tororichclub

tororichclub

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มากาลูน หรือภาษาฝรังเศษเรียกว่า มาการอง...




          มันคือขนม มากาลูน หรือภาษาฝรังเศษเรียกว่า มาการอง หรือมากาแรง นิยมทานกับกาแฟรสชาด หวานแหลม
          เห็นมันสวย น่ากินเลยเอามาฝาก ความรู้สึกส่วนตัวนะ ผมว่าขนมไทย อร่อยกว่าเยอะเลย แพงก็แพง แต่ก็แล้วแต่คนชอบนะคราบ...







          ลองหามาทานกันดูนะครับ...

...................................................................................

ทำเค้กง่ายๆ...ด้วยไมโครเวฟ



ส่วนผสม
1. แป้งเค้ก 2 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำตาลป่น 2 ช้อนโต๊ะ
3. ผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ
4. กาแฟผง 1 ช้อนชา
5. ไข่ไก่ฟองเล็ก 1 ฟอง
6. นม 1 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำมันทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ
8. ช็อคโกแลคสับหยาบ

วิธีทำ
1. ใช้ถ้วยกาแฟใบใหญ่
2. ผสมแป้งเค้ก น้ำตาลป่น ผงโกโก้ และผงกาแฟ คนให้เข้ากัน
3. ตอกไข่ใส่และใช้ส้อมคนจนเข้ากัน
4. เติมนม น้ำมันทานตะวัน คนให้เข้ากัน
5. เติมชอคโกแลตสับหยาบหรือชอคโกแลตชิป
6. ใส่ไมโครเวฟ ใช้ไฟสูงสุด 2 1/2 นาที
7. หลังจากเอาออกจากไมโครเวฟ พักไว้ 1 นาที และเสิร์ฟพร้อมครีมหรือไอศกรีม


 * สำหรับคนที่อยากลองทำเค้งแต่ไม่มีเตาอบขนมใหญ่ๆเหมือนทางร้าน ทำคล่องแล้วเปลี่ยนส่วนผสมได้ตามชอบจะได้เค้กแบบใหม่ที่ทำเองได้ง่ายๆ 


.............................................................................................


วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กินไข่ บำรุงสมอง กันสมองฝ่อก่อนวัยอันควร!



        ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ เป็นไหม เวลาสั่งอาหาร นึกอะไรไม่ออกต้องเมนู ข้าวกระเพรา + ไข่ดาว ไว้ก่อน หรือถ้าเด็กน้อยหน่อย ไม่กินเผ็ด ต้องเป็นอาหารไข่ ไข่ดาว ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่เจียว อะไรก็ได้กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือเพิ่มรสชาติคู่กับซอส/น้ำจิ้มที่ชอบ  ว่าแล้ววันนี้พี่ก็จะเล่าเรื่องสารอาหารที่พบในไข่เสียหน่อย เพราะบังเอิญไปได้ยินว่า "ห้ามกินไข่ เดี๋ยวอ้วนและเส้นเลือดอุดตัน" แต่มันไม่จริ๊ง ไม่จริงนะ โดยเฉพาะในวัยเจริญเติบโตอย่างเราๆ แล้ว ยิ่งต้องกินไข่บำรุงกายาและสมองเลยด้วย!
        ก็คงพอทราบดีว่าไข่มีประโยชน์ มีโปรตีน มีกรดอะมิโนที่จําเป็นต่อร่างกาย  และอีกมากมายที่บอกว่าช่วยให้เราเจริญเติบโต นอกจากโปรตีนแล้ว ในไข่ยังมีวิตามินต่างๆ อย่างวิตามินบี อี เอ (ไม่มีแค่วิตามินซีนี่แหละ) และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกด้วย เช่น ธาตุเหล็ก และโฟลิก ที่มีความสำคัญในการป้องกันภาวะเลือดจาง และสำหรับว่าที่คุณแม่ โฟลิกก็มีความสำคัญในการป้องกันความบกพร่องของลูกในครรภ์ เป็นต้น
        มีการศึกษาถึงคุณค่าสารอาหารหลายๆ ตัวไว้   และมีตัวสำคัญตัวหนึ่งหนึ่งคือ เลซิติน ที่พบมากในไข่แดงและถั่ว เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อเซลล์ประสาท ที่เป็นสารที่จำเป็นต่อการสร้าง "โคลีน" (Choline) สารอาหารอีกตัวหนึ่งที่พบได้จากเลซิติน  (งงไหมเอ่ย? ไข่มีเลซิติน และในส่วนประกอบของเลซิตินก็จะมี โคลีน อยู่จ้า)
        มีการศึกษาจากผู้ใหญ่ที่สุขภาพดี และได้รับสารโคลีนเป็นประจำ โดยทำการเปรียบเทียบการทำงานของสมองในส่วนของการรับรู้ความจำว่ามีความแตกต่างอย่างไร มีผลออกมาในทางบวกว่าการได้รับโคลีนเป็นประจำทำให้ลดความเสี่ยงในโรคหลอดเลือดในสมองด้วย สุดยอดเลยนะเนี่ย!
        เจ้าโคลีนเป็นสารในกระบวนการนำพาการจดจำ และเพิ่มพื้นที่สมองส่วนเนื้อขาว ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อความสามารถในการรับรู้ ความสามารถในการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ การพูดการอ่าน รวมทั้งความรู้สึกระวังภัย ความเข้าใจความคิด และเหตุผลที่ทำให้เกิดการแสดงพฤติกรรมอาการต่างๆ  นอกจากนี้ถ้าขาดโคลีน จะทำให้เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเซลล์ตับเสื่อม ตับแข็ง และมะเร็งตับได้อีกด้วยนะ 
        เจ้าโคลีนที่ว่าเนี่ยพบมากได้ในไข่ (ต้มดีกว่าทอด) และเครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะในตับ ถั่วเหลือง แกนข้าวสาลี เหมาะมากสำหรับเด็ก และวัยรุ่นที่กำลังเสริมสร้างทั้งร่างกายและสมองจ้า  
        เพื่อนๆ ทั้งหลายที่งดกินไข่ เพราะกลัวอ้วน ให้หันกลับมาคิดใหม่ เพราะในไข่แดงที่บอกว่ามีคอเลสตอรอลนั้น ก็มีเลซิตินที่ช่วยละลายไขมันและคอเลสตอรอลให้ไม่จับตัวแล้วไปอุดตันในเส้นเลือดด้วยแหละจ้า  ไข่ทำให้เราแข็งแรง สูง สมส่วน สมองดี สร้างกล้ามเนื้อ แต่ต้องประกอบกับการออกกำลังกายด้วยนะ กินได้เลยทุกวันวันละไม่เกินสองฟองกำลังดีจ้า

.........................................................................................

ขนมถ้วย...



        ขนมถ้วยตะไล เป็นขนมไทยโบราณ ที่มีส่วนผสมของแป้ง กะทิ และน้ำตาล มีชื่อเรียกตามภาชนะที่ใส่ นั่นก็คือถ้วยตะไล ที่มีทั้งแบบถ้วยตะไลใบเล็กและใบใหญ่ เป็นขนมที่ตัวแป้งมีรสหวาน กลิ่นหอมของใบเตย หน้าขนมมีรสเค็ม มัน และหวานกะทิเล็กน้อย 
        การทำขนมถ้วยตะไลให้อร่อยนั้น มีเคล็ดลับตั้งแต่การคั้นมะพร้าว ต้องใช้มะพร้าวขูดขาวที่แก่ ขูดใหม่ ๆ คั้นโดยใช้มะพร้าวขูดขาว 1 1/2 กิโลกรัม คั้นด้วยน้ำอุ่น 3 1/2 ถ้วย โดยใส่น้ำอุ่นคั้นทีละน้อย คั้นสักสามครั้ง จนได้กะทิ 6 ถ้วย แล้วช้อนเอาหัวกะทิ 4 ถ้วย และเป็นหางกะทิ 2 ถ้วย ขนมจะมีกลิ่นหอม รสหวาน มีความมันของกะทิ 
        การทำตัวแป้ง ต้องนวดแป้งโดยค่อย ๆ ใส่ส่วนผสมของน้ำตาล น้ำใบเตย และกะทิทีละน้อยจนหมด แล้วละลายให้ส่วนผสมเข้ากันดี  ตัวขนมจึงจะเหนียว ส่วนหน้าขนมต้องหวาน เค็ม มันกะทิ 
ถ้วยที่ใช้ในการนึ่งนั้น ต้องเลือกถ้วยที่มีเนื้อละเอียด ผิวเรียบ เนื้อไม่หนา ถ้วยจะร้อนเร็ว ขนมจึงสุกเร็วด้วย หน้าขนมมีสีขาวของกะทิ  ถ้าถ้วยมีเนื้อหนาก็ต้องนึ่งนาน หน้าขนมจะแตกมัน หน้าไม่เป็นสีขาวจึงไม่น่ากิน
        ถ้วยใช้ได้ทั้งถ้วยตะไลใบเล็กและใบใหญ่ ซึ่งถ้วยใบใหญ่จะแคะขนมได้ง่าย ได้ขนมที่เป็นรูปถ้วยสวยน่ากิน เพราะมีก้นตื้น ปากกว้าง เวลาจะรับประทานขนมถ้วย ต้องรอให้ขนมเย็นก่อน ขนมจะไม่ติดถ้วย ให้ใช้พายอันเล็ก ๆ บาง ๆแคะอย่างรวดเร็ว ใส่ในกระทงใบตองทันที เพื่อไม่ให้หน้าขนมเละ


..........................................................................................

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แง่คิดดีๆ ของเงิน หนึ่งพันบาท...




          อาจารย์คนนึง เริ่มการสนทนาในชั้นเรียนด้วยการควักธนบัตรใบละ 1,000 บาท .. 
ออกมาให้นักศึกษาดู แล้วถามว่า "มีใครอยากได้บ้างไหม" ทุกคนรีบยกมือ \(^o^")a 
อาจารย์ขยำธนบัตรนั้น "จบยับยู้ยี่" .. แล้วถามอีกครั้งว่า "มีใครยังอยากได้ธนบัตรใบนี้อีกหรือไม่" .. ทุกคนยังยกมือขึ้นเหมือนเดิม .. \(^_^)/ 
          อาจารย์ถามต่ออีกว่า "ถ้าสมมุติว่า ธนบัตรใบนี้ถูกทิ้งอยู่บนพื้น แล้วมีคนมาเหยียบย่ำจนสกปรก ยังจะมีใครอยากได้อีกหรือไม่" .. นักศึกษาทุกคน ก็ตอบว่ายังอยากได้ ..... 
อาจารย์จึงกล่าวสรุปว่า .. 
          "นั้นคือสิ่งมีค่า" ที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้! .. ไม่ว่าจะเธอจะทำอะไรกับธนบัตรใบนี้ มันก็ยังคงจะมีราคา 1,000 บาท อยู่เสมอ .. ชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกัน 
          บางครั้ง เราอาจจะถูกทอดทิ้ง ถูกใครต่อใคร ซ้ำเติม, เหยีบย่ำ, ถูกขยี้, ยับเยิน, .. 
เพราะความผิดพลาดในการก้าวเดินของชีวิต จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเอง "ไร้ค่า" 


          แต่ รู้มั้ย?.. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็ยังมี "คุณค่าของความเป็นคน" .. 
ไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยม หรือว่า ยับยู้ยี่ .. "ตัวเราก็ยังมีค่าที่สุดเสมอ" จำไว้ ...


          สิ่งที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่คน ที่ "เปลี่ยนไป"
แต่เป็นตัวเราเอง ที่ไม่เข้าใจการ "เปลี่ยนแปลง"?


.......................................................................................

ขอดีเเละข้อเสียของการกินอาหาร รสเผ็ดจัด !!




        ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคป ไซซิน" พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม    คนที่กินพริกนานๆ จะทำให้ติดเผ็ด จากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่า คนไทยกินพริกมากที่สุดเฉลี่ย 5 กรัมต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ช้อนชา  


         ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง
         เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่ง ความสุข คือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเรสเตอรอลจากงานวิจัยของญี่ปุ่น พบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดกินพริกจะดี
        การกินพริก ยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่
        คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน นอกจากนี้วิตามินซีในพริก ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย  
         นอกจากการบริโภคแล้ว พริกยังถูกนำมาทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด  
          ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือ รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด จะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น นพ.กฤษดา บอกว่าสารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริก ไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร น่าจะมาจากการกินอาหารมันๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชม. ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร  แต่การกินอาหารเผ็ดจัด อาจทำให้เกิดอาการ เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารในพริกซึ่งเป็นกรด จะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่ 
          กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้
         คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซิน จะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้
เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือ ไอศกรีม ทั้งนี้ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวานหรือแกงต่าง ๆ ที่ใส่กะทิ

         ข้อควรระวัง

         คือ ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกันเพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบบวม หายใจไม่ออกได้

         สรุปว่า การกินอาหารเผ็ด ๆ มีแต่ข้อดี แทบจะไม่มีข้อเสีย แต่ก็ควรระวังพริกป่น พริกซอง ที่อาจมีสารอะฟลาทอกซิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ


...........................................................................................

นักวิจัยเผยดื่มกาแฟช่วยยับยั้งมะเร็งผิวหนังได้


          ผู้ที่ต้องทำงานกลางแดดบ่อย ๆ ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง หรือผู้ที่ชื่นชอบการอาบแดดก็แล้วแต่ ล้วนมีความเสี่ยงกับการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้อาจใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง เมื่อมีวิธีที่ยับยั้งการเป็นมะเร็งผิวหนังแบบง่าย ๆ ได้ นั่นคือการดื่ม "กาแฟ" ยังไงล่ะ
          จากการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างผู้ชายที่ดำเนินชีวิตประจำวันแตกต่างกันไป มากกว่า 1 แสนคน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟอย่างน้อย 3 ถ้วยต่อวัน จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเบซาล เซลล์ (Basal Cell Carcinoma) น้อยกว่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มเพียงอย่างน้อย 1 ถ้วยต่อเดือน มากถึง 10 เปอร์เซ็นต์


          ทางด้านด็อกเตอร์ฮั่นเจียลี่ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบาดวิทยาและโรคผิวหนังจากโรงพยาบาลสตรีบริคแฮมเมือง บอสตัน ได้กล่าวไว้ว่า ยิ่งกาแฟมีสารคาเฟอีนมากเท่าใดความเสี่ยงก็น้อยลงเท่านั้น โดยคาเฟอีนจากของกินชนิดอื่น เช่น น้ำชา ช็อกโกแลต และโคล่า ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดเบซาล เซลล์ ได้เช่นกัน
          โดยนักวิจัยได้พบว่า รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดสามารถทำลายเซลล์ผิวหนังและทำให้เนื้อร้ายโต ขึ้น แต่พวกเขาก็เชื่อมั่นว่าคาเฟอีนจะช่วยขจัดเซลล์มะเร็งจากแสงแดดได้
          อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคิดว่าการดื่มกาแฟจะช่วยยับยั้งการเป็นมะเร็งผิวหนังได้จนคุณดื่มตลอด เวลาทุกวันก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก เพราะการดื่มกาแฟในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจส่งผลทำให้คุณนอนไม่หลับ ใจสั่น และความดันสูงขึ้นได้ ฉะนั้นถ้าคิดจะดื่มควรดื่มให้พอเหมาะแก่ตัวเองในแต่ะวันด้วยนะครับ


ที่มา ITPLAZA


.................................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ระวัง! นักโทษแหกคุก...


          
          นักโทษคน หนึ่งหนีออกจากคุกซึ่งติดมาเป็น เวลา 15 ปี เขาหนีเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งเพื่อจะหาเงินและปืน แต่กลับพบกับสามี ภรรยาคู่หนึ่งอยู่บนเตียง 
          เขาสั่ง ให้ผู้ชายออกจาก เตียงและมัดไว้กับเก้าอี้ ขณะที่เขามัดผู้หญิงไว้กับเตียง และจูบที่คอ จากนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นเข้าห้องน้ำไปอย่างรีบร้อน


ขณะนั้นเองสามีก็กล่าวกับภรรยาว่า : 
          ‘ฟัง นะ.. ชายคนนั้นเป็นนักโทษหนีคุก ดูที่เสื้อเขาซิ! เขาอยู่ในคุกหลายปีและไม่เคยเจอผู้หญิงเลย ฉันเห็นเค้าจูบที่คอคุณ ถ้าเขาต้องการเซ็ก อย่าขัดขืน หรือบ่นอะไร ทำอย่างที่เขาบอก ชายคนนี้อันตรายมาก ถ้าทำให้เค้าโกรธ เราอาจจะถูกฆ่า เข้มแข็งไว้นะที่รัก ฉันรักคุณ’ 
          ภรรยาเค้า กลับตอบว่า : ‘เขาไม่ได้จูบที่คอฉันหรอกที่รัก เขาแค่กระซิบกับฉันว่าเขาเป็นเกย์ เค้าคิดว่าคุณน่ารัก และถามว่าเรามีวาสลีนมั้ย? ฉันก็ตอบเค้าไปว่า อยู่ในห้องน้ำ เข้มแข็งไว้นะที่รัก ฉันก็รักคุณเหมือนกัน’...


"คลายเครียดครับ บ่ายๆ วันพฤหัสฯ ทำงานอีกวันก็ได้พักผ่อนแล้ว อย่าซีเรียส..."


.............................................................................................

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการเลือกซื้อแหวนผู้ชาย...



          การเลือกแหวน สำหรับผู้ชาย บางครั้งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ผู้ชายบางคน รู้สึกว่า แหวนและเครื่องประดับ เป็นเรื่องของผู้หญิง ทำให้บางครั้งผู้ชายบางคน ไม่ชอบสวมใส่แหวนเพชร ขอใส่เต็มที่ก็แค่แหวนเกลี้ยงก็พอ อย่างไรก็ตาม ถ้าลองทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้ การเลือกซื้อแหวนผู้ชายอาจไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดครับ


เลือกแหวนแต่งงาน ตามไลฟ์สไตล์
          ลักษณะงานที่ทำ? สวมใส่ทุกวันรึไม่? สวมแหวนเวลาออกกำลังกายรึเปล่า? ถ้าเราทำงาน หรือมีงานอดิเรกที่เกี่ยวข้องกับการใช้มือมากๆ เช่น ทำสวน ทำงานช่าง เราก็ควรเลือกใช้แหวนผู้ชาย เป็นแหวนเกลี้ยง เพื่อความทนทานครับ แต่ถ้าเรานานๆ สวมแหวนผู้ชาย หรือแหวนแต่งงาน ที เช่น เฉพาะเวลาออกงาน หรือวันหยุด เราอาจเลือกแบบแหวนที่แปลกหน่อย มีเพชร หรือพลอยประดับ ก็ได้ครับ


เลือกแหวนผู้ชาย ที่สะท้อนบุคลิกและความเป็นตัวตนของเรา
          เช่น ถ้าเป็นผู้ชายแนวเรียบง่าย สบายๆ ก็อาจเลือกเป็นแบบแหวนเกลี้ยง แหวนทองเกลี้ยง แหวนทองคำขาวเกลี้ยง หรือ ถ้าเป็นผู้ชายแนวแบบชอบความแตกต่างบ้าง เล็กน้อย ไม่มากนัก ก็อาจเลือกเป็นพวกแหวนสองกษัตริย์ ทองกับทองขาว หรือทองกับทองชมพู ก็ได้ครับ ตอนนี้ pink gold ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากทีเดียว หรือ อาจทำผิวเป็นพ่นทราบ หรือ แลลาย ก็ได้ครับ


เลือกแหวนที่ใส่สบาย
           ผู้ชายหลายคน อาจรู้สึกไม่สบาย เมื่อสวมแหวน เพราะไม่เคยสวมมาก่อน เคล็ดลับในการเลือกแหวนผู้ชายที่ใส่สบาย ให้ดู รูปทรงของแหวน และขนาดความกว้างของแหวนครับ สำหรับรูปทรงแหวนผู้ชายที่ใส่สบาย ขอบบนล่าง ควร เป็นมุมมน มากกว่ามุมแหลมคม ด้านในของแหวนของเป็นทรงโค้ง ไม่ได้เป็นเรียบๆ หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Comfort Fit ทำให้สวมใส่สบายขึ้น สำหรับความกว้างของแหวน แหวนผู้ชายโดยมากจะกว้างกว่าแหวนผู้หญิง ขนาดที่นิยม หน้ากว้างประมาณ 5-7 มม ถ้าอยากได้ขนาดที่กว้างกว่านี้ ให้ลองสวมใส่ ดูก่อนนะครับ แหวนหน้ากว้างมากๆ มักสวมใส่ไม่สบาย


แหวนผู้ชาย ควรฝังเพชร หรือพลอยหรือไม่
          อันนี้คงแล้วแต่ความชอบของแต่ละคนครับ แต่ถ้าจะฝังพลอย อยากแนะนำให้เลือกเฉพาะพวกพลอยเนื้อแข็ง อย่าง ไพลิน บุษราคัม ทับทิม (Sapphire, ruby) เพราะทนทานกว่าพวกพลอยเนื้ออ่่อน อย่าง โอปอล มรกต อเมทิส มากครับ

.........................................................................................

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ยึดทรัพย์ สุพจน์ ทรัพย์ล้อม 64.7 ล้านบาท



          ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ สุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ร่ำรวยผิดปกติ ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดฟ้องยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 64.7 ล้านบาท ยันมีรายได้จากการรับราชการ การทำงานนอกเวลา และการออกแบบสิ่งก่อสร้างน้อยกว่าทรัพย์สินที่มากผิดปกติ


ทรัพย์สินดังกล่าว ประกอบด้วย
          1.เงินสดของกลางจำนวน 17,553,000บาท และทองคำรูปพรรณน้ำหนัก 10บาท
          2.รถยนต์ยี่ห้อ Volkwagen รุ่นCaravelle หมายเลขทะเบียนฮต-8822 กทม.
             มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท
          3.ทรัพย์สิน ซึ่งได้แก่ เงินฝากธนาคาร ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง รถยนต์ 
             จำนวน  44,185,587.52 บาท


"นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า..."
.................................................................................

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กระเพาะปลา...อาหารร่อย หาทานง่าย แถมมีประโยชน์...



          คุณเคยสงสัยกันหรือไม่ ว่า "กระเพาะปลา" มันคืออะไร? ทำมาจากไหน? อย่างไร?
อาหารที่เราเรียกกันว่า "กระเพาะปลา" นั้นจริงๆเเล้วไม่ได้ทำมาจากกระเพาะของปลาเลย   เเต่ส่วนที่เรานำมาประกอบอาหารเป็นกระเพาะปลานั้นจริงๆเเล้วทำมาจาก "ถุงลมปลา"ต่างหาก
          ถุงลมของปลาเป็นอวัยวะส่วนที่นุ่มอร่อย เมื่อนำมาปรุงรส การนำถุงลมมาเเปลงโฉมเป็นกระเพาะปลาจะต้องลอกเอาเส้นเลือดและกล้าเนื้อออกให้หมดแล้วจึงนำไปทอด กระเพาะปลามีหลายระดับราคาแล้วแต่ความอร่อย และขนาดของกระเพาะปลา ปกติจะได้จากถุงลมของปลามังกร ปลาจวด ปลากระพง ปลาริวกิว กระเพาะปลาที่มีราคาเเพงคือ กระเพาะปลามังกร เรียกว่า "เหมี่ยนฮื่อ" ซึ่งช่วยบำรุงกำลังวังชาได้ดี ที่เราได้รับประทานกันบ่อยๆนั้นก็คือ กระเพาะปลากระพง ซึ่งราคาก็จะถูกแพงต่างกันไป ยิ่งเป็นปลาทะเลน้ำลึกก็จะยิ่งแพงมากขึ้น
          ชาวจีนรู้จักกินกระเพาะปลามานานกว่า 1,600 ปีแล้ว และยังใช้กระเพาะปลาเป็นเครื่องบรรณาการที่หัวเมืองแถบชายฝั่งทะเลจะต้องจัดถวายแด่พระเจ้าแผ่นดินจีนมาตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรถัง นอกจากนั้นตำรายาจีนยังถือว่ากระเพาะปลาเป็นยาชูกำลัง มีสรรพคุณในการเสริมหยิน บำรุงเซลล์และเนื้อเยื่อ ทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรงและกระชับ เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้พลังงาน แก้อาการตกเลือด เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เลือดลมไหลเวียนดี ทำให้มีพละกำลัง
          เมนูกระเพาะปลาที่นิยมกันในบ้านเราก็เช่น กระเพาะปลาน้ำแดงกระเพาะปลาผัดแห้ง ยำกระเพาะปลา ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่ถูกปากนักกิน แต่บางครั้งก็ต้องเซ็งเมื่อบางร้านใช้หนังหมูมาหลอกว่าเป็นกระเพาะปลาเสียนี่
สรรพคุณกระเพาะปลา
          กระเพาะปลามีสรรพคุณ เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในหน้าหนาว เป็นยาบำรุงกำลัง  และ เหมาะสำหรับสุภาพสตรีในช่วงหลังคลอดหรืออยู่เดือน เขาว่าจะช่วยให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วครับ คุณแม่บางคนทำให้เด็กๆ หน้าหนาวที 10-20 วัน หายใจทีเป็นไอทางยาว คุณแม่จะตุ๋นหื่อเผีย(อย่างเล็ก ราคาไม่แพง)ให้ลูกๆกินแก้หนาว อร่อยดี  เวลากินไม่หมดเก็บในตู้เย็น มันจะกลายเป็นเจลาตินแบบน้ำขาหมู กินอร่อยไปอีกแบบ เป็นอาหารที่นิยมบริโภคในคนจีนมาตั้งแต่โบราณ

สอบถามข้อมูลการลงทุนเพิ่มเติม โทร. 081-575-8928 เอกสิทธิ์
.............................................................................................


วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เมื่ออยากกิน "กาแฟ..."




เคยไหม? ที่เวลารู้สึกอยากดื่มกาแฟขึ้นมา เมื่อเดินเข้าร้านกาแฟ แล้วไม่รู้ว่าจะสั่งกาแฟชนิดไหนดีครั้นจะบอกคนขายว่าเอากาแฟเย็น กาแฟร้อน เพียงอย่างเดียว คนขายก็อาจจะงง และไม่รู้ว่าจะทำสูตรไหนให้คุณดี
ดังนั้นเราจึงต้องคิดและสั่งสูตรกาแฟเองถูกไหม? แต่ก็นั่นอีกเช่นกัน ถึงแม้ว่าตามร้านกาแฟทั่วๆ ไป จะมีชื่อของสูตรกาแฟให้คุณสั่งอยู่หลายชนิดก็ตาม แต่คุณก็ยังคงไม่ทราบว่าจะสั่งสูตรไหนดี และแต่ละสูตรนั้นเป็นอย่างไร มีรสชาดอย่างไร มีส่วนผสมอะไรบ้าง และแต่ละสูตรนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร
          ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันว่า สูตรกาแฟที่อยู่บนป้ายตามร้านกาแฟต่างๆ นั้น แต่ละสูตรจะเป็นอย่างไร มีรสชาด ส่วนผสมอะไรบ้าง 


คาปูชิโน : Cappuccino มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี ซึ่งจะมี เอสเพรสโซ่และนม เป็นส่วนผสมหลัก คนในประเทศอิตาลีส่วนใหญ่มักมีการดื่มกาแฟชนิดคาปูชิโน่โดยเฉพาะในตอนเช้ากัน ซึ่งก็อาจจะมีขนมปังแผ่นหรือคุ้กกี้ประกอบด้วย
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตของชาวอิตาลีมักไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้าแบบเป็นกิจลักษณะ คาปูชิโนและขนมปังเบาๆ จึงเหมาะเป็นอาหารรองท้องสำหรับยามเช้า และด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ดื่มคาปูชิโนในช่วงอื่นของวัน
ลาเต้ : Latte สำหรับประเภทของกาแฟชนิดถัดมาก็คือ Latte  ลาเต้เป็นภาษาอิตาลี ซึ่งมีความหมายที่แปลว่า นม นั่นเอง ดังนั้นรสชาดจึงมีความหวานและมันจากนม กาแฟลาเต้นี้เป็นที่นิยมอย่างมากนอกประเทศอิตาลีช่วงต้นทศวรรษที่ 1980  นอกจากนี้ กาแฟลาเต้ที่รู้จักกันในอิตาลี ยังมีความหมายที่ใกล้เคียงกับภาษาฝรั่งเศส "café au lait" ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม อีกด้วย
มอคค่า : Mocca เป็นกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง สำหรับที่มาของกาแฟมอคค่านี้ก็เนื่องจาก กาแฟมอคค่านี้เป็นกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่งที่ปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่า ในประเทศเยเมน นั่นเอง ซึ่งกาแฟมอคค่านี้จะมีสีและกลื่นคล้ายชอคโกแลต (แม้ว่าจะไม่มีส่วนประกอบของชอคโกแลตในมอคค่าเลยก็ตาม) ซึ่งก็นับว่าเป็นเอกลัษณ์เฉพาะของกาแฟมอคค่า
นอกจากนี้มอคค่ายังหมายถึง สูตรกาแฟที่มีส่วนผสมระหว่าง เอสเพรสโซ่และโกโก้อีกด้วย
อเมริกาโน : Café Americano สำหรับที่มาของชื่ออเมริกาโนนั้น ตีความกันอย่างง่ายๆ ก็หมายถึงสหรัฐอเมริกานั่นเอง ว่ากันว่าเอสเพรสโซเพียว ๆ นั้น เข้มข้นเกินไปสำหรับคอกาแฟชาวอเมริกา ดังนั้นจึงได้มีการปรับปรุงสูตร โดยมีการนำน้ำร้อนมาเจือจางกาแฟเอสเพรสโซเพือให้มีรสชาดที่เบาบางลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงแม้ที่มาของชื่อจะหมายถึงกาแฟสไตล์อเมริกาก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอเมริกาโนนี้จะเป็นกาแฟที่คนอเมริกานิยมดื่มกัน
เอสเพรสโซ : Espresso และสำหรับกาแฟประเภทสุดท้ายนี้ก็คือ เอสเพรสโซ่ ที่มีรสชาดเข้มข้นที่สุดก็ว่าได้ โดยที่มาของเอสเพรสโซ่นี้ มาจากคำในภาษาอิตาลี ที่แปลว่า เร่งด่วน
เอสเพรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส การสั่งกาแฟ "caffe" ในร้าน ส่วนใหญ่แล้วจะสั่งเป็นกาแฟเอสเพรสโซ่กัน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ดื่มกาแฟเอสเพรสโซ่นั้นจะไม่เติม น้ำตาลหรือนม แต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะลิ้มรสของความเข้มข้นและหนักแน่นของเอสเพรสโซ่แท้ๆ Tips เล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเอสเพรสโซ่ ต้องดื่มในขณะที่ชงเสร็จใหม่ เนื่องจากเอสเพรสโซ๋มีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียรสชาดของเอสเพรสโซ่ที่แท้จริงก็ควรดื่มขณะที่ชงเสร็จใหม่ๆ 
เป็นอย่างไรบ้าง สำหรับประเภทของกาแฟที่นำมาฝากในวันนี้ ทีนี้พอเข้าร้านกาแฟก็จะได้สั่งได้ถูกกันว่าต้องการดื่มรสชาดประมาณไหน หากเช้าไหนที่รู้สึกเหนื่อยและไม่ค่อยกระตือรือร้นสักเท่าไหร่ จะสั่งเอสเพรสโซ่เรียกพลังซักแก้วก็ไม่ว่ากัน
           ส่วนผสม


          เอสเพรซโซ่ =>น้ำกาแฟที่กลั่นมาจากเครื่อง ปริมาณ 2 oz
          ลาเต้ => เอสเพรซโซ่+นมสดร้อน
          คาปูชิโน่ => เอสเพรซโซ+ฟองนมร้อน
          มอคค่า => เอสเพรซโซ่+โกโก้ร้อน
          อเมริกาโน่=>เอสเพรซโซ่+น้ำร้อน


..............................................................................................

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เมื่อคุณหลง (ทาง) ในกรุงเทพฯ....




        - ถนนรัชดาภิเษก ถนนวงศ์สว่าง ถนนจรัลสนิทวงศ์ ถนนอโศกมนตรี ล้วนแต่เป็นถนนเส้นเดียวกันทั้งสิ้นครับ โอบกรุงเทพชั้นในและกลางไว้ เรียกว่าเป็นถนนวงแหวนรอบใน
- ถนนพัฒนาการ มีสองที่ แถวๆ คลองตัน กับแถวๆ บางแค
- ถนนประชาอุทิศมีสามที่ แถวๆ ห้วยขวาง ดอนเมือง และแถวบางมด
- สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ไม่ได้อยุ่ที่ช่องนนทรี ช่องนนทรีอยู่แถวๆ พระราม 3
- สถานีรถไฟฟ้า bts ตรงสีลม ไม่ได้เรียกว่าสถานีสีลม เรียกว่าสถานีศาลาแดง ถ้าอยู่สยาม จะไปสีลมต้องไปหาชื่อสถานีสีลม ตรงตู้กดบัตรโดยสาร หาให้ตายก็หาไม่เจอ ต้องไปถาพนักงานในตู้แลกเงิน
- แต่กลับกันถ้าอยู่สถานีรถไฟใต้ดิน จะไปสีลม ก็ซื้อตั๋วไปลงสีลมนั่นแหละ
- อยากไปเดินเล่นสวนลุมพินี ออกจากรถไฟใต้ดินที่สีลมนะ ออกที่สถานีลุมพินีเดินโคตรไกลเลย
- เช่นเดียวกัน สถานีรถไฟใต้ดินคลองเตย ไม่ได้อยู่ตรงคลองเตย แถวนั้นเค้าเรียกบ่อนไก่ซึ่งจะตอบออกไมค์ ให้ชาวบ้านในรัศมี 50 เมตรได้ยินกันหมด แล้วคนก็จะมอง..
- ถ้าจะไปตลาดคลองเตย ต้องลงที่สถานีศูนย์สิริกิติ์
- ซอยสุขุมวิท 18 หรือ 16 นี่แหละ ไม่ค่อยแม่น ไม่มีทางเข้าจากถนนสุขุมวิท ต้องเข้าทางรัชดาฯ
- ตลาดห้วยขวางอยู่เขตดินแดง เขตห้วยขวางไม่มีตลาดห้วยขวาง
- เซ็นทรัลลาดพร้าวไม่ได้อยู่ที่สถานีลาดพร้าว อยู่ที่สถานีพหลโยธิน ถ้าขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินที่ลาดพร้าวไปหาให้ตายก็หาไม่เจอ
- เซ็นทรัลลาดพร้าวไม่ได้อยู่บนถนนลาดพร้าว อยู่ถนนพหลโยธิน แต่มันอยู่ไกล้ห้าแยกลาดพร้าวเฉยๆ


ถนนลาดพร้าวแทบไม่ได้ตัดผ่านเขตลาดพร้าวเลย


- ระยะทางจากเซ็นทรัลลาดพร้าว ไปเมเจอร์รัชโยธิน ไม่เกิน 4 กิโล แน่ๆ ประมาณ 3-4 ป้ายรถเมล์เองแต่ในชั่วโมงเร่งด่วนอาจจะใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง
- ถ้าจะไปขนส่งหมอชิต ลงรถไฟฟ้าที่หมอชิตแล้ว ต้องต่อมอไซด์ หรือรถเมล์อีก อย่าไปเดินหาล่ะ หายังไงก็ไม่เจอ
- สถานีพญาไท ไม่ได้อยู่ในเขตพญาไท แต่อยู่ในแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี (สมัยก่อนชื่อแขวงทุ่งพญาไท) เช่นเดียวกัน ถนนพญาไท ก็ไม่ได้อยู่ในเขตพญาไท
- สถานีวงเวียนใหญ่ ก็ไม่ได้อยู่ที่วงเวียนใหญ่ แค่อยู่ไกล้กันเฉยๆ
- เกษตรศาสตร์ บางเขน ไม่ได้อยู่เขตบางเขน ปัจจุบันอยู่เขตจตุจักร
- สน.ยานนาวา อยู่บนถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก หากจะไปเขตยานนาวาต้องเดินทางจากจุดนั้นไปเป็นสิบกิโล
- วัดยานนาวา ไม่ได้อยู่เขตยานนาวา แต่อยู่เขตสาทร
- สน.บุคคโล อยู่อาคารเดียวกับ สน.สําเหร่ แต่บุคคโลอยู่ปีกซ้าย สําเหร่ปีกขวา
- พื้นที่ตัวอาคารสน.บุคคโล อยู่ในเขตการดูแลของ สน.สําเหร่ ถ้ามีเหตุร้ายเกิดใน สน.บุคคโล ต้องไปแจ้งความที่ สน.สําเหร่
- ถ้าเรียกแท๊กซี่บอกไปช่อง 3 ต้องไม่หลับขณะโดยสาร เพราะมี 70% ที่รู้ว่าอยู่พระรามสี่ 20% จะพาไปอาคารวานิช และอีก 10% จะข้ามไปส่งหนองแขม
- จากปู่เจ้าสมิงพลาย ของพระประแดง ข้ามสะพานภูมิพลมาพระรามสามใช้เวลาประมาณ 7-8 นาทีแต่ไม่มีรถเมล์วิ่ง คนฝั่งปู่เจ้าฯที่ไม่มีรถและไม่ได้ขึ้นแท๊กซี่ต้องนั่งสองแถวไปลงสําโรงแล้วหารถเมล์วิ่งอ้อมสุขุมวิทเข้าเมืองเอาเอง
- มีถนนจันทน์ และมีถนนชื่อ ถนนจันทน์เก่า อยู่ละแวกเดียวกัน
- ป้ายชื่อถนนพระอาทิตย์ และ ถนนพระสุเมรุ บริเวณป้อมพระสุเมรุมีช่องเว้นห่างกันทําให้เกิดความสับสนว่า บริเวณ 2 เมตรที่เป็นช่องระหว่างป้ายนั้นคือถนนอะไร 
- โลตัสสาขาลาดพร้าว อยู่ถนนพหล ไม่ได้อยู่ตรงปากทางลาดพร้าวแบบเซ็นลาดนะ แต่เยื้องกะเซนลาด ส่วนโลตัสที่อยู่ถนนลาดพร้าว เรียกว่าโลตัสบางกะปิ
- ถ้าบอกแท็กซี่ว่าไปสายใต้ใหม่ มันจะไปส่งที่ขนส่งสายใต้ใหม่ที่ย้ายออกไปแล้ว เพราะแยกตรงนั้นเรียกว่าแยกสายใต้ใหม่ 
- บิ๊กซีที่อยู่สะพานใหม่จริงๆ แล้วคือบิ๊กซีดอนเมือง
- บิ๊กซีรามคำแหง จริงๆ คือบิ๊กซีหัวหมาก และคือตึกเดียวกันกับเซ็นทรัลหัวหมาก
- แขวงอนุสาวรีย์ ไม่ได้อยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยฯ แต่อยู่เขตบางเขน
- ถนนวิภาวดี เริ่มต้นจากอนุสรณ์สถานฯ ถึงอนุสาวรีย์ชัยฯ ประกบและตัดผ่านพหลโยธิน 3 ช่วง
- รังสิต ไม่ใช่กรุงเทพฯ
- ถนนพระรามที่3 เลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มจากสะพานกรุงเทพ มาถึง 5 แยก ณ ระนอง (เดิมเรียกถนนรัชดาฯ เส้นเดียวกัน) ต่อจากนั้นก็เรียกถนนรัชดาเหมือนเดิม
- ห้างเซ็นทรัลพระราม 3 ก็ไม่ได้ตั้งบนถนนพระรามที่ 3
- โลตัสพระราม 3 ด้านหน้าตั่งอยู่ถนนนราธิวาสฯ
- คลองหัวลำโพง อยู่ในเขตคลองเตย คลองข้างๆหัวลำโพงเรียกคลองกรุงเกษม
- ถนนพัฒนาการ มีอีกสายแถวสวนหลวง-ประเวศ


...รู้แล้วหวังว่าคงไม่ทำให้ "มึน??" มากขึ้น...ข้อมูลดีๆ ใช้ประโยชน์เมื่อคุณ "หลงทาง" ในกรุงเทพฯ หรือแม้แต่ในยามปกติเพื่อแจ้งเส้นทางและสถานที่ กับ TAXI...


..................................................................................

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันนี้วันพระ...ธรรมะกับ ไฟนรก 7 กอง...



ไฟนรกกองที่ 1  ได้แก่  พระพุทธเจ้า
          พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่มีบุญบารมีมากที่สุดในโลก  เป็นผู้เดียวในโลกที่มีสัพพัญญุตญาณ ( ญาณที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลโดย ไม่มีที่สิ้นสุด )  และพระพุทธเจ้ายังเป็นนายกของโลกตามตำแหน่งของกฎธรรมชาติที่ได้กำหนดไว้  ซึ่งผู้ใดก็ตามที่ได้ทำกุศลกรรมกับพระองค์  บุคคลนั้นจะต้องได้อานิสงส์ผลบุญมากที่สุดในโลก  ซึ่งมนุษย์คนใดในโลกที่เราไปทำทานด้วยแล้ว  จะได้ผลบุญมากเทียบเท่าพระพุทธเจ้าเป็นไม่มี  ถ้าผู้ใดก็ตามที่ได้ทำอกุศลกรรมกับพระองค์  บุคคลผู้นั้นก็จะต้องได้รับบาปมากที่สุดในโลก  ที่เรียกว่า ……..


ไฟนรกกองที่ 2  ได้แก่  พระธรรม
          พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงรู้กฎความเป็นจริงของธรรมชาติทุกอย่าง
          ไม่มีผู้ใดในโลกจะฝืนกฎธรรมชาติไปได้  ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า  เพราะกฎของธรรมชาตินั้น  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  จึงไม่เหมือนกับกฎหมายที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน  ซึ่งถ้าคนส่วนใหญ่ต้องการจะเปลี่ยนก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้  และถ้าผู้ใดก็ตาม  ที่ไม่เชิ่อในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  บุคคลผู้นั้นถือว่า เป็นผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฐิ)  คือ  มีความเห็นผิดไปจากกฎธรรมชาติที่แท้จริง  จะทำให้คนผู้นั้นได้รับความเดือดร้อนในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  และการมีความเห็นผิดที่ร้ายแรงที่สุด คือ การเชื่อว่าเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว  ชาติหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ  ผู้ที่มีความเห็นอย่างนี้  เมื่อตายไป ……


ไฟนรกกองที่ 3  ได้แก่  พระสงฆ์
          พระสงฆ์ คือ พระอริยสงฆ์ที่มีบรรลุธรรมตั้งแต่ขั้น 1 คือ พระโสดาบัน  ขั้นที่ 2 คือ พระสกทาคามี  ขั้นที่ 3 คือ พระอนาคามี  และขั้นสูงสุดขั้นที่ 4 คือ พระอรหันต์  เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า  เป็นผู้ที่ตรัสรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า  ได้เป็นขั้นๆ  จนถึงขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์  และเมื่อเราได้ทำบุญกับพระอริยสงฆ์  เราก็จะได้บุญมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน  แต่ถ้าใครก็ตามไปล่วงเกินทำบาปกับท่าน  เขาผู้นั้นก็จะต้องได้รับบาปมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน


ไฟนรกกองที่ 4  ได้แก่  บิดามารดาผู้ให้กำเนิด
          บิดามารดาผู้ให้กำเนิดนั้น  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  พ่อแม่นั้นคือ พระอรหันต์ของลูก  ผู้ใดก็ตามที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่  ถือว่าผู้นั้นมีบุญวาสนาอย่างมาก  เพราะเขาสามารถทำบุญกับพ่อแม่ได้  บุญที่เขาทำไปนั้นจะได้ผลบุญมากมายมหาศาลเทียบเท่ากับพระอรหันต์เช่นกัน  แต่ผลบุญนั้นอาจจะได้ช้ากว่าพระอรหันต์สักหน่อย  แต่อย่างไรก็จะต้องได้บุญมากมายมหาศาลอย่างแน่นอน  สาเหตุที่ต้องได้บุญมากมายเช่นนี้  ก็เพราะว่า ……
          แต่ถ้าใครก็ตามที่ได้ล่วงเกินพ่อแม่โดยทางกาย วาจาและทางใจ ……..


ไฟนรกกองที่ 5  ได้แก่  ครูบาอาจารย์
          ครูบาอาจารย์ เป็นผู้ที่มีความสำคัญมากตามกฎของ   ธรรมชาติ  โดยเฉพาะอาจารย์ผู้ที่สั่งสอนธรรมะ  ให้เราได้รู้หรือเป็นผู้ที่เขียนตำราให้เราได้อ่านก็ตาม  ซึ่งถือว่าเป็นพ่อแม่คนที่ 2 ก็ว่าได้ ……
          เมื่อใดก็ตามที่เขามีบุญวาสนา มาเจออาจารย์ที่มีความรู้ในธรรมะ  ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง  เขาผู้นั้นก็เสมือนว่าได้เกิดใหม่ ทั้งที่ยังไม่ตาย  เพราะถ้าเขาได้รู้ธรรมะที่แท้จริงแล้ว  จากตาที่เคยมืดบอด  ก็กลับเห็นแสงสว่างขึ้นมาในทันที  จึงทำให้รู้ว่าการกระทำอะไรเป็นบุญและการกระทำอะไรเป็นบาป  และธรรมะที่ถูกต้องจะทำให้เขาตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมไปจนตลอดชีวิต  และทำให้เขาได้รับกับความสุข ความเจริญทั้งในชาตินี้  และเมื่อตายไป ……


ไฟนรกกองที่ 6  ได้แก่  สมณะชีพราหมณ์
          ชีและพราหมณ์นั้น  หลายคนคงเข้าใจอยู่แล้วว่า คือ นักบวช  แต่สำหรับสมณะ  ก็คือพระที่บวชในพระพุทธศาสนา  โดยปฏิบัติตามพระวินัย คือ รักษาศีล 227 ข้อ  เรียกว่า สมมติสงฆ์
          พระทั่วไปที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมนั้นเรียกว่า สมมติสงฆ์  ถึงแม้จะเป็นสมมติสงฆ์  แต่ถ้ารักษาศีลเป็นอย่างดี  และปฏิบัติธรรมเพื่อความเป็นไปตามทางแห่งพระอรหันต์แล้ว  และถ้าเราได้ไปทำบุญกับท่าน เราก็จะได้บุญมากมายจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว  แต่ถ้าเราไปทำบาปกับท่าน  เราก็จะได้รับบาปมากมายจนนับไม่ถ้วนเหมือนกัน ……..
          เรามีสิทธิ์ที่จะทำบุญกับพระรูปใดก็ได้  แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปด่าว่าใคร  เพราะถือว่าไปเบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง


ไฟนรกกองที่ 7  ได้แก่  สามี
          สามีนั้นเปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2 ของภรรยา  เพราะต้องทำหน้าที่คอยดูแลห่วงใย  และต้องคอยป้องกันภัยให้กับภรรยา  จึงเป็นความสำคัญ  และยังเป็นไฟนรกกองที่ 7  ของผู้หญิงที่เป็นภรรยา  ตามกฎของธรรมชาติที่ได้กำหนดเอาไว้  ฉะนั้นผู้หญิงคนใดที่ได้สามีไม่ดี  ถือว่าเป็นความโชคร้ายของผู้หญิงคนนั้นทั้งขึ้นทั้งล่อง  เพราะเมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน  ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาก  เพราะจะมีโอกาสทำกรรมหนัก  คือ การล่วงเกินต่อสามี  ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2  และเป็นไฟนรกกองที่ 7 ของภรรยานั่นเอง
          ถ้าภรรยาทำบุญกับสามี  ภรรยาก็จะได้บุญอย่างน้อยประมาณ 5,000 ล้านเท่า  แต่ถ้าล่วงเกิน  ก็ต้องรับผลบาปอย่างน้อยประมาณ 5,000 ล้านเท่า เช่นกัน


          ส่วน สามีถ้าได้ล่วงเกินภรรยา ………


          แค่มองเห็นความไม่ดีของไฟนรก 7 กอง  เราก็ต้องรับกรรมแล้ว


..........................................................................................


วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

“กรุงเทพฯ” ครองแชมป์ “เมืองดีที่สุดในโลก” ติดต่อกันเป็นปีที่สาม


           นิตยสารด้านการท่องเที่ยวชื่อดังของโลก “ทราเวล แอนด์ ลีเชอร์” ประกาศผลรางวัล “World’s Best Awards 2012″ หลังทำการสำรวจความเห็นผู้อ่านทั้งในหน้านิตยสาร ไอแพด และทางเว็บไซต์ ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2010 ถึง 31 มีนาคม 2012 ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่าเมืองหลวงของไทยได้รับยกย่องให้เป็น “เมืองดีที่สุดในโลก (World’s Best City)” ติดต่อกันเป็นปีที่สาม (พิจารณาจากสถานที่ท่องเที่ยว, ศิลปวัฒนธรรม, ความเป็นมิตรของผู้คน, แหล่งช้อปปิ้ง และความคุ้มค่า) มาดูกันว่าจะมีเมืองใดติดโผ “10 เมืองดีที่สุดในโลก” ประจำปี 2012 บ้าง

          10 อันดับ “เมืองดีที่สุดในโลก” ประจำปี 2012


อันดับที่ 1 กรุงเทพมหานคร
(89.87  คะแนน) ปีที่แล้วติดอันดับที่ 1

อันดับที่ 2 เมืองฟลอเรนซ์  ประเทศอิตาลี
(89.14 คะแนน) ปีที่แล้วติดอันดับที่ 2

อันดับที่ 3 เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี
(89.11 คะแนน) ปีที่แล้วติดอันดับที่ 5


อันดับที่ 4 เมืองเคปทาวน์  สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
(88.64 คะแนน) ปีที่แล้วติดอันดับที่ 6


อันดับที่ 5 เมืองซิดนีย์  ประเทศออสเตรเลีย
(88.52 คะแนน) ปีที่แล้วติดอันดับที่ 8


อันดับที่ 6 กรุงโรม ประเทศอิตาลี
(88.49 คะแนน) ปีที่แล้วติดอันดับที่ 3


อันดับที่ 7 กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
(88.12 คะแนน) ปีที่แล้วติดอันดับที่ 4


อันดับที่ 8 ฮ่องกง (เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน)
(88.03 คะแนน) ปีที่แล้วไม่ติดอันดับ 1 ใน 10

อันดับที่ 9 เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
(87.90  คะแนน) ปีที่แล้วไม่ติดอันดับ 1 ใน 10

อันดับที่ 10 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
(87.67 คะแนน) ปีที่แล้วติดอันดับที่ 10

 อ้างอิงและขอบคุณข้อมูลจาก : http://goo.gl/5eWDF


.........................................................................................

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฟาสต์ฟู้ด..อาหารที่มีทั้งประโยชน์และโทษ



          1. ช่วยประหยัดเวลา
          แน่นอนว่าเวลารีบ ๆ ฟาสต์ฟู้ดถือเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ ของใครหลาย ๆ คน เพราะสะดวกทันใจแถมยังอร่อยสุด ๆ เหมาะกับการใช้ชีวิตที่รีบร้อนของสังคมสมัยนี้ เพราะแบบนี้หลายคนจึงเต็มใจจะโทรสั่งแฮมเบอร์เกอร์หรือพิซซ่ามานั่งกินไปทำงานไปที่โต๊ะกันเยอะแยะ 
          2. เลือกใส่เครื่องได้ตามใจชอบ
          จุดเด่นของฟาสต์ฟู้ดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่เลือกใส่เครื่องได้ตามใจชอบนี่แหละ เช่น ถ้าคุณทำพิซซ่าทานเอง คุณอยากจะใส่เครื่องอะไรโรยหน้าก็ได้ตามใจชอบ ยิ่งไปกว่านั้น เดี๋ยวนี้ต่อให้ไม่ทำอาหารเองที่บ้าน บางร้านก็มีบริการให้คุณเลือกใส่เครื่องได้ตามใจชอบเช่นกัน
          3. แบบที่มีประโยชน์กับร่างกายก็มีเช่นกัน
         จากการที่ทุกวันนี้ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ก็เลยทำให้ร้านต่าง ๆ หันมาเพิ่มตัวเลือกในการทานฟาสต์ฟู้ดแบบเพื่อสุขภาพคอยเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย ซึ่งถ้าใครอยากดูแลตัวเองและอร่อยกับฟาสต์ฟู้ดด้วยในเวลาเดียวกัน ก็ควรเปลี่ยนมาเลือกใส่เครื่องปรุงที่ดีมีประโยชน์กับร่างกายของคุณมากขึ้น เช่น ใช้ขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาวจะดีกว่า
          4. ราคาประหยัด
         อาหารฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่จะมีราคาถูกกว่าพวกอาหารทั่วไปอยู่แล้ว (บางประเภท) เพราะฉะนั้นจึงเหมาะกับคนที่ต้องการจะเก็บเงินเป็นพิเศษ และเพราะแบบนี้เองร้านฟาสต์ฟูดถึงมีคนต่อคิวอยู่เสมอเพื่อให้ได้กินอาหารที่ทั้งอร่อยทั้งประหยัด
          5. สารอาหารไม่เพียงพอ
         เป็นที่รู้กันดีว่าฟาสต์ฟู้ดน่ะไม่ได้มีสารอาหารครบถ้วนเพียงพอกับที่คนเราต้องการในแต่ละมื้อ ดังนั้นการกินแต่ฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นคนขาดสารอาหารไปด้วย โดยเฉพาะสารอาหารประเภทวิตามิน ดังนั้นควรทานอาหารอื่นเช่น สลัดควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารครบถ้วนอยู่เสมอ
          6. เป็นตัวการทำให้อ้วน
         คนที่ต้องการจะลดน้ำหนักให้ได้ผล ควรงดอาหารพวกนี้อย่างจริงจัง เพราะอาหารฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่เต็มไปด้วยของที่ทำให้อ้วนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ชีส เนย หรือน้ำมันที่จะทำให้น้ำหนักของคุณพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว รู้อย่างนี้แล้วใครที่อยากรักษาหุ่นก็อย่าลืมออกกำลังกายชุดใหญ่หลังทานมื้อหนักของคุณเข้าไปด้วยล่ะ
          7. ทำให้ติดโดยไม่รู้ตัว
         การทานอาหารฟาสต์ฟู้ดติดต่อกันเป็นประจำ จะทำให้คุณติดใจในรสชาติของอาหารประเภทนี้ จนขยาดที่จะกินผักหรือพวกน้ำสลัดไขมันต่ำไปโดยไม่รู้ตัว แถมความสะดวกสบายในการกินยังทำให้คุณเคยตัวจนไม่คิดจะขยับตัวเดินไปไหนอีกด้วย ซึ่งกว่าจะมารู้ทีหลัง สุขภาพของคุณอาจย่ำแย่ไปมากแล้วก็ได้
          8. เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ
         ถ้าคุณทานฟาสต์ฟู้ดมากเกินไป อาหารพวกนี้ก็จะกลายมาเป็นตัวทำลายสุขภาพของคุณได้ จากปริมาณไขมันและเครื่องเทศรสจัดต่าง ๆ ที่มากเกินเหตุ โดยโรคที่พบหลัก ๆ จากคนที่ทานฟาสต์ฟู้ดมากเกินไปนั้นก็ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคตับนั่นเอง 

 จาก http://www.spe-ut.net/?q=node/24022/track


.....................................................................................

ทำไม? ต้อง Global Rich Club...




จุดเด่นขอโกลบอล ริช คลับที่แตกต่างจากธุรกิจเคลือข่ายทั่วไป 


          ? สมัครเป็นสมาชิกครั้งเดียวอยู่ตลอดไปโดยไม่ต้องต่ออายุ 
          ? ให้บริการที่พักในโรงแรมและรีสอร์ทหรู 3-5 * ราคาถูกกว่าทั่วไป 
          ? สามารถทำเป็นธุรกิจทั้ง Part Time & Full Time ได้ 
          ? เป็นธุรกิจ Marketing Online 100% 
          ? ไม่ต้องขายไม่ต้องเก็บและไม่ต้อง Stock สินค้าใดๆ 
          ? ไม่ต้องเดินทางไปประชุมข้างนอกและไม่เสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ 
          ? ปลดพันธนการแบบเก่าๆของธุรกิจออนไลน์ 
          ? ตำแหน่งแซงกันได้ขึ้นแล้วขึ้นเลยไม่ตกอีกและสามารถแซงตำแหน่ง Up line ได้ 
          ? ไม่มีการจับคู่ ไม่มีขาอ่อน ขาแข็ง จ่ายไม่จำกัดชั้นลึก 
          ? ทำงานกันเป็นทีม ทุกคนในทีมช่วยกันผลักดันให้สมาชิกใหม่ๆมีรายได้ 
สมัครสมาชิกแล้วได้อะไรบ้าง 


          ? ได้รับห้องพักในโรงแรมหรือรีสอร์ทหรู  4 วัน 3 คืน ทั่วไทยทั่วโลก 
          ? มี Website ส่วนตัวทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยเป็นแบบ Online 24 ชั่วโมง 
          ? มีสิทธิ์สร้างรายได้ทุกเดือนทุกรอบการทำงาน 300,000 บาท 
          ? มีระบบการทำงานสื่อออนไลน์ที่เรียกว่า  Global Smart Auto System  หรือ  GSAS 
          ? ระบบ Auto Response Mail ช่วยติดตามการทำงานเสมือนมีเลขาช่วยทำงาน 24 ชม. 
          ? ระบบ SMS โต้ตอบอัตโนมัติ ฟรี!! 
          ? ระบบ E-Mail โต้ตอบอัตโนมัติ ฟรี! 
          ? ห้องทำงาน  On line  ฟรี!! 
          ? ห้อง Training สอนงาน  On line  เรียนรู้งาน ฟรี!! 
          ? โปรแกรมการทำงาน 11 โปรแกรม ฟรี!!    
          ? ทีมงานมืออาชีพคอยช่วยสอนงาน Step by Step ฟรี!! แนะนำให้คุณเป็นมืออาชีพให้ได้


......................................................................................

ความรู้แปลกๆ เกี่ยวกับโค๊ก...




           แต่แรก โคคา-โคล่า นั้น เป็นสูตรยาที่ใช้สำหรับแก้อาการเมาค้างและแก้ปวดหัว 
           ชื่อ โคคา-โคล่า มาจากส่วนผสมดั้งเดิมของมัน นั่นก็คือ ใบโคคา และเมล็ดโคลา นอกจากนี้ ในสูตรดั้งเดิมนั้น มีการใช้ไวน์แทนน้ำตาลด้วย 
           หากใส่เมนทอสลงไปในโค้ก จะทำให้คาร์บอน ไดออกไซด์ในโค้กถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้โค้กในขวดทะลักออกมา ซึ่งปฏิกิริยานี้จะเกิดได้ดีที่สุด หากใช้ไดเอท โค้ก  
           โคคา-โคล่า สามารถใช้แก้พิษของแมงกระพรุนได้ด้วย 
           ถ้าผมของคุณบังเอิญติดหมากฝรั่ง ให้รินโค้กตรงบริเวณที่มีหมากฝรั่งติด จะทำให้มันหลุดออกมาโดยง่าย 
           ตั้งแต่ปี 1985 น้ำตาลในโคคา-โคลา ถูกแทนที่ด้วยน้ำเชื่อมข้าวโพดซึ่งมีน้ำตาลฟรุกโตสสูง ตั้งแต่นั้นมาก็ทำให้รสชาติของโค้กเปลี่ยนไปจากรสชาติดั้งเดิม  
           แรกเริ่มเดิมทีนั้น โคคา-โคล่าเป็นสีเขียว  
           โคคา-โคล่าเคยมีส่วนผสมของกัญชาด้วย แต่ในปี 1905 ส่วนผสมชนิดนี้ก็ถูกเอาออกไปเนื่องจาก public concern. 
           ในภาษาจีน โคคา-โคลา หมายถึง ทำให้ปากมีความสุข 
           หากคุณใส่ ที-โบน สเต็ก ลงในโค้ก มันจะมลายหายไปภายใน 2 วัน 
           หากนำขวดโค้กมาวางต่อกัน ความสูงของมันจะมีระยะทางเท่ากับระยะทางไป-กลับดวงจันทร์ถึง 1,677 รอบ! 


ที่มา http://purpleslinky.com/humor/food/10-useful-and-funny-facts-about-coca-cola/


.......................................................................................


วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อยากรู้มั๊ย! แชร์ลูกโซ่คืออะไร…?


          แชร์ ลูกโซ่ หมายถึง รูปแบบการดำเนินธุรกรรมที่มุ่งประสงค์เพื่อหารายได้จากการระดมทุนเป็นหลัก โดยมีการสัญญาในการเข้าร่วมธุรกิจที่จะตอบแทนผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สูงกว่าเงินลงทุน ซึ่งผู้ประกอบการมักจะอ้างถึงการนำเงินไปลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ต่อ ๆ ไป เพื่อปันรายได้แจกจ่ายผู้เข้าร่วมธุรกิจอย่างทั่วถึง แต่ผลของมัน คือ การที่ตอบแทนผลประโยชน์ในช่วงต้น ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการร่วมธุรกิจต่อเนื่องจนเมื่อถึงจุดที่ผู้ประกอบการ หวังผลในการระดมทุนสำเร็จแล้ว ก็จะหาทางปิดตัวไปเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายผลประโยชน์ต่อๆไป หรืออาจจะดำเนินการต่อเนื่องจนกว่าฐานที่เข้ามาหรือผู้เข้าร่วมธุรกิจที่เข้ามาในช่วงหลังจะไม่สามารถหมุนเวียนเงินตอบแทนได้กับคนที่มาก่อนได้ ก็จะเริ่มปิดตัวลง 


          ลักษณะและวิธีการดำเนินงาน 
          ลักษณะของการดำเนินงานของแชร์ลูกโซ่ คือ การหาสมาชิก และการจ่ายผลประโยชน์ ส่วนใหญ่วิธีการดำเนินงานของแชร์ลูกโซ่จะเริ่มจากวงแคบ ๆ จากเพื่อนคนใกล้ชิดแล้วค่อย ๆ ขยายตัวไปรอบนอก จนถึงขั้นควบคุมไม่ได้ เพราะจะเริ่มออกสู่วงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ การหาสมาชิกก็จะใช้วิธีสร้างภาพลวง หว่านล้อมให้เกิดความเชื่อและการจ่ายผลประโยชน์กับสมาชิกระดับต้น ๆ หรือใกล้ชิดเป็นส่วนใหญ่ เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ อีกข้อหนึ่ง คือ สมาชิกเหล่านี้ส่วนใหญ่มักเป็นคนสนิทของกลุ่มผู้ก่อตั้งแชร์ลูกโซ่อยู่แล้ว ย่อมมีผลประโยชน์คาบเกี่ยวกันมากมาย ดังนั้น จึงสามารถที่จะสร้างภาพลวงร่วมกันได้ สุดท้ายเมื่อได้ระดมทุนตามประสงค์แล้วก็จะปิดตัวลง ซึ่งสมาชิกระดับใกล้ชิดก็จะไม่เสียประโยชน์ใด ๆ ส่วนแมลงเม่าที่บินมาภายหลังส่วนใหญ่จะเป็นผู้เสียหาย และตามตัวผู้รับผิดชอบไม่ได้ เพราะหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ครั้นจะมาหาข้อมูลจากสมาชิกระดับผู้นำก็เปล่าประโยชน์ เพราะได้ปิดปากตัวเองแล้วจากผลประโยชน์ที่คาบเกี่ยวกันกับเจ้าของแชร์ลูกโซ่


.......................................................................................

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เอกสิทธิ์
Mobile : 081-575-8928
e-mail : tororichclub@hotmail.com
https://www.facebook.com/toro.richclub
http://torojunior.blogspot.com/
http://www.goodtimeja.com/hiranpakorn

แชร์ลูกโซ่ต่างจาก MLM อย่างไร...?





          หลังจากแชร์ลูกโซ่ระบาดอย่างหนักเมื่อกว่าสิบปีก่อนนี้ และเข้ามาเกาะอยู่กับธุรกิจขายตรงอยู่ในปัจจุบันกลายเป็นภาพซ้อนที่ทำให้ เกิดความไม่ชัดเจนว่าขายตรงในระบบ MLM ต่างกับแชร์ลูกโซ่อย่างไร หาก เป็นแชร์ลูกโซ่ตรง ๆ ไม่ปรุงแต่งแปลงกายก็เป็นเรื่องที่ดูแล้วเข้าใจง่าย เพราะมีการล่าหัวคิวหรือลงทุนแล้วรอรับส่วนแบ่งกันตรงไปตรงมาแทบจะไม่มี สินค้าเป็นจริงเป็นจังมากนัก ในขณะที่อีกด้านหนึ่งการแฝงตัวเข้ามาอาศัยระบบ MLM หากิน ของบางกลุ่มบางบริษัทนั้น แนบเนียนเกินกว่าจะมองกันอย่างธรรมดา ๆ แต่ต้องมองอย่างชนิดที่ต้องเรียกว่า แยกแยะกันเป็นส่วน ๆ เลยทีเดียว เพราะบริษัทเหล่านี้ได้พัฒนาไปมากกว่าแชร์ลูกโซ่ธรรมดาด้วยการทำทีว่าเป็น MLM ของแท้แต่สร้างเงื่อนไขขึ้นมาใหม่ที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบ ดูผิวเผินเหมือนไม่ใช่การระดมเงิน หรือหลอกล่อดึงผลประโยชน์ แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นการดึงเม็ดเงินโดยผ่านกระบวนการสมาชิก ด้วยการจ่ายผลตอบแทนที่สูงเกินความเป็นจริงทางธุรกิจ เพราะไม่ได้มีเจตนาจะขายสินค้าอย่างเป็นธรรม จึงกลายเป็นกลุ่มที่ทำในรูปของระบบพีระมิดหรือแชร์ลูกโซ่มีหลายส่วนที่จะแยก ออกมาให้เห็นว่าแชร์ลูกโซ่ที่แอบแฝงอยู่ในธุรกิจ MLM เป็นอย่างไร 



          - เริ่มที่ค่าสมัครที่ค่อนข้างสูง และถูกบังคับให้ซื้อสินค้าพร้อมกับการสมัคร บางแห่งอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท ขณะที่บางแห่งสูงกว่า 10,000 บาท ในขณะที่ระบบ MLM ที่แท้จริงไม่มีการบังคับซื้อ 


          - ไม่ได้สนใจขายสินค้า แต่การแนะนำเข้าร่วมธุรกิจจะบอกหรือเน้นอยู่ที่การหาคนเข้ามาสมัคร จะมีส่วนแบ่งรายได้ว่าหามากี่คน จะได้ไปกี่พัน กี่หมื่น หรือกี่แสนบาท ขณะที่ MLM เป็นการสร้างธุรกิจเพื่อขายสินค้า และสร้างองค์กรเพื่อให้เกิดการขายอย่างกว้างขวางขึ้น 


          - การจ่ายผลประโยชน์หรือคอมมิสชั่น มาจากส่วนแบ่งการล่าคนเข้ามาในระบบที่วางกฎบังคับซื้อสินค้า ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นการบริโภค แต่แท้ที่จริงแล้วสินค้าเป็นแค่ฉากบังหน้า และเป็นเครื่องมือดึงเงินเข้าระบบ เพราะหากไม่มีการบังคับซื้อก็ไม่สามารถจ่ายค่าหัวคิวเป็นทอด ๆ ได้ ทำให้ระบบเดินต่อไปไม่ได้และล้มไปในที่สุด ขณะที่ MLM มีรายได้จากการขายสินค้าหรือยอดขายสินค้าที่เกิดขึ้นในองค์กร ทั้งหมดนี้เป็นหลักใหญ่ในการพิจารณาดูว่าบริษัทไหนเข้าข่ายเป็นระบบพีระมิด หรือแชร์ลูกโซ่หรือไม่ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจไม่ใช่สาระสำคัญมากนักในการพิจารณา
....................................................................................


Global Rich Club เป็น Money Game หรือ แชร์ ลูกโซ่ หรือเปล่า...?




          ก็ขอถามทุกๆ ท่านตรงๆ เลยนะครับว่า "ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคาร แล้วได้ดอกเบี้ยมาโดยที่ไม่ได้ทำอะไรให้กับธนาคารเลย การเอาเงินไปฝากธนาคาร เป็น  Money Game หรือ แชร์ลูกโซ่ หรือเปล่า?..." หลายๆ ท่านก็คงมีคำตอบในใจกันแล้วใช่ไหมครับ เอาเป็นว่า มาอ่านคำอธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับธุรกิจ Global Rich Club ด้านล่างนี้ก่อนแล้วกัน...


          1. สมัครแล้วคุณไม่มีสินค้า เท่ากับราคาเงินที่คุณลงไป นั่นคือมันนี่เกม เพราะเงินเหล่านั่นจะถูกจ่ายไปกับคนที่อยู่บนๆ (สินค้าต้องจับต้องได้) GRC ให้ที่พักมูลค่ามากกว่าค่าสมัครสมาชิก ซึ่งคำนวณได้ดังนี้  สมมุติว่าคุณสมัครสมาชิกกับ Global Rich Club ด้วยเงิน 7,500 บาท แล้วใช้สิทธิ์ไปพักที่โรงแรม  Novotel Centara Hatyai สอบถามแล้วถ้าเข้ามาจองเอง ด้วยห้องแบบเดียวกันนี้ อยู่ที่ราคาคืนละ 4,500 บาท ( 4,500x3=13,500 )  และทุกสมาชิกที่ดำเนินการจองที่พัก สามารถจองได้ และได้พักจริงทุกคน 


          2.ไม่ ต้องรักษายอด คำถามง่ายๆ มีธุรกิจไหนบ้างที่ไม่ต้องมียอดต่อเดือนแล้วธุรกิจนั้นมั่นคง เช่น คุณจะเปิดร้านขายอะไรซักอย่าง คุณต้องคำนวณยอดขายว่ายอดเท่าไหร่คือเท่าทุน ยอดเท่าไหร่คือกำไร ทีนี้มาดูว่าเครือข่ายทำไมต้องรักษายอด ถ้าไม่มียอดขายบริษัทจะเอาเงินที่ไหนมาให้เรา ถ้าเอาแต่สมัครคนเข้ามาแล้วเราได้เงินนั่น คือ มันนี่เกม  GRC นำ เงินค่าสมัครเข้าไปหมุนเวียนโดยการลงทุนในรูปแบบต่างๆ คล้ายเราเอาเงินไปฝากธนาคาร ซึ่งธนาคารจะนำเงินจากผู้ที่ฝากส่วนใหญ่ไปลงทุนในธุรกิจต่างๆเช่นตราสารหนี้ (พวกพันธบัตรรัฐบาล), ตราสารทุน (เช่น หุ้น), อื่นๆ ตามที่ธนาคารมีพันธมิตรทางธุรกิจอยู่ ทำให้ธนาคารมีดอกผล สามารถจ่ายดอกเบี้ยให้กับเจ้าของบัญชี แม้จะไม่มีการเปิดบัญชีใหม่เข้ามาในธนาคารเลย ธนาคารก็อยู่ได้ ไม่มีใครเคยถามว่าธนาคารอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีคนนำเงินมาฝากเพิ่ม? เมื่อเทียบกับ GRC ก็เปรียบการนำเงินค่าสมาชิกไปลงทุนต่อนั่นเอง    


          1.ดอกผลที่จ่ายกลับมาอย่างแรกคือที่พักโรงแรม 4 วัน 3 คืน ซึ่งราคาที่บริษัทจ่ายจริงให้กับโรงแรมไม่มาก เท่าที่เราไปจ่ายเองเมื่อเข้าพักโรงแรม เนื่องจากเป็นพันธมิตรทางการค้ากัน ถ้าคุณนึกดีๆ โรงแรมที่มีห้องว่างจำนวนมาก (โรงแรมตรวจสอบโดยให้คุณจองล่วงหน้า 1เดือน) เสียค่าดำเนินการนิดหน่อย (ยังไงเงินเดือนพนักงานก็ต้องจ่ายอยู่แล้ว) ให้บริษัทพันธมิตร (เช่น GRC) จ่ายถูกๆ มาใช้บริการก็ยังกำไรเยอะ 


          2.ดอกผลที่จ่ายกลับมาอย่างที่สองคือค่าคอมมิสชัน 400$ และ 8,000$ ก็ ได้จากการลงทุนที่กล่าวไปนั่นเอง กว่าจะต้องจ่ายค่าคอมมิสชันแต่ละครั้ง ก็ใช้เวลาไม่มากก็น้อย จำนวกระดานที่มีเยอะ (เหมือนธนาคารมีหลายบัญชี บางคนก็ถอนเงินไปเร็ว บางคนก็ถอนเงินไปช้า) ก็มีเวลามากพอที่จะจ่ายค่าคอมมิสชันให้กับสมาชิกได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่แค่เอาเงินของคนใหม่มาให้อย่าง Money Game คิดแบบนักลงทุน ยังไงบริษัทก็ยังกำไร เทียบกับธนาคาร หากมีคนถอนเงินพร้อมกันสักครึ่งหนึ่ง ของบัญชีทุกๆคน ธนาคารก็เจ๊งได้เหมือนกัน ไม่มีเงินจ่าย เพราะเงินส่วนใหญ่ก็เอาไปลงทุนอยู่นั่นเอง


          3.การสมัครหลายรหัสในคนๆเดียว เปรียบเหมือนการระดมทุน GRC ไม่ได้บังคับให้ใครสมัครสมาชิกมากกว่า 1 รหัส แต่หลายๆคนที่สมัครหลายรหัสเป็นการลงทุนที่มากขึ้น(บริษัทไม่ได้วาง Business Plan ไว้ แบบนี้ด้วยซ้ำ) เพื่อได้ผลตอบแทนมากขึ้น ทวีคูณตามจำนวนรหัส และได้ผลตอบแทนเร็วและต่อเนื่อง เนื่องจากจะมีรหัสที่ต่อๆกันไปรับรายได้ต่อเนื่องหลังจากรหัสบนรับรายได้จาก การหลุดจากตำแหน่งสูงสุด รหัสต่อมาที่อาจจะอยู่ใต้บนสุด ขึ้นไปอยู่บนสุดและรับรายได้ต่อเนื่องได้ทันที เปรียบเทียบคล้ายการฝากเงินในธนาคารเหมือนข้อ 2 โดย ธนาคารไม่ได้บอกว่าใครต้องฝากเงินเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีคนนำเงินจำนวนมากไปฝาก เพื่อหวังดอกเบี้ย ยิ่งฝากมากก็จะได้รับดอกเบี้ยทวีคูณตามฐานของเงินที่ฝากเช่นกัน


          4.สมัครมาแล้วไม่ต้องทำอะไรก็ได้เงิน GRC ก็ไม่จ่ายค่าคอมมิสชันสำหรับสมาชิกที่ไม่มีการแนะนำสมาชิกใหม่และไม่ช่วยสมาชิกในกระดาน แต่ถ้าคุณมีการแนะนำสมาชิกใหม่ และช่วยสมาชิกใหม่ สมมติคุณ Sponsor ครบ 2 คน คุณสามารถรอรับรายได้โดยที่ไม่ต้องทำงานต่อได้เลย (แต่ไม่แนะนำวิธีนี้นะครับ) เพราะบริษัทก็สามารถจ่ายค่าคอมมิสชันด้วยดอกผลที่ได้จากการลงทุน (ดูข้อ 2) ได้นั่นเอง


          5. ถ้าไม่มั่นใจโทรไปที่ สคบ. ส่วนขายตรงและตลาดแบบตรง 0-2143-0365-67


          6. ทำเครือข่ายได้ล้านมีจริงและมากด้วย แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไข 5 ข้อ  ที่กล่าวมาข้างต้น และขอสรุปเปรียบเทียบ GRC กับ ธนาคาร เป็นตารางเพื่อความเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น...
..................................................................................


สอบถามข้อมูลเพื่มเติได้ที่
เอกสิทธิ์

Mobile : 081-575-8928
e-mail : tororichclub@hotmail.com
https://www.facebook.com/toro.richclub
http://torojunior.blogspot.com/
http://www.goodtimeja.com/hiranpakorn

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันนี้ "วันพระ" มีธรรมะดีๆ มาฝาก...



ไม่สำคัญว่า...มีทรัพย์มากหรือน้อย
แต่สิ่งสำคัญ คือ ...ต้องใช้ให้น้อยต่างหาก...
ชีวิตจึงจะมีเหลือมากกว่าขาด...

คนจนยิ่งจน...เพราะทำรวย ... 
คนรวยยิ่งรวย...เพราะทำจน ...
ทำตัวให้เป็นปกติ ...ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น...
ชีวิตก็จะเป็นปกติ...

ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้...
ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี...
เป็นคนอาภัพอับโชคที่สุดในโลก...

ยินดีในสิ่งที่ตนได้...
พอใจในสิ่งที่ตนมี ...
เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก...

อดทนได้...จงอดทน
อดใจได้ ...จงอดใจ
ไม่อดทน ไม่อดใจ ...เรื่องเล็กจักกลายเป็นเรื่องใหญ่

คนที่มีความสุข มิใช่คนที่มีมากที่สุด...
แต่เป็นคนที่ต้องการน้อยที่สุด...
ยิ่งมีความต้องการน้อยลง...
สมบัติที่มีอยู่เดิม...ก็ดูเหมือนมีมากขึ้น...

ความสุขหรือความทุกข์ของชีวิต
บางครั้งเหมือนการมองผ่านกระจก
หากกระจกใสสะอาด...เมื่อมองสิ่งใดย่อมมีแต่ความสุข
ปราศจากความขุ่นมัว...หากกระจกขุ่นมัว
เมื่อมองสิ่งใด...แม้เป็นสิ่งเดียวกัน...ก็มีแต่ความทุกข์ใจ

จงจำไว้ว่า...ความสุขอยู่ไม่ไกล
เพียงเช็ดกระจกให้ใส
เช็ดใจให้สะอาดเท่านั้นเอง

ทุกข์อยู่ที่ใจ...ทุกข์ของใครก็ของมัน...
ทุกข์อยู่ที่ใจ...ใครจะเก็บไว้ก็ช่างมัน...
สุขอยู่ที่ใจ...ฉันเก็บมันไว้ทุกวัน...
สุขอยู่ที่ใจ...ฉันจะให้กันและกัน...

..................................................................................................