน ซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิต้านทาน และบำรุงผิวพรรณ และวิตามิน อี ช่วยเสริมการทำงานของวิตามิน เอ และ ซี และปกป้องผิวจากรอยแผลและผิวอักเสบต่างๆ นอกจากนั้น สารสกัดจากเมล็ดองุ่นยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ 

          แคลเซียม – เมื่ออายุ 25 แคลเซียมในร่ายกายจะเริ่มเสื่อมลง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเสริมเพิ่ม แคลเซียมมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ลิ่มเลือดจับตัวได้ดีขึ้น พร้อมกับช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อและการเต้นหัวใจ ควรทานแคลเซียมควบคู่กับวิตามิน เค ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น

          วิตามิน บี รวม – เสริมความพร้อมของระบบประสาทและสมองสำหรับคนทำงานหนักด้วยวิตามิน บี รวม ทั้ง บี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี7 บี9 และบี12 เพื่อช่วยเสริมการทำงานของระบบสมองและประสาทส่วนกลาง การทำงานของหัวใจ สร้างเม็ดเลือดแดงและระบบภูมิคุ้มกัน 

          ฟิช ออย (Fish Oil) – เป็นสารประกอบของกรดไขมันกลุ่มของโอเมก้า 3 ที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ EPA ที่ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และ DHA ซึ่งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง ความจำ ตลอดจนระบบสายตา ฟิช ออยสามารถช่วยลดความดันโลหิต และทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น รวมทั้งยังบรรเทาอาการปวดข้อรูมาตอยด์และข้อเสื่อมอีกด้วย

Thank : Watson
.........................................................................................................

10 เรื่องน่ารู้ที่คอกาแฟไม่ควรพลาด


          คุณเคยสงสัยไหมว่าเครื่องดื่มรสกลมกล่อมอย่างกาแฟที่เราดื่มกินกันอยู่ทุกวันนี้มีที่มาไปอย่างไรบ้าง และยังมีความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเครื่องดื่มโปรดของคุณที่คุณอาจพลาดไปโดยไม่รู้ตัวบ้างหรือเปล่า ซึ่งถ้าใครอยากรู้ล่ะก็ วันนี้รวบรวมเอาเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกาแฟจากเว็บไซต์ Oat Meal (theoatmeal.com) มาไขข้อข้องใจให้คุณไว้ที่นี่แล้ว ส่วนจะมีเรื่องน่าสนใจอะไรบ้างนั้นก็ลองไปหาคำตอบกันดูเลย

 1. ทุกอย่างเริ่มจากแพะ
           ก่อนที่จะมาเป็นกาแฟที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ เชื่อไหมว่าคนสมัยก่อนนั้นเขาไม่ได้เอาเมล็ดกาแฟมากินกันหรอก แต่เอาไว้ใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์มาก่อน จนกระทั่งชาวเอธิโอเปียสังเกตว่าแพะที่กินเมล็ดกาแฟเข้าไปดูร่าเริงกระปรี้กระเปร่าผิดปกตินี่แหละ จึงได้เกิดสงสัยขึ้นมาว่าเจ้าเมล็ดกาแฟนี่อาจเอามาใช้เป็นของกินเพิ่มพลังงานให้มนุษย์เราได้เหมือนกัน

 2. กาแฟเคยเป็นขนมมาก่อน
           เราไม่ได้พูดถึงพวกขนมยอดฮิตอย่างเค้กหรือไอศกรีมรสกาแฟที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้หรอก แต่ก่อนจะมาเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของใครหลาย ๆ คน ชาวแอฟริกันเคยเอาเมล็ดกาแฟมาบดแล้วปั้นผสมกับไขมันสัตว์เพื่อใช้กินเหมือนกับเป็นขนมมาก่อนต่างหาก ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่แล้วล่ะ แบบนี้แล้วคงจะเดาเรื่องรสชาติกันได้ไม่ยากเลยทีเดียว

 3. อังกฤษเคยสั่งปิดร้านกาแฟ
           ใครจะเชื่อล่ะว่าประเทศผู้ดีอย่างอังกฤษจะเคยสั่งปิดร้านกาแฟทั่วเมืองมาก่อน และที่ทำแบบนั้นก็ไม่ใช่เพราะชาวอังกฤษคลั่งไคล้ชามากจนอิจฉาความนิยมที่เพิ่มขึ้นของกาแฟหรอกนะ แต่ในปี 1675 กษัตริย์ของอังกฤษเคยสั่งปิดร้านกาแฟเพราะคิดว่าชาวเมืองไปรวมตัวกันตามร้านกาแฟเพื่อวางแผนต่อต้านพระองค์ต่างหาก ทำให้ร้านกาแฟทั่วประเทศปวดหัวไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว

 4. ต้นกาแฟสูงกว่าที่คุณคิด
           ที่จริงแล้วต้นกาแฟนั้นสูงใหญ่มาก โดยสามารถสูงได้ถึง 30 ฟุตหรือราว 9 เมตรเลยทีเดียว แต่ที่ปัจจุบันเรามักจะเห็นว่าไร่กาแฟส่วนใหญ่มีต้นกาแฟสูงแค่ 10 ฟุตหรือราว 3 เมตรเท่านั้น ก็เป็นเพราะว่าชาวไร่เลือกจะปลูกขนาดที่เตี้ยลงเพื่อให้สะดวกในการเก็บเกี่ยวมากขึ้นเท่านั้นแหละ

 5. จอร์จ วอชิงตัน เป็นยี่ห้อกาแฟสำเร็จรูปเจ้าแรกของโลก
           ไม่ต้องตกใจไป เพราะประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาอย่าง จอร์จ วอชิงตัน ไม่ได้ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจผลิตกาแฟสำเร็จรูปขายหรอก เพียงแต่ว่าชาวเบลเยี่ยมซึ่งเป็นผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปเจ้าแรกของโลกในปี 1906 ตั้งชื่อกาแฟนั้นว่า จอร์จ วอชิงตัน เพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลสำคัญที่เขานับถือเท่านั้นเอง

 6. ที่มาของอเมริกาโน่
           หลาย ๆ คนอาจสงสัยว่าทำไมเมนูกาแฟถึงมีชื่อประเทศรวมอยู่ด้วย ซึ่งคำตอบก็คือมันเป็นเพราะกาแฟชนิดนี้มีที่มาจากทหารชาวอเมริกันนั่นเอง โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ทหารอเมริกันมักจะสั่งกาแฟเอสเพรสโซ่ดื่มเพื่อให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น แต่มักจะขอให้ผสมน้ำอุ่นลงไปด้วยเสมอ เพื่อไม่ให้มีรสแรงจนเกินไป และนั่นก็คือที่มาของเมนูอย่างอเมริกาโน่ที่เราทานกันอยู่ทุกวันนี่

 7. อาราบิก้าเป็นที่นิยมมากว่าโรบัสต้า
           จากสถิติแล้วคนทั่วโลกทานกาแฟอาราบิก้าซึ่งมีรสนุ่มกลิ่นหอมหวานถึง 70% ในขณะที่ทานกาแฟโรบัสต้าซึ่งรสเข้มกว่าและมีคาเฟอีนสูงกว่าถึง 50% เพียงแค่ 30% เท่านั้น จึงเห็นได้ชัดเลยว่าอาราบิก้านั้นเป็นที่นิยมมากว่าโรบัสต้าจริง ๆ

 8. มีการซื้อขายเป็นอันดับ 2 ของโลก
           ถึงเราจะกินกาแฟกันอยู่ทุกวัน แต่ใครจะไปคิดล่ะว่ากาแฟจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ซื้อขายกันมากเป็นอันดับ 2 ของโลกเลยทีเดียว ในขณะที่อันดับ 1 คือสิ่งของที่ขาดไม่ได้ยิ่งกว่าอย่างน้ำมันนั่นเอง แบบนี้แล้วใครจะปฏิเสธได้อีกล่ะว่ากาแฟถือเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของโลก

 9. กว่าจะมาเป็นเมล็ดกาแฟที่เรากิน
           คุณอาจคิดว่าเมล็ดกาแฟนั้นมาถึงก็เป็นเมล็ดสีน้ำตาลหน้าตาน่ากินตั้งแต่แรกแล้ว แต่รู้ไว้เถอะว่าที่จริงแล้วมันต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนกว่านั้นมากนัก โดยแรกเริ่มนั้นผลกาแฟก็เหมือนผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั่วไปที่มีสีสันสดใสน่ารักและขนาดพอดีคำนั่นแหละ ซึ่งอันดับแรกเราก็ต้องลอกเปลือกสีชมพูเหลือบแดงของมันออกมาก่อนจนเหลือแค่เมล็ดด้านในเท่านั้น จากนั้นจึงเอาเมล็ดที่ได้ไปตากแดดทิ้งไว้จนแห้งและมีสีเขียว ก่อนจะเอาไปอบด้วยความร้อน 500 องศาให้พองจนมีขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวและเป็นสีน้ำตาล จึงจะสามารถเอาไปทำเป็นกาแฟต่อไปได้

 10. ฮาวายเป็นรัฐเดียวในสหรัฐฯ ที่ปลูกกาแฟ
           แม้ว่าเราจะเห็นชาวอเมริกันดื่มกาแฟกันมากไม่แพ้เครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ แต่เชื่อไหมว่าแม้สหรัฐอเมริกาจะกว้างใหญ่อยู่ไม่น้อย แต่ฮาวายเป็นเพียงรัฐเดียวเท่านั้นที่มีการเพาะปลูกกาแฟในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี กาแฟที่ปลูกในฮาวายนั้นถือว่ามีเอกลักษณ์มากทีเดียว เพราะกาแฟที่ให้ความรู้สึกละมุนลิ้นปนด้วยกลิ่นเครื่องเทศอ่อน ๆ ของที่นี่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเลยทีเดียว

          พออ่านจบแล้ว นอกจากเราจะได้ความรู้รอบตัวใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้เราได้รู้ว่ากว่าจะมาเป็นกาแฟที่เรากินกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อีกด้วย เพราะฉะนั้นสั่งกาแฟคราวหน้าอย่าลืมทานให้หมดแก้วเพื่อให้คุ้มค่ากับวิธีทำที่พิถีพิถันด้วยนะจ๊ะ

Thank : k@pook
............................................................................................

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

ทำอย่างไรให้ Flash Drive ปลอดจากไวรัส


          ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นของนักคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน เพราะอุปกรณ์เล็กๆ อันนี้ช่วยให้การทำงานเราง่ายขึ้น โดยเราสามารถพกพาข้อมูลต่างๆ ไปได้ทุกที่ มีน้ำหนักเบากว่าการถือแฟ้มเป็นไหนๆ ถึงแม้มันจะมีประโยชน์ให้กับเรามากมายแต่มันก็อาจจะสร้างปัญหาให้เราอย่างมากมายเกินที่คุณจะนึกได้ นั้นคือการเผนแพร่ไวรัสผ่าน Flash Drive นั้นเอง

วิธีที่ไวรัสเข้าไปฝังตัวอยู่ใน Flash Drive ก็คือ
          เมื่อเสียบ Flash Drive เข้ากับคอมพิวเตอร์ที่มีไวรัสอยู่ ไวรัสจะแพร่กระจายตัวเอง โดยการเขียนตัวเองพร้อมกับเขียนไฟล์ ที่มีชื่อว่า Autorun.int ลงบน Flash Drive ซึ่ง File นี้จะเป็นตัวบอกให้ Windows เรียกโปรแกรมทำงานอัตโนมัติและพร้อมที่จะแพร่กระจายตัวเอง เมื่อเรานำ Flash Drive ไปเสียบกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องต่อไป

เมื่อทราบดังนี้แล้ว เราจึงควรป้องกัน Flash Drive ให้ปลอดภัยจากไวรัสได้ดังนี้
          1.เปิด My Computer เข้าสู่ Flash Drive ที่ปราศจากไวรัส
          2.คลิกขวาพื้นที่ว่างๆ แล้วเลือก NEW ตามต่อด้วย Folder
          3.พิมพ์ชื่อ Folder ว่า Autorun.inf ขอย้ำว่าชื่อ Folder ไม่ใช่ชื่อ File ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้ไวรัสรู้สึกหงุดหงิด เนื่องจากมันไม่สามารถสร้าง File ชื่อ autorun.inf ได้อีกต่อ

นอกจากนี้เราต้องซ่อน Folder นี้ไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เราเผลอลบทิ้งไป ซึ่งการซ่อนมีขั้นตอนดังนี้
          1.คลิกขวาที่ Folder autorun.inf แล้วเลือก Properties
          2.คลิกเลือก Hidder
          3.คลิกปุ่ม OK

เท่านี้ Flash Drive ของเราก็ไม่มีไวรัสมากวนใจให้เสียเครดิตเจ้าของแล้ว

Thank : wordpress.com
..................................................................................................


กินอาหารระบายอารมณ์


1. ร่างกายที่มีผลต่ออารมณ์ อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
          ที่มาจาก 2 แหล่งของผลสะท้อนความรู้สึกคืออาหารและสารเคมีในสมอง และปัจจัยที่ควบคุมได้ง่ายคือ อาหาร
          ด้วยการงดกินอาหารคาร์โบไฮเดรต ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง อย่างไอศกรีม ข้าวเหนียว มันฝรั่งบด อาหารประเภททอด ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ น้ำอัดลม กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ที่นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน หลังจากกินไปได้ 2-4 ชั่วโมง จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแรง อารมณ์เซื่องซึม ตาหนัก ง่วงนอน

2. กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
          เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยมาก และมีรสไม่หวาน เป็นต้น เพราะร่างกายจะค่อย ๆ ย่อยและดูดซึมช้า ๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอ และหลังกินอาหารได้ 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนบางชนิด เพื่อสลายไกลโคเจน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน

3. เลือกกินเฉพาะแป้งที่ไม่หวาน อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
          ไม่ได้เหมารวมทุกหมวด เพราะขนมปังและข้าวทุกชนิด คือแหล่งคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งช่วยให้เกิดความสงบ งานวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชู เสตต์ สหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินขนมปังเพื่อต่อต้านอาการซึมเศร้า

4. ปรับเปลี่ยนเพื่ออารมณ์ดี อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
          การปรับเปลี่ยนประเภทของอาหารเพียงเล็กน้อย ก็สามารถส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ควรกินอาหารให้ครบมื้อ แต่ถ้าไม่มีเวลากินอาหารเป็นมื้อแบบกิจจะลักษณะ ควรเลือกของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ขนมปังโฮลวีทสักแผ่น หรือขนมปังกรอบธัญพืชสัก 2-3 แผ่น อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด หรือว่าจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็ก ๆ แต่กินบ่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตก

5. กินปลาแซลมอนและแมคคาเรล อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
          ปลา 2 ประเภทนี้ มีโอเมก้า 3 ซึ่งยืนยันด้วยผลวิจัยว่าส่งผลต่ออารมณ์ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง   ที่ดีไปกว่านั้นแซลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียม ที่เป็นสารสำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย

6. ปรุงอาหารด้วยน้ำมันคาโนลาออยล์ (Canola Oil) อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
          จากดอกคาโนลา ซึ่งกำลังได้รับความนิยมแทนน้ำมันพืชทั่วไป เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอี ซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ แต่ควรกินได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยใช้ทอดปลาแซลมอน หรือทำอาหารสุขภาพ

7. กินผักโขม ถั่วสด และถั่ว Chickpeas อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
          ที่มีแต่โปรตีนไขมันต่ำ อยู่สูง ในผักใบสีเขียวเข้มมีโฟเลตสูง มีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน ซึ่งช่วยให้อารมณ์อยู่ในนระดับปกติ นอกจากนั้นการกินถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย การลองผสมถั่ว หรือเพิ่มผักใบเขียวลงในทูน่าสลัด นับเป็นไอเดียเริ่ดที่น่าทำมาก

8. กินพริกรสเผ็ด อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
           ในพริกมี “สารแคปไซซิน” ส่งสัญญาณหลอกให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข เอนโดรฟิน แต่ควรระวังหากกินมากเกินไปอาจทำท้องไส้ปั่นป่วน

9. กินปวยเล้ง อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
            ผักอารมณ์ดีที่อุดมด้วย “กรดโฟลิก” (Folic acid) ที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และช่วยให้เซลล์ใหม่แข็งแรงสมบูรณ์ การขาดนำไปสู่การลดการหลั่งของฮอร์โมนเซโรโทนินโดยตรง ซึ่งก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า การกินปวยเล้งสม่ำเสมอยังทำให้หลับง่าย หลับสนิทดีด้วย

10. กินกล้วยหอม อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
          กระตุ้นการสร้างสาร “ซีโรโทนิน” และอุดมไปด้วย “ทริปโทโฟน” ช่วยลดอารมณ์ซึมเศร้า คลายเครียด และไม่อ้วน

11. กินถั่วเหลือง อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
            ที่อุดมด้วยสารซีโรโทนิน เพิ่มความตื่นตัว กระฉับกระเฉง และ “โดไทโรซิน” เพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ

12. กินเชอร์รี่เป็นของหวาน อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
           แพทย์ตะวันตก เรียกเชอร์รี่ ว่าเป็น “แอสไพรินธรรมชาติ” เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้มีสารที่ชื่อว่า “แอนโธไซยานิน” Anthocyanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีในเชอร์รี่ ทำให้เชอร์รี่มีสีสันสวยสดใส และสรรพคุณสำคัญ คือ ทำให้คนกินมีความสุข งานวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ชี้ว่าการกินเชอร์รี่ 20 ผล ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการกินยา

13. กินและปรุงอาหารด้วยกระเทียม อาหาร, กินอาหารระบายอารมณ์
          ที่อุดมด้วยสารเซเลเนียม (Selenium) สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น นักวิจัยเยอรมันแนะว่า การกินกระเทียมวันละ 2 กลีบ น่าจะเหมาะสม นอกจากนี้ กระเทียมยังมีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันในเลือด และรักษาโรคความดันโลหิตสูง

Thank : http://blog.th.88db.com/?p=15864
..................................................................................................

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ความจริง ที่ควรรู้ก่อนใช้แก๊สติดรถยนต์

        ปัจจุบันทางออกของสภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในยุคนี้ ทำให้หลายคนถวิลหาพลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกกว่าอย่างเช่นแก๊ส ที่คนจำนวนไม่น้อยคุ้นเคยมันอย่างดี ไม่ว่าจะเป้นแก๊ส LPG ที่บรรดาคนขับรถยนต์แท็กซี่เติมใช้กันมานานนับ 10 ปี หรือจะทางเลือกใหม่กับ CNG ไม่ ว่าอะไรก็ช่วยให้คนที่ต้องการความประหยัดและคุ้มค่าในการเดินทางไปยังจุด หมายต่างๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้

        แม้พลังงานทางเลือกอย่าง “แก๊ส” จะให้ความคุ้มค่าในการใช้งาน แต่เราก็ควรตระหนักว่า เมื่อมีข้อดีเป็นธรรมดาในทางกลับกันมันก็จะต้องมีผลเสียตามมา ซึ่งในหลายๆ เหตุผลต่างๆนานา อาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นไปได้

เครื่องยนต์จะสึกหรอเร็วกว่าปกติ
        เราเชื่อว่าเรื่องความเสียหายของเครื่องที่ เกิดจากการใช้แก๊สก๊าซติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน คงเป็นเรื่องที่คอประหยัดส่วนใหญ่คงจะทราบกันดี แม้จะมีเสียงจากกลุ่มผู้ใช้ก๊าซว่าสามารถทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้สมบูรณ์ กว่าระบบน้ำมันด้วยซ้ำ แถมยังมีค่าออกเทน โดยเฉลี่ยสูงกว่า 105 อยู่เป็นทุนเดิม ทำให้บางคนมักเข้าใจผิดว่า รถติดแก๊สแล้วจะวิ่งดีกว่าน้ำมัน

        ความจริงเรื่องแก๊สกับการทำงานเครื่องยนต์ นั้น สาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์มีการสึกหรอเร็วกว่าปกตินั้น ก็มีสาเหตุมาจากการเผาไหม้ภายในห้องเผาไหม้ ที่แก๊สแม้จะมีค่าออกเทนหรือที่ศัพท์ในวงการอุตสาหกรรมปิโตเลียมเรียกว่า "อีเนอจีเชน" มากกว่าน้ำมันในระดับพรีเมี่ยมออกเทน 95 แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดก็ไม่พ้นลักษณะการเผาไหม้

        ด้วยความที่มันมีคุณสมบัติเป็นก๊าซนี่เองก็ เลยทำให้การเผาไหม้ที่เกิดขึ้นในห้องเผาไหม้ เป็นการเผาไหม้แห้ง สังเกตได้จากระบบแก๊สมักถูกต่อร่วมกับระบบดูดอากาศไปใช้งาน ส่งผลให้ค่าเสียดทานของอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่นวาล์วหรือตัวลูกสูบมีมากกว่า และเมื่อมีการเสียดทานสิ่งที่ตามมาก็คือ ความร้อน ซึ่งนี่เป็นตัวการที่ทำให้เครื่องยนต์มีอัตราการสึกหรอเร็วขึ้นกว่าปกติ โดยเฉลี่ย 1.5 เท่า เลยทีเดียว และสามารถยืนยันได้จากคำแนะนำของท่านผู้เชี่ยวชาญทางพลังงานแก๊ส ที่มักให้เปลี่ยนน้ำมันเกรดธรรมดาที่สามารถใช้ได้ถึง 5000 กิโลเมตร ในระยะที่ 4000 กิโลเมตร

แก๊สไม่ได้ทำให้รถประหยัดขึ้น
        อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่คอประหยัดหลายคนมองข้ามไปว่าการติดแก๊สความจริงแล้ว ไม่ได้ช่วยให้เครื่องยนต์ของคุณมีสมรรถนะการทำงานดีขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลขึ้นหรือมีอัตราเฉลี่ยใช้พลังงานน้อยลง เมื่อเทียบกับอัตราการเดินทางที่เกิดขึ้นจริง

      ความจริงแล้วการติดแก๊สให้กับรถคู่ใจของคุณนั้น เป็นเพียงการหลีกเลี่ยงค่าพลังงานที่สูงเมื่อเทียบกับราคาก๊าซที่ถูกว่ากัน ครึ่งต่อครึ่ง หรืออาจจะถูกกว่าถึง 2 ใน 3 ของราคาน้ำมันที่ขายกันอยู่ตามปั้ม

        อันที่จริงแล้วเมื่อติดแก๊สเครื่องยนต์ไม่ได้วิ่งดีขึ้นหรือมีอัตราความ ประหยัดของเครื่องยนต์มากขึ้นอย่างที่คุณหวังเอาไว้ เพียงแต่เมื่อหันไปใช้พลังงานจากแก๊สแล้วค่าใช้จ่ายที่คุณต้องควักเงินออก จากกระเป๋าต่อหน่วยพลังงานนั้นจะน้อยลง และหากใครใช้รถแก๊สกันอยู่ คงจะพอรู้ว่าแก๊สเต็มปริมาตร 1 ถัง จะวิ่งได้น้อยกว่าน้ำมันประมาณ 100-200 กิโลเมตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากพูดแล้วคุณอาจจะต้องเติมแก๊สมากกว่าน้ำมันเสียอีก แม้จะราคาถูกกว่าก็ตามเถอะ

แก๊สทำให้คุณตายผ่อนส่งโดยไม่รู้ตัว
        หลายคนที่ติดแก๊สมัก จะคิดว่าแก๊สไม่น่าจะมีผลอะไรต่อสุขภาพเมื่อดูจากการติดตั้งที่เราจะเห็นได้ ถึงความปลอดภัยมั่นใจได้ แถมมีวิศวกรเซ็นใบรับรองอีกต่างหาก ทว่าสิ่งที่หลายคนลืมตระหนักนึกถึงไปยังมีอีกมาก และหนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างสุขภาพด้วยสิ เพราะ แก๊สไม่ได้แค่ติดไฟได้แต่ยังมีอันตรายต่อสุขภาพด้วย

       จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอัตรายและเคมีภัณฑ์ ภายใต้หน่วยงานกรมควบคุมมลพิษ ให้ข้อมูลถึงอันตรายของก๊าซที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพว่าCNG หรือก๊าซธรรมชาติ ที่บางคนอาจจะรู้จักในนาม NGV นั้น หากสูดดมหายใจเข้าไปสะสมเป็นปริมาณมากๆ จะก่อให้เกิดอาการหายใจติดขัดอย่างรุนแรง, ปวดศีรษะ, วิงเวียน และอาจหมดสติได้ และหากสัมผัสถูกตาอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง

      ในขณะที่ก๊าซยอดฮิตตลอดกาลอย่าง LPG ก็ มีผลกระทบไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเริ่มจาก การหายใจเข้าไป อาจจะเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดการกระตุกสั่น ปวดและเวียนศีรษะ เซื่องซึม สายตาพร่ามัว เมื่อยล้า อาการชักกระตุกอย่างแรง หมดสติ ไม่รู้สึกตัว อาจหยุดหายใจทันทีและถึงแก่ความตาย หากสัมผัสโดยตรงทางผิวหนัง จะทำให้เนื้อเยื่อตาย เช่นเดียวกับการสัมผัสถูกตาก็จะให้ผลเช่นเดียวกันและอาจทำให้ตาบอดได้

       แม้ในความเป็นจริงคงไม่มีใครนึกอยากสูดก๊าซพวกนี้เข้าไป แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่เราเข้าไปเติมก๊าซเราก็มักจะได้กลิ่น หมายถึงว่าเราสูดดมไปโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป้นในปริมาณที่น้อย แต่หากเราต้องเข้าไปเติมกันบ่อยๆ มันก็น่าคิดใช่ไหม แถมเกิดก๊าซรั่วหรือใครที่จูนแก๊สหนาๆ จนมีกลิ่นเข้ามาในห้องโดยสาร อันนี้ควรรีบตรวจสอบให้ดี

แก๊สทำให้รถคุณไร้ค่า
       เมื่อถึงเวลาต้องก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ดีกว่า คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะขายรถคันเดิมเพื่อซื้อคันใหม่ที่ให้ความสะดวกสบาย มากกว่า ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่เมื่อไรที่คุณเลือกที่จะขายรถติดแก๊สคันโปรดคู่ใจแล้ว บรรดาคนซื้อทั้งหลายโดยเฉพาะเต๊นท์ก็มักจะกดราคาด้วยข้ออ้างเพียงว่า “มันเป็นรถแก๊ส”

     ทั้งที่จริงแล้วข้ออ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้นสำหรับผู้เป็นเจ้าของรถ แต่จากที่ทางทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับคนในวงการไฟแนนซ์ชั้นนำ ก็เลยทำให้ได้ทราบว่า ที่บรรดาเต๊นท์ต่างกดราคาและขยาดในการรับซื้อรถติดแก๊สไปขายนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากสถาบันการเงินที่คนอยากซื้อรถส่วนมากต้องยื่นขอสินเชื่อนั่นเอง

       เป็นที่น่าแปลกว่าบรรดากลุ่มสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อเหล่านี้ พวกเขาต่างก็เข็ดขยาดกับรถยนต์ติดแก๊ส แม้จะไม่มีทางทราบได้เลยว่า ไฉนรถติดแก๊สถึงได้ดูถูกดูแคลนมากมายถึงขนาดบางแห่ง ปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อสำหรับรถติดแก๊ส หรือไม่ก็ต้องมีการค้ำประกันเพิ่มเติมเช่นโฉนดที่ดิน เพื่ออะไรเราก็มิอาจทราบ แต่เราคาดว่าในสายตาของบรรดาสถาบันการเงิน คงมองว่า การใช้รถติดแก๊สนั้นมีความเสี่ยง ผู้ใช้อาจมีสิทธิ์เสียชีวิตได้สูง

แก๊สอาจจะทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่
        ข้อนี้เป็นเรื่อง แปลกแต่จริงที่ทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับนักกฏหมายที่คร่ำวอดในการว่าความ คดีต่างๆ ซึ่งเขาได้เล่าให้เราฟังถึงคดีจราจรเคสหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวระหว่างรถยนต์ติดแก๊สกับรถยนต์ธรรมดาเฉี่ยวชนกันตามภาษา การจราจรวุ่นวายในบ้านเรา ทีแรกก็เป็นคดีปกติแถมรถแก๊สเป็นฝ่ายถูกด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนเรื่องเล็กจะเป็นเรื่องใหญ่เมื่อรถติดแก๊สเกิดเหตุเพลิงไหม้และ วอดกลายเป็นเถ้าถ่านในที่สุด

     เรื่องมันกับตาลปัตรตรงที่ความจริงแล้วจากสถานการณ์รถแก๊สน่าจะต้องได้รับ การชดใช้ค่าเสียหายจากคู่กรณีเป็นเงินจำนวนมากอยู่ ทว่าพอคดีเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอน เนื่องจากยอมความกันไม่ได้ กลับกลายเป็นว่าเจ้าของรถติดแก๊สนั้น ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนคู่กรณี เนื่องจากมีการพิจารณาแล้วเห้นพ้องว่า ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต สรุปว่า เจ้าของรถแก๊สซวย 2 ต่อ ไหนรถจะไม่มีขับแถมต้องจ่ายเงินให้คู่กรณีอีกต่างหาก เคราะห์ดีว่ารถมีประกันภัยไม่งั้นมีหวังกระเป๋าฉีกแน่ๆ

       เหตุผลทั้ง 5 ข้อ ที่วันนี้เรานำมาเล่าสู่กันฟังอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กในสายตาหลายๆคน แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไรกับพลังงานทางเลือกอย่างแก๊ส ที่ชั่วโมงนี้แทบปฏิเสธไม่ได้ เราก็ควรจะศึกษามันให้ดีก่อนที่จะเสียเงินทำการใดๆ มิเช่นนั้นปัญหาที่คุณไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นกับคุณ

Thank : banprak-nfe.com
..................................................................................................

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

คนไทยเตรียมตัวรับทีวีดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ


           และ แล้วคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.)
ก็มีมตินำเงินค่าประมูลตั้งต้นช่องรายการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลมาจัดสรรเป็น คูปองให้คนไทย 22 ล้านครัวเรือน
          คูปองนี้จะใช้เป็นส่วนลดในการซื้อกล่องแปลงสัญญาณเพื่อรับทีวีดิจิทัล หรือซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ระบบดิจิทัล มติดังกล่าวทำให้กระแสทีวีดิจิทัลบูมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเพราะทำให้ "ทีวีดิจิทัล" มีโอกาสแจ้งเกิด
          ก่อนหน้านี้คนในแวดวงจะมองว่า "ทีวีดิจิทัล" เกิดยาก เพราะตอนนี้คนไทยใช้จานรับดาวเทียมกว่าครึ่งของประเทศแล้วยอดขายจานรับดาวเทียมในเดือนธันวาคม เท่าที่ตรวจสอบน่าจะมากกว่า 400,000 จานและในปีนี้สงครามราคาของจานรับดาวเทียมจะแรงขึ้น
อัตราการเติบโตของจานรับดาวเทียมระดับนี้ ทำให้คนตั้งคำถามว่า "ทีวีดิจิทัล" จะเกิดได้อย่างไรเพราะไม่มีเหตุผลที่ "ผู้บริโภค" จะยอมควักกระเป๋าซื้อกล่องแปลงสัญญาณ
แต่เมื่อ กสท.ประกาศแจกคูปอง ก็มีความเป็นไปได้ที่คนดูจะยอมเปลี่ยน  "กล่อง" ระบบทีวีดิจิทัลนั้นไม่ว่าเราจะใช้เครื่องเก่า และมีกล่องแปลงสัญญาณ หรือจะซื้อทีวีดิจิทัลเครื่องใหม่ก็ตามเรายังต้องใช้เสาอากาศรับสัญญาณเหมือนเดิม คำถามก็คือ ถ้าเราเปลี่ยนไปติดจานรับดาวเทียมแล้วเราจะต้องซื้อเสาอากาศใหม่อีกหรือ อย่าลืมนะครับ คนไทยที่ติดจานรับดาวเทียมตอนนี้เกินครึ่งประเทศแล้ว การลงทุนลงแรงซื้อเสาอากาศมาติดตั้งใหม่ ต้องมีแรงจูงใจเรื่อง "ความแตกต่าง" มากทีเดียว
          ประเด็นก็คือ เมื่อทีวีดิจิทัลทุกช่องก็ต้องแพร่ภาพผ่านระบบดาวเทียมด้วยคนที่ติดจานรับดาวเทียมก็สามารถ ดูทีวีดิจิทัลได้เหมือนกันเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับช่อง 3-5-7-9-11 และไทยพีบีเอสในปัจจุบันเสาอากาศก็ดูได้ จานรับดาวเทียมก็ดูได้ คูปองที่แจกไปจึงอาจมีคนใช้ไม่มากนักเมื่อเป็นเช่นนี้ การลงทุนในทีวีดิจิทัลจึงไม่น่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการลงทุนทีวีดาวเทียมเพราะทีวีดาวเทียม เสียแค่ค่าเช่าสัญญาณดาวเทียม ถ้าใช้ทั้ง 2 ระบบ คือ ซีแบนด์ และเคยูแบนด์ ก็ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเดือนแต่ทีวีดิจิทัล เสียทั้งค่าสัมปทาน และค่าเช่าโครงข่าย สมมติว่าค่าสัมปทานประมาณ 500 ล้านบาทก็ตกปีละ 33 ล้านบาท หรือเดือนละ 2.7 ล้านบาทแต่ค่าเช่าโครงข่ายแพร่ภาพ ประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท รวม 17.5 ล้านบาทต่อเดือน 
แพงกว่าทีวีดาวเทียมประมาณ 6 เท่าทีวีดิจิทัลจึงมีต้นทุนสูงกว่า แต่มีข้อดีที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายซึ่งถ้าคิดตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นแล้วไม่คุ้มสมมติว่ามีคนดูผ่านจานรับดาวเทียม 70% ของประชากรทั้งหมด ทีวีดิจิทัลได้เปรียบทีวีดาวเทียมตรงที่มีคนดูทั้งที่ติดจานรับดาวเทียมและเสาอากาศ คนดูเพิ่มขึ้น 30% แต่ลงทุนมากกว่าทีวีดาวเทียมถึง 600%
แม้จะคำนวณแบบบัญญัติไตรยางค์แล้วไม่คุ้ม แต่เชื่อไหมครับว่าคนจะประมูลทีวีดิจิทัลเยอะมากเพราะสัญชาตญาณ "เถ้าแก่" บอกว่า "คุ้ม"
            เหตุผลหนึ่งก็คือ ระหว่างการอธิบายให้เอเยนซี่โฆษณาเชื่อว่าทีวีดาวเทียมของเรามีคนดูรับสัญญาณภาพของเราได้ถึง 70% ของทั้งประเทศ กับการบอกว่าทุกบ้านดูได้หมด
แบบหลังขายง่ายกว่าครับ และราคาก็ต่างกัน "ฟ้า" กับ "เหว" เหมือนฟรีทีวีกับทีวีดาวเทียมในวันนี้
....................................................................................................

เดินให้ฟิต พิชิตโรคร้าย



เดิน เดิน เดิน...
          สังเกต ไหมว่า คนที่ชอบเดิน มักจะมีร่างกายที่แข็งแรง ส่วนคนที่ชอบนอนหรือนั่งนานๆ มักจะมีร่างกายอ่อนแอและเจ็บป่วยได้ง่าย นั่นแสดงว่า การได้เดินบ่อยๆ เดินมากๆ ในแต่ละวัน เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงนั่นเอง

          มีคำแนะนำการออกกำลังกายด้วยการเดินเพื่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ ซึ่งเป็นวิธีการง่ายๆ ที่สามารถทำได้ทุกวัน ได้แก่

          เดินด้วยการก้าวเร็วๆ วันละ 30 นาทีขึ้นไป อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
เดินด้วยการก้าวเร็วๆ อย่างน้อยครั้งละ 10 นาที สะสมให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที
ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ควรเดินเร็วให้ได้วันละ 45-60 นาที
ด้วยวิธีง่ายๆ เช่นนี้ คุณจึงสามารถออกกำลังกายด้วยการเดินทุกวันได้ โดยวิธีต่างๆ ได้แก่

          ใช้เครื่องนับก้าวตรวจวัดการเคลื่อนไหวของตัวเองให้ได้มากกว่า 9,999 ก้าวทุกวัน
          เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์
          เวลาทำงาน ลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายทุก 1-2 ชั่วโมง
          ลงเดิน ก่อนถึงจุดหมาย 2 ป้ายรถเมล์
          ยอมจอดรถให้ไกลหน่อย เพื่อสร้างโอกาสในการเดิน
          เดินไปทำงาน เดินไปโรงเรียน เดินไปซื้อของ เดินเล่น เดินหลังรับประทานอาหาร พาสุนัขไปเดินเล่นนอกบ้าน
          เห็นประโยชน์ของการเดินเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างนี้แล้ว ลองถามตัวเองว่า วันนี้คุณได้มีโอกาสเดินออกกำลังกายบ้างแล้วหรือยัง

Tips:
           คุณรู้ไหมว่า การเดินเร็ววันละ 30-45 อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ 35-50%
           และหญิงวัยหมดประจำเดือนที่เดินอย่างน้อย 12 กิโลเมตรต่อสัปดาห์ หรือเดินด้วยความเร็ว 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วันละ 20 นาที จะลดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกเปราะบาง และลดการเกิดกระดูกสะโพกหักลงได้ถึง 40%

Thank : Mthai
......................................................................................................


วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

ฮวงจุ้ยคอนโด สำหรับวิถีชีวิตในมุมสูง


          แน่นอนว่าคอนโดมิเนียม กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของคนที่อยากมีอสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเองไปแล้ว โดยเฉพาะวิถีชีวิตของคนเมือง ที่ต้องการความสะดวกสบายของการเดินทาง และง่ายต่อการดูแลรักษา จึงทำให้คอนโดมิเนียมไม่เคยหล่นหายไปจากความต้องการของคนสมัยใหม่

          แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อหาคอนโดมิเนียมสักห้อง วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ ฮวงจุ้ยคอนโด จาก “อาจารย์มาศ เคหาสน์ธรรม” หรือ “ซินแสไฮเทค” ที่ให้ข้อมูลไว้ในประชาชาติธุรกิจ เพื่อประกอบการพิจารณากัน

 ลมและน้ำ
          ฮวงจุ้ย หมายถึง ศาสตร์จาก ลม (ฮวง) และน้ำ (จุ้ย) การพิจารณาเลือกคอนโดในอันดับแรก ต้องศึกษาเรื่องทิศทางของลมให้ดี โดยเลือกจุดที่ลมเข้าง่าย และถ้าเป็นไปได้ให้อยู่ใกล้จุดที่มีน้ำ เพราะเมื่อมีการพัดผ่านของลม ออกซิเจนจากน้ำจะถูกพัดเข้ามาด้วย ทำให้มีอากาศหายใจมากขึ้น แต่อย่าให้ใกล้สระน้ำหรือบ่อน้ำมากเกินไป เพราะพื้นดินอาจจะอ่อนจนทำให้ทรุดตัวง่าย

 รูปทรงของคอนโด
          นอกจากนี้รูปทรงของคอนโดจะต้องดูไม่บิดเบี้ยว เพราะจะทำให้ได้รับพลังชี่ไม่ทั่วถึง อาจทำให้ผู้พักอาศัยเจ็บป่วยได้

 ประตูทางเข้า
          ทางเข้าอาคารควรมีขนาดกว้างและสูงพอสมควร มีโถงภายในขนาดใหญ่ ดูสง่าและสว่าง เพื่อแสดงออกถึงภาพลักษณ์ที่ดีของผู้พักอาศัย เนื่องจากประตูเปรียบเสมือนปาก ซึ่งเป็นช่องทางในการรับพลังงานจากภายนอกเข้าสู่ภายใน ส่วนโถงเป็นแหล่งพักพลังงานก่อนถ่ายเทไปสู่ลิฟท์หรือบันได หากไม่มีโถงกว้างจะทำให้ผู้อยู่อาศัยการเงินไม่มั่นคง ไม่มีเหลือเก็บ

 ลิฟท์โดยสาร
          หากเลือกคอนโดที่มีลิฟท์ไม่เหมาะสมกับจำนวนห้อง จะทำให้สภาพการเงินฝืดเคือง หากเป็นไปได้ควรเลือกห้องที่อยู่ใกล้ลิฟท์ ห้องหัวมุม หรือห้องที่ด้านหน้าเป็นโถงกว้าง เปิดออกมาไม่เจอเหลี่ยมมุมผนังตึก เพื่อให้พลังงานส่งผ่านได้ง่าย หากเลือกห้องที่อยู่ติดสวนหรือสระว่ายน้ำ จะช่วยให้ร่ำรวยและสุขภาพแข็งแรง

 ห้องนอน
          เมื่อเปิดออกมาไม่ควรมีสิ่งของกีดขวางหรือเจอมุมแหลม ไม่ควรหันหัวเตียงด้านเดียวกับประตู และตำแหน่งไฟจะต้องไม่ส่องโดนตัวคนเวลานั่งและนอน อีกทั้งยังห้ามมีแอร์อยู่บนศีรษะด้วย เพราะจะทำให้เจ็บป่วยบ่อย

 ระเบียงห้อง
          ควรเลือกห้องที่มีระเบียงกว้างขวาง มองไปแล้วไม่มีตึกอื่นมาบดบังสายตา เนื่องจากการมีระเบียงที่เปิดโล่งจะช่วยรับพลังงานดี ๆ เข้าสู่ห้องได้ง่ายขึ้น

 ตัวเลข
          หลายคนเชื่อว่าการเลือกอยู่คอนโด ชั้น 8 ชั้น 9 และชั้น 27 ซึ่งเป็นชั้นยอดฮิตตามเลขมงคลจะดีกว่า หรือการหลีกเลี่ยงชั้น 6 และชั้น 13 ตามความเชื่อว่าเป็นเลขไม่ดี แต่ที่จริงแล้วยังไม่ใช่หลักฮวงจุ้ยที่แท้จริง เป็นเพียงความเชื่อของคนโบราณที่สืบต่อกันมาเท่านั้น

Thank : k@pook
...............................................................................................

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับ ชวนลูกกินผักและผลไม้


8 เคล็ดลับ ชวนลูกกินผักและผลไม้
          1.เมนูปั่น ๆ จะเป็นผักผลไม้สด ๆ หรือแช่แข็ง นำมาปั่นกับนมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติก็เข้าท่าทั้งนั้น อาจจะลองผักผลไม้ที่กินง่าย ๆ อย่างกล้วย ส้ม หรือพวกเบอร์รี่ต่าง ก็ได้

          2.Dippers ของชอบ ถ้าลูกไม่ชอบกินผักเปล่า ๆ ก็ลองหาอะไรมาให้เขาได้จิ้มด้วยก็จะดี เพราะบางทีผักผลไม้บางอย่าง ก็มีกลิ่นหรือรสชาติที่เด็ก ๆ ไม่ชอบเอาเสียเลย ลองคิดแปลงเมนูแล้วหาของจิ้มให้เขาดู

          3.ผลไม้เสียบ เป็นการเพิ่มลูกเล่นให้กับอาหารของลูกได้น่าสนใจทีเดียว แต่ก็ต้องระวังปลายไม้ที่เสียบด้วย

          4.เมนูของหนู ยิ่งให้เขาได้ลองทำเอง เลือกผักผลไม้เองตกแต่งเอง ยิ่งชวนให้กินผักผลไม้มากยิ่งขึ้น

          5.พืชผักแฟนซี โดยเอาผักผลไม้มาประกอบกันเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ หรือตกแต่งทำเป็นหน้าตาตัวการ์ตูนต่าง ๆ ดูบ้าง เพื่อดึงดูดความสนใจของลูก

          6.ผลไม้แช่แข็ง เด็กหลายคนชอบกินหวานเย็น หรือไอศกรีม เพราะฉะนั้นถ้าลองเอาผลไม้มาแช่แข็งดูบ้าง เขาอาจจะชอบก็ได้

          7.Trai mix แสนอร่อย โดยการนำเอาผลไม้อบแห้งมาผสมกับเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ เพื่อทำเป็นของขบเคี้ยวแสนอร่อยหรือจะผสมลงไปในซีเรียลชามโตของลูกก็อร่อยไม่แพ้กัน

          8.ให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการให้ลูกได้ทำอาหารเอง หรือให้เขาช่วยคิดเมนู ให้ตั้งชื่อเมนูอาหาร อะไรต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้ลูกอยากกินผักและผลไม้มากขึ้น

Thank : Mthai
......................................................................................................

ทางออกรถเก่า เมื่อยกเลิกเบนซิน 91


          ในช่วงปีที่ผ่านมา ข่าวคราวที่ครึกโครมในวงการรถยนต์ อาจจะเทใจไปให้โครงการ "รถยนต์คันแรก" ของภาครัฐบาลที่ออกมาเอาใจประชาชน แต่ในขณะที่หลายคนกำลังตื่นเต้นกับว่าที่รถใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่บ้าน รถยนต์หลายคันก็อาจจะกำลังประสบปัญหา เมื่อมีการประกาศยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 อย่างเป็นทางการ

          การหยุดเดินสายการกลั่นน้ำมันเป็นการส่งสัญญาณว่างานนี้เอาจริงแน่ หลังจากที่เคยเป็นข่าวครึกโครมกันมายาวนานด้วยแนวคิดที่อยากให้คนหันไปใช้ น้ำมันพลังงานทางเลือกมากขึ้น และเมื่อเวลามาถึงคุณควรจะเตรียมพร้อมในการปรับตัวกับน้ำมันใหม่

          1.รู้จักรถ ... โดยมากรถส่วนใหญ่ โดยมากรุ่นที่ผลิตตั้งแต่ปี 1995 ขึ้นมา นั้นจะมีความสามารถในการใช้พลังงานทางเลือกแก๊สโซฮอล์อยู่เป็นทุนเดิมโดยที่ ไม่คุณอาจจะไม่รู้ ซึ่งโดยมากมันก็คือรถที่มีเครื่องยนต์หัวฉีดนั้นแหละสามารถใช้ได้อย่างไร ปัญหา แต่ก็อาจจะต้องมีการปรับแต่งบ้าง

          2.เปลี่ยนชนิดน้ำมัน บางทีน้ำมันเบนซิน 91 อาจจะลาจาก แต่ไม่ใช่กับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ยังสามารถหาเติมได้จากบางปั้มน้ำมัน แต่อาจจะต้องยอมรับว่าน่าจะมีจำนวนน้อยลง การเปลี่ยนชนิดน้ำมันนั้น ในข้อเท็จจริงก็ไม่ได้เป็นปัญหาใดๆ กับระบบเครื่องยนต์อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะโดยมาก เราจะได้ยินการแนะนำให้เติมน้ำมัน คือความต้องการขั้นต่ำของน้ำมันที่ควรเติม ดังนั้นถ้าหันไปเติมเบนซิน 95 ก็ไม่ต้องกังวล ไม่มีปัญหาใดๆ แต่แน่นอนว่าจะเจอราคาที่ช๊อก   

          3.ปรับระบบน้ำมัน ปัญหาเรื่องแก๊สโซฮอลล์ที่น่ากังวลไม่ใช่คุณสมบัติน้ำมัน แต่เป็นคุณสมบัติแอลกอฮอลล์ต่างหากที่มีฤทธิ์ในการกัดกร่อนพอสมควร ทำให้อาจจะเป็นปัญหา งานนี้ข้อหลักคือระบบน้ำมันหรือระบบส่งน้ำมันแล้วแต่ใครจะเรียก ซึ่งปัญหามักอยู่ที่ถังน้ำมัน ซึ่งบางรุ่นที่เป็นเหล็กจะไม่สามารถทนแก๊สโซฮอล์ลที่จะกัดถังจนเป็นสนิมได้ นี่ยัง รวมถึงท่อยางต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันท่อยางใหม่ๆสามารถทนแก๊สโซฮอลล์ได้ดีพอสมควรในระดับหนึ่ง รวมไปถึงพวกชุดซีลและโอริง ต่างๆ บางทีแวะไปให้ช่างจัดการเปลี่ยนจัดการในราคาไม่เท่าไรได้เช่นกัน

          4.เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่  แม้การจัดการระบบน้ำมันจะช่วยให้รถสามารถใช้งานต่อได้แต่มีบางรุ่นที่ เครื่องยนต์เองก็ไม่สามารถรับได้กับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกลุ่มคาร์บูเรเตอร์เอง ที่ต้องการปรับตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่บางครั้งปัญหาที่ว่านี้ก็ไม่ได้จบอย่างที่คาด เพราะ เครื่องยนต์คือเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมากในการปรับตั้ง ซึ่งวิธีจบปัญหาหนึ่งก็คือการที่เราเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งจะทำให้รถมีความสามารถนี้ขึ้นมาโดยปริยายทันทีที่เป็นระบบเครื่องยนต์ แบบหัว และยังเป็นการบำรุงรถไปพร้อมกันด้วย

          5.ติดแก๊ส อาจจะมองว่าเป็นทางออกที่สิ้นคิด แต่ให้ตายเถอะ การติดแก๊สคือแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่มากเกินไปนัก ทำให้การติดแก๊สอาจจะเรียกว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดทางหนึ่งจากการเลิกพึ่ง พาน้ำมัน แต่การติดแก๊สก็อาจจะแรกมาด้วยการดัดแปลงสภาพเล็กน้อย พร้อมกับภาระที่ต้องดูแลเครื่องยนต์มากยิ่งขึ้นในอนาคต ยิ่งใครที่ยังใช้เครื่องยนต์ดั้งเดิมที่มีอายุมานานกว่า17-18 ปีแล้ว ก็อาจจะมีโอกาสพบข้อบกพร่องต่างๆมากขึ้น เมื่อหันมาใช้แก๊ส

                ทั้ง5 ทางออกนี้ถือเป็นประเด็นที่กำลังมีการพูดถึงกันไม่มากก็น้อยในหมู่คนที่ กำลังได้รับผลกระทบจากการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ที่ยังมีเวลาอยู่อีกราวๆ 3 เดือน ก่อนที่น้ำมันนั้นจะหมดไปจริงๆ ซึ่งหมายความว่า ยังมีเวลาที่พอจะศึกษา แต่ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องตัดสินใจให้ดีเสียก่อน ....

Thank : Sanook
.................................................................................................

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

เป็นหนุ่มหน้าใสดูอ่อนกว่าวัย


5 วิธีดูแลตัวเองให้เป็นหนุ่มหน้าใสดูอ่อนกว่าวัยถูกใจสาว ๆ  
          ยุคนี้แล้วใช่ว่าจะมีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องคอยดูแลตัวเองให้ดูดีตลอดเวลา ผู้ชายอย่างเราก็จำเป็นต้องหันมาเอาใจใส่ตัวเองกันให้มากขึ้นด้วยเหมือนกัน เพื่อไม่ให้แพ้หนุ่มหน้าใสคนอื่นที่เล็งสาวคนเดียวกับเราอยู่ยังไงล่ะ ซึ่งถ้าคุณมีผิวหน้าหยาบกร้านหรือเต็มไปด้วยสิวอุดตันก็อาจทำให้สาว ๆ พากันเมินเอาได้ง่าย ๆ เพราะทำให้คุณดูเป็นคนไม่รู้จักใส่ใจตัวเองขึ้นมาทันที ดังนั้นถ้าใครอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นหนุ่มฮอตโดนใจสาว ๆ ก็ลองมาอ่านวิธีดูแลผิวหน้าให้ดูใสอ่อนกว่าวัย ที่กระปุกดอทคอมรวบรวมมาฝากกันเลยดีกว่าครับ

 1. ใช้คลีนเซอร์เข้าช่วย
          ที่จริงแล้วผิวคนเราก็เหมือนฟองน้ำนี่แหละ ที่พอเจอสิ่งสกปรกเข้าหน่อยก็จะดูดซับสิ่งเหล่านั้นเข้ามาเรื่อย ๆ จนยากที่จะกำจัดได้ ทำให้เกิดปัญหาสิวลุกลามจนไม่น่ามอง หรือแม้คุณอาจยังมองไม่เห็นผลเสียที่เกิดกับใบหน้าตอนนี้ แต่พอนานวันเข้า...สุดท้ายสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่เหล่านี้ก็สามารถทำใบหน้าของคุณหยาบกร้านและเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นมากกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกันได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่อยากเจอปัญหาแบบนี้ก็ควรหาคลีนเซอร์ดี ๆ มาใช้ล้างหน้าเถอะ จะได้ช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกไปให้มากที่สุด

 2. โทนเนอร์ก็สำคัญ
          อย่าคิดว่าโทนเนอร์เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายอย่างเราก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกัน เพราะเวลาที่เราใช้คลีนเซอร์ทำความสะอาดผิวหน้าแล้ว แม้จะช่วยให้ใบหน้าสะอาดขาวใสก็จริงอยู่ แต่มันก็เป็นการขยายรูขุมขน ทำให้มีสิ่งสกปรกมาเกาะติดตามใบหน้าได้มากขึ้นเช่นกัน เราจึงควรใช้โทนเนอร์ซึ่งสามารถช่วยกระชับรูขุมขนเช็ดตามหลังจากล้างหน้าเสร็จทุกครั้ง เพื่อให้ตัวเรามีผิวหน้าที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น

 3. บำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
          หลังจากทำความสะอาดใบหน้าด้วย 2 วิธีแรกแล้ว หากไม่บำรุงให้ดีผิวหน้าของคุณก็อาจขาดความชุ่มชื้นจนเกิดรอยตีนกาไม่น่าดูเอาได้อย่างรวดเร็ว เพราะแม้ว่าน้ำมันจะเป็นตัวเรียกสิว แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยบำรุงหน้าของคุณไม่ให้แห้งแตกเป็นขุยด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากต้องการให้ตัวเองดูเด็กด้วยผิวหน้าใสกระจ่างแล้ว การบำรุงใบหน้าด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น จึงถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว 

 4. ขัดผิวหน้าเป็นประจำ
          หากคุณขัดผิวดี ๆ จะเป็นการช่วยดูแลรักษาผิวหน้าได้ดีพอ ๆ กับ 2 วิธีแรกรวมกันเลยทีเดียว เพราะการขัดผิวจะเป็นการช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปแล้ว ให้ใบหน้าได้ผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีขึ้นมาแทน อีกทั้งยังช่วยลดสิวและทำให้ใบหน้าดูกระจ่างใสขึ้นมาทันที ดังนั้นถ้าหนุ่ม ๆ คนไหนอยากมีหน้าขาวใสมัดใจสาว ๆ ก็อย่าลืมขัดผิวหน้าด้วยสครับอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งนะครับ

 5. ลองนวดหน้าดู
         นอกจากพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมหล่อตามร้านค้าแล้ว วิธีธรรมชาติอย่างการนวดก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนะครับ เพราะการนวดแต่ละจุดบนใบหน้านั้นสามารถช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและระบบการไหลเวียนของเลือดได้ดี ซึ่งคุณจะใช้มือกดนวดตามจุดต่าง ๆ ของใบหน้าหรือจะใช้เครื่องช่วยนวดที่มีขายอยู่ทั่วไปก็ได้ ลองนวดดูอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เท่านี้ก็จะช่วยให้ผิวของคุณดูอ่อนวัยขึ้นเองนั่นแหละ

          ทั้งนี้เวลาจะเลือกซื้อพวกครีมบำรุงมาใช้ก็ควรเลือกชนิดที่ออกแบบมาไว้เฉพาะสำหรับผู้ชาย และเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวหน้าของตัวเอง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คราวนี้คุณก็จะมีใบหน้าที่หล่อใส แลดูอ่อนกว่าวัยแล้วล่ะครับ

Thank : k@pook
................................................................................................

สวมบูทให้ดูเท่แบบมีสไตล์


อยากสวมรองเท้าบูทให้ดูเท่แบบมีสไตล์ ง่ายนิดเดียว
           หากสังเกตแฟชั่นรอบ ๆ ตัวของคนในสมัยนี้เราจะเห็นได้ว่า มีผู้ชายจำนวนมากหันมาใส่รองเท้าบูทกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเรื่องของดีไซน์การออกแบบที่บรรดาผู้ผลิตรองเท้าชั้นนำต่าง ๆ พยายามครีเอทรองเท้าบูทให้ดูน่าสวมใส่ขึ้น รวมทั้งสามารถใส่เป็นรองเท้าแฟชั่นหรือใส่ทำงานไปในตัว แทนที่จะเป็นรองเท้าสำหรับใส่เดินป่า ขึ้นเขา อะไรทำนองนั้นเพียงอย่างเดียว 

           อย่างไรก็ตาม การเลือกรองเท้าบูทมาใส่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะมันไม่ใช่รองเท้าชนิดที่เข้าได้กับทุกคน รวมไปถึงเสื้อผ้าแต่ละชุด ดังนั้น วันนี้เลยนำเคล็ดลับการเลือกรองเท้าบูทให้เหมาะกับตัวเองแบบง่าย ๆ รวมไปถึงข้อดีของรองเท้าชนิดนี้มาเผยให้ทราบกันครับ

          ข้อดีที่รองเท้าบูทมีโดดเด่นเหนือรองเท้าแบบอื่น ๆ ก็คือ เรื่องของประโยชน์ใช้สอย เพราะคุณสามารถใส่รองเท้าบูทได้หลากหลายงาน จะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ รวมไปถึงยังสวมใส่เข้ากับเสื้อผ้าได้หลายสไตล์ (ถึงจะแอบแมทช์กันยากไปนิดนึง) แต่ที่แน่ ๆ คือมันทำให้คุณดูเท่ขึ้นมากเลยล่ะ

          ในช่วงที่อากาศเย็นหรือในฤดูหนาว เจ้ารองเท้าบูทนี่แหละเป็นคำตอบที่ใช่ที่สุดสำหรับคนที่มองหารองเท้าเพื่อปกป้องเท้าของตัวเองจากความหนาวเย็น ซึ่งมีทั้งแบบหุ้มข้อไปจนถึงบูทที่มีความยาวสูงไปจนถึงครึ่งแข้ง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าจะเลือกใส่แบบไหน

          สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ต้องการเพิ่มความสูงของตัวเองเพื่อให้ดูสมาร์ทขึ้น รองเท้าบูทคือตัวช่วยอันดับหนึ่งของคุณเลยล่ะ เพราะเดี๋ยวนี้มีบูทแบบเสริมส้นรองเท้าผลิตออกมาเป็นจำนวนมากให้คุณได้ซื้อหามาใช้กัน จะเอาสูงขนาดไหน ก็มีให้เลือกทั้งนั้น คราวนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องส่วนสูงอีกต่อไปแล้ว

          วันไหนที่คุณอยากเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวให้ดูแปลกตาขึ้น แนะนำให้หยิบรองเท้าบูทคาวบอยมาสวมใส่คู่กับกางเกงยีนส์ และเสื้อเชิ้ตลายสก็อตเก๋ ๆ สักตัว ทีนี้ล่ะ จากหนุ่มที่แต่งตัวบ้าน ๆ ธรรมดา กลายมาเป็นหนุ่มเซอร์สไตล์คาวบอยตะวันตก เจ๋งป่ะล่ะ!

          รองเท้าบูทประเภทใส่ปีนเขา ลุุยป่าน่ะ เรื่องความอึด ความคงทน อันนี้คงไม่เถียงหากคุณจะเลือกสวมใส่ไปทำกิจกรรมเอาท์ดอร์เหล่านั้น แต่ขอเถอะครับ...โปรดเลี่ยงที่จะนำมาใส่เดินตามท้องถนนทั่วไป หรือกระทั่งใส่ไปงานที่เป็นทางการ คนอื่นเห็นเขาจะมองคุณด้วยสายตาแปลก ๆ น่ะสิ ว่าคุณเตรียมไปเดินป่าคอนกรีตเหรอเนี่ย

          เมื่อคุณต้องการใส่รองเท้าบูทคู่กับกางเกงยีนส์ตัวเก่งแล้วล่ะก็ ควรเลือกยีนส์ที่เป็นแบบขาตรงหรือขาเดฟนะ เพราะปลายขากางเกงนั้นควรจะต้องหลบเข้าไปอยู่ในรองเท้าบูท ซึ่งหากเป็นยีนส์ชนิดอื่นที่ปลายขากางเกงบานออกหรือมีขนาดใหญ่ จะทำให้ใส่เข้าไปในรองเท้าไม่ได้นั่นเอง

          ต่อเนื่องมาจากข้อเมื่อสักครู่นี้ กรณีที่คุณอยากให้ปลายกางเกงโผล่ออกมานอกบูท แนะนำให้เลือกใส่กับยีนส์ขาม้าจะดูดีที่สุด เพราะปลายขากางเกงของยีนส์ขาม้าจะบานออกเล็กน้อย ซึ่งดูเข้ากันอย่างพอเหมาะพอเจาะกับรองเท้าบูทได้เป็นอย่างดี

          ถ้าเกิดคุณตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะเลือกจับคู่รองเท้าบูทใส่คู่กับกางเกงยีนส์แล้ว เสื้อที่จะนำมาใส่ให้เข้ากันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากสองไอเทมนี้สามารถใส่กับเสื้อได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตหรือเสื้อยืดก็ตาม นอกจากนี้ก็ยังเสริมลุคให้ดูเฟี้ยวขึ้นอีกได้ด้วยแจ็คเก็ตยีนส์เท่ ๆ สักตัว แค่นี้ก็ดูดีแล้ว

          เลือกสวมรองเท้าบูทให้เหมาะสมกับกิจกรรมหรือสถานที่ เช่น รองเท้าบูทที่ใช้ปีนเขาก็ควรใส่ในยามที่ต้องทำกิจกรรมแบบลุย ๆ รองเท้าบูทหนังขัดเงา เหมาะสำหรับใส่ไปงานที่เป็นทางการหรือนัดประชุมกับลูกค้า และรองเท้าบูทสไตล์คาวบอย ก็เอาไว้ใส่ไปแฮงค์เอาท์กับก๊วนเพื่อนในวันหยุดพักผ่อน เป็นต้น 

           เอาล่ะ ในเมื่อทราบเคล็ดลับการเลือกใส่บูทแต่ละชนิดให้เหมาะกับตัวเองกันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของคุณแล้วล่ะครับ ว่าจะหยิบจับคู่ไหนมาใส่ในโอกาสใดได้บ้าง หรือสำหรับคนที่กำลังดู ๆ อยู่ ก็จะได้มีวิธีพิจารณาการเลือกซื้อรองเท้าบูทที่เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองได้อย่างถูกต้องนั่นเอง

Thank : k@pook
.....................................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

ชาขาว ต้านหน้าเหี่ยว

          การดื่ม ชาขาว มีผลดีต่อสุขภาพของคนเรามากมาย อีกทั้งยังช่วยลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าอีกด้วย

          ผลงานการวิจัยทางด้านการดื่มชาอันล่าสุดระบุว่า การดื่ม ชาขาว มีผลดีต่อสุขภาพของคนเรามากมายไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง การเกิดโรคไขข้ออักเสบ และลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า อีกด้วย งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัลยคิงสตัน ประเทศอังกฤษ

          นักวิจัยได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติและสารอาหารจากพืชผักชนิดต่างๆ กว่า 21 ชนิด และสารสกัดจากสมุนไพรประเภทต่างๆ ว่ามีประโยชน์และโทษต่อร่างกายคนอย่างไร และจากผลงานวิจัยก็พบถึงประโยชน์ของสารอาหารที่อยู่ในชาขาวที่ชัดเจนมาก

           ศาสตราจารย์นอธตัน จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยคิงสตัน เปิดเผยว่า ในชาขาวจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และตัวต้านการเกิดปฏิกิริยาของสารอื่นๆ กับออกซิเจน หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแด้น ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งปละโรคเกี่ยวกับหัวใจ มากไปว่านั้นสารที่สกัดได้จากชาขาวจะมีผลดีต่อโครงสร้างของผิวหนัง คือสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิวหนัง ช่วยในด้านความยืดหยุ่นของผิวหนัง ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ส่งผลให้การทำงานของปอด เส้นเลือด เส้นเอ็นต่างๆ และผิวหนังทำงานได้อย่างดีเยี่ยม

           จากการทดลองพบว่าสารประกอบในชาขาวจะช่วยป้องกันการทำงานของเอมไซม์ตัวที่จะเข้าไปทำลายชั้นอีลาสตินและคอลลาเจน (สารที่พบในข้อต่อ) ทั้งหลาย ซึ่งถ้าสองสิ่งนี้ถูกทำงานจะส่งผลให้ผิวหนังเหี่ยวย่น มากไปกว่านั้นชาขาวยังสามารถต่อต้านการทำงานของเอมไซม์บางชนิดที่เข้าไปทำงานการทำงานของข้อต่อกระดูก ทำให้ไขข้ออักเสบ หรือที่รู้จักกันดีว่าโรครูมาตอยด์ และเป็นที่ทราบกันดีว่าเอมไซม์และปฏิกิริยาการรวมตัวกับออกซิเจนของสารในร่างกาย (oxidant) เป็นสิ่งสำคัญของการทำงานหลักๆในร่างกายคน แต่ถ้าปฏิกิริยาเหล่านี้มีมากเกินไปหรือผิดปกติก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย
...................................................................................................

ใช้กากกาแฟขัดหน้าใสปิ๊งจริงหรือ

          เห็นสาว ๆ สั่งกาแฟสดมาดื่มแต่บางคนขอผงกาแฟจากคนขาย ติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยซึ่งผู้ขายก็ให้ฟรี โดยไม่คิดเงินสอบถามได้ความว่าเพื่อนำไปขัดหน้า ขัดผิวกาย โดยจะผสมกับน้ำผึ้ง ขมิ้น ไพล โลชั่น นมผง หรือโยเกิร์ต แล้วแต่สูตรใครสูตรมัน เพราะมีความเชื่อว่า การนำไปขัดหน้า ขัดผิวพรรณ จะทำให้ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา สะอาดหมดจด ขาวผ่องเป็นยองใย ไร้สิว ฝ้า พอลงมือค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ก็พบว่า ข้อมูลในเรื่องนี้มีการนำเสนออย่างแพร่ หลาย ถึงขนาดบางคนทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่ายเลยทีเดียว

        ด้วยเหตุนี้จึงมาพูดคุยกับ รศ.พญ. พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาจิตวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย เพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้

        รศ.พญ.พรทิพย์ กล่าวว่า เมล็ด กาแฟที่คั่วแล้วก็กลายเป็นถ่านคาร์บอนสีดำ ๆ ซึ่งบางคนอาจจะมีความเชื่อว่าน่าจะดูดซับสิ่งสกปรกได้ เห็นได้จากเวลาเรากรองน้ำจะมีการใช้ถ่านในกระบวนการกรองด้วยถ่าน ก็จะเป็นตัวดูดซับสิ่งปลอม ๆ ต่าง ๆ ออกไป หรือในทางการแพทย์ได้มีการนำถ่านชนิดหนึ่ง มาให้คนไข้ผิวหนังรับประทาน เพื่อลดอาการคันจากไตวาย เนื่องจากมีความเชื่อว่าอาจจะมีสารบางอย่างที่ทำให้เกิดอาการคัน ถ่านดังกล่าวก็จะไปช่วยดูดซับสิ่งไม่ดีที่ทำให้เกิดอาการ คันออกไป นอกจากนี้ยังมีการนำกาแฟมาใช้ในการดีท็อกซ์ ลำไส้ ด้วยการละลายน้ำสวนเข้าไป เพื่อให้กาแฟไปดูดซับสิ่งที่ไม่ดีในร่างกายออกมา

         เพราะฉะนั้นการที่คนเรานำผงถ่านของกาแฟคั่วมาขัดใบหน้า หรือขัดผิวพรรณ เพื่อความสวยความงามนั้น หลายคนก็คงจะคิดว่าที่บริเวณใบหน้าอาจจะมีสิ่งสกปรกอยู่ ดังนั้นหากใช้ผงถ่านจากกาแฟไปดูดซับออกคงจะดีขึ้น

         ส่วนที่บอกว่าจะทำให้ใบหน้า หรือผิวพรรณขาวเนียนขึ้นนั้น คงไม่จริง และเป็นไปไม่ได้ ผงถ่านอาจแค่ไปดูดซับสิ่งสกปรกออกเท่านั้น ความจริงหน้าของคนเราสะอาดอยู่แล้ว ไม่ถึงขั้นต้องไปดูดซับสิ่งสกปรกอะไรออกมา ดังนั้นการนำผงกาแฟมาขัดหน้า จึงคิดว่าเป็นเพียงการทำตามกระแสเท่านั้น

          กรณีที่บางคนมีการนำไปผสมกับน้ำผึ้ง นมผง หรือสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ก่อนนำมาพอกหน้านั้น ก็คงเป็นการคิดสูตรกันไป อย่างน้ำผึ้ง หรือนมผง ก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนัง ส่วนผงถ่านก็คงจะไปดูดซับน้ำมันที่บริเวณผิวหนังที่มีมากเกินออกมา แต่คงไม่ไปทำให้หน้าขาวหรอก

          สำหรับสมุนไพรต่าง ๆ อย่าง ผงขมิ้น ไพล หรือโยเกิร์ต เพื่อนำมาขัด หรือพอกหน้านั้น รศ.พญ.พรทิพย์ กล่าวว่า คนก็คงคิดว่า เมื่อสมุนไพรเหล่านี้มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และสมุนไพรบางตัว ก็มีการนำมาใช้กับผิวหนังอยู่แล้วก็เลยนำมาเป็นส่วนผสม

          อย่างโยเกิร์ตก็มีกรด บางอย่างในนม ผู้ที่นำมาผสมก็คงจะหวังผลว่า น่าจะทำให้ใบหน้า และผิวพรรณนุ่มนวลขึ้น หรือบางคนผสมกับโลชั่นก็คงหวังผลว่า น้ำมัน หรือโลชั่น จะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นขึ้น

          หมอคิดว่า คนที่นำผงถ่านกาแฟมาขัดหน้า ขัดผิวพรรณ คงคิดว่า การขัดหน้าก็เป็นเหมือนการขัดผิวภายนอกเบา ๆ คงจะช่วยทำให้ผิวที่มันไม่ลื่น รู้สึกว่าลื่นขึ้น เนื่องจากมีการขัดผิวบางส่วนออกไป

           มองแล้วในยุคนี้ก็ถือ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะอย่างเมืองนอกก็มีเม็ดสครับ ที่ผสมในโฟมล้างหน้าหรือสบู่ซึ่งเป็นสารที่ สังเคราะห์ขึ้น คนก็เลยคิดว่าใช้ถ่านก็ได้ ทำไมต้องไปใช้สิ่งที่สังเคราะห์ขึ้นมา ถ้าหากจะใช้ทรายก็อาจจะหยาบจนเกินไป ผงถ่านกาแฟอาจจะดูละเอียดกว่า

        ถามว่ามีการนำผงถ่านกาแฟมาใช้กับใบหน้า หรือผิวพรรณ มีโทษหรือมีข้อเสียหรือไม่ คิดว่า มันก็คงไม่มีโทษอะไร อีกทั้งได้มาฟรีด้วย ก็ถือว่า เป็นการขัดผิวอย่างหนึ่ง โดยใช้สิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่การนำผงถ่านกาแฟมาผสมกับสิ่งต่าง ๆ อาจจะทำให้เกิดการแพ้ได้ในบางราย

        สรุปว่า การขัดหน้าด้วยผงถ่านกาแฟคงไม่มีอันตรายอะไร ส่วนผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นอย่างไรบอกไม่ได้ รู้แต่ว่าบางคนหากได้ทำอะไรกับใบหน้าตัวเองแล้วมีความสุข สบายใจ ก็อาจคิดไปเองว่าใบหน้า หรือผิวพรรณดีขึ้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนไป

Thank : Healthcorners
................................................................................................